เรอ..บ่อย สัญญานเตือนโรค

ในแต่ละวันทุกคนล้วนเรอออกมาประมาณ 14-23 ครั้งเป็นเรื่องธรรมดา 
ถ้าหากพบว่าตัวเองเรอบ่อยมากจนเกินพอดี นั่นอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างที่ร่างกายกำลังจะบอกเราก็ได้ exclaim

วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้ ideaเรอ บ่อย สัญญานเตือนโรค idea

อาการเรอ หรือ Belching เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายที่เกิดขึ้น
เนื่องมาจากการมีลมหรือกลุ่มแก๊สในกระเพาะอาหารที่มากเกินพอดี 
ลมหรือกลุ่มแก๊สเหล่านั้นจะถูกขับออกมาจากกระเพาะอาหารย้อนกลับไปยังทางเดินอาหาร
ประกอบด้วยหลอดอาหารส่วนปลาย หลอดอาหารส่วนต้น
จนกระทั่งมาจบลงที่ปากเกิดเป็นอาการเรอออกมา ในบางครั้งการเรอจะมีส่วนของกลิ่นอาหารติดออกมาด้วย 
ในส่วนนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่มักเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารอย่างรวดเร็ว หรือ ผู้ที่ติดนิสัยกินข้าวคำน้ำคำ เป็นต้น
 
สาเหตุของการเรอบ่อย
การกลืนลม (Aerophagia)
อาการเรอบ่อยเกิดจากการกลืนอากาศเข้าไปทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ 
เมื่อรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มเร็วเกินไป กินอาหารพร้อมกับคุยไปด้วย ตอนเคี้ยวหมากฝรั่ง สูบบุหรี่
หรือดื่มน้ำจากหลอดดูด หายใจลึก ยาว หรือเร็วกว่าปกติ เกิดความวิตกกังวล ฯลฯ
พฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้เรากลืนลมเข้าไปเป็นจำนวนมาก และทำให้เรอออกมาได้
การรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มบางชนิดทำให้เรอบ่อยขึ้น
โดยเฉพาะอาหารที่มีกรดสูง ทำให้เกิดกรดและแก๊สในกระเพาะมากเกินไป 
น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่มีแป้ง น้ำตาล หรือไฟเบอร์สูง
อาหารที่ทำมาจากโฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว ลูกเกด บรอกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก หัวหอม กล้วย ฯลฯ
การมีกรดในกระเพาะอาหารมาก
อาการเรอบ่อยเมื่อกินอาหารเร็วและมากเกินไป ทำให้อาหารตกค้างในกระเพาะมาก 
หรือเมื่อปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ และความเครียด ตอนดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน  
จะทำให้กระเพาะอาหารพองตัว และทำให้เรอเพื่อขับลมออกมา
การใช้ยาบางชนิด
ยาอะคาร์โบส (Acarbose) เป็นยารักษาเบาหวาน ชนิดที่ 2 ยาระบาย 
อย่างยาแลคตูโลส (Lactulose) และยาซอร์บิทอล (Sorbitol) 
ยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยานาพรอกเซน ยาไอบูโพรเฟน และยาแอสไพริน 
การใช้ยาแก้ปวดในปริมาณมากอาจทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้เรอบ่อย
โรคประจำตัว ที่อาจทำให้มีอาการเรอบ่อย
โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคกระเพาะอาหารหรือโรคแผลในกระเพาะอาหาร
ภาวะแพ้น้ำตาลแล็กโทสซึ่งอยู่ในอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบ ภาวะการดูดซึมฟรุกโตสหรือซอร์บิทอล (Sorbitol) ที่ผิดปกติ
โรคติดเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori) เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร
สาเหตุอื่น ๆ
ที่อาจจะทำให้เรอบ่อย แต่ยังพบได้น้อยเช่น โรคเซลิแอค (Celiac Disease) 
หรืออาการแพ้กลูเตนในอาหารที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมปัง โรคตับอ่อนทำงานบกพร่อง 
ทำให้ขาดน้ำย่อยที่ใช้ในการย่อยอาหาร และ Dumping Syndrome 
เป็นภาวะที่กระเพาะอาหารย่อยอาหารและส่งไปยังลำไส้เร็วเกินไปก่อนที่อาหารจะถูกย่อย



ideaลักษณะการเรอidea
เรอตลอดเวลา หนึ่งในกลุ่มอาการเรอที่บ่งบอกว่าร่างกายไม่เพียงแต่มีความผิดปกติ
ในส่วนของระบบทางเดินอาหารเท่านั้น แต่ยังมีความผิดปกติของระบบอื่น ๆ ด้วย 
ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเอชไพโลไรที่เป็นเชื้อแบคทีเรียซึ่งสามารถสร้างแก๊สขึ้นในร่างกายได้
เรอแล้วมีกลิ่นเหม็นตามมาด้วย
ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นกลิ่นเหม็นเปรี้ยว มาจากสองสาเหตุหลัก ๆ 
คือ กรดไหลย้อน หรือการที่น้ำดีที่ถูกสร้างโดยตับอ่อนไม่สามารถสร้างได้ตามปกติ
เรอบ่อย เรอเปรี้ยว
อาการเรอเปรี้ยวมักจะมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ถ้าเกิดมีอาการท้องอืด 
แน่นท้อง คล้ายอาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน หลังรับประทานอาหาร เจ็บหน้าอก จุก 
คล้ายเหมือนมีก้อนติดอยู่ในลำคอร่วมด้วย อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคกรดไหลย้อนได้
เรอบ่อย ปวดท้องเกร็ง
อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกของอาการท้องอืด อาการที่พบได้บ่อย อาจทำให้รู้สึกแน่น 
จุกเสียด ปวดท้อง อิ่มเร็ว ท้องแข็ง รวมถึงมีอาการเรอ ผายลม และท้องร้องโครกครากหลังรับประทานอาหาร
เรอบ่อย แสบท้อง จุกเสียด
อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกของโรคทางลำไส้และกระเพาะ อย่างเช่น โรคกระเพาะ หรือโรคกรดไหลย้อน
เรอบ่อย ท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักตัวลด
หากมีอาการอาเจียนหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด กลืนอาหารลำบาก น้ำหนักลด ตัวเหลือง ตาเหลือง 
หรือมีก้อนในท้อง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

สัญญาณที่ร่างกายกำลังส่งเสียงบอกคุณว่าอาจมีโรคอะไรบางอย่างที่ทำให้เรอมากกว่าปกติ
โรคทางเดินอาหาร เกิดจากการติดเชื้อ โดยอาจจะเป็นเชื้อแบคทีเรียที่อาจจะมาจากอาหารเป็นพิษ 
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ไสติ่งอักเสบ เป็นต้น
กรดไหลย้อน โรคที่เกิดจากการไหลย้อนของสารคัดหลั่งในกระเพาะอาหาร 
ไม่ว่าจะเป็นกรดหรือแก๊สกลับไปที่หลอดอาหาร คนที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนมากขึ้นหรือย้อนบ่อย
โรคกระเพาะ เป็นแผลที่เกิดในเยื่อบุกระเพาะอาหารที่สัมผัสกับน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารมาก 
ทำให้ระคายเคืองจนส่งผลเกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) อาการปวดท้องเรื้อรังเป็นๆ หายๆ นานเกิน 6 เดือนขึ้นไป 
ร่วมกับการขับถ่ายผิดปกติ มีอาการได้ทั้งกลุ่มอาการท้องเสีย กลุ่มอาการท้องผูก กลุ่มอาการท้องเสียสลับท้องผูก
ภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กเจริญเติบโตมากผิดปกติ ภาวะที่มีปริมาณของแบคทีเรียในลำไส้ (colonization) เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ย่อยสารอาหารคาร์โบไฮเดรตบางชนิดไม่ได้



exclaimโดยปกติอาการเรอมักจะไม่ทำให้เกิดภาวะที่น่ากังวลและสามารถหายไปได้เองโดยที่ไม่ต้องรักษา 
หากพบว่าเรอบ่อยและเรอมากกว่าปกติ หรือมีนิสัยในการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงหากพบว่ามีอาการต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที
ปวดท้องรุนแรงหรือปวดไม่หาย
ท้องเสีย
อุจจาระเปลี่ยนสี หรืออุจจาระบ่อย
อุจจาระปนเลือด
น้ำหนักตัวลด
เจ็บหน้าอก
แพทย์จะตรวจวินิจัยโดยการสอบถามประวัติและอาการต่าง ๆ ของผู้ป่วย 
รวมไปถึงตรวจร่างกายและอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ช่องท้อง 
ตรวจเอมอาร์ไอ (MRI) ซีทีสแกน (CT-scan) อัลตราซาวด์ หรือตรวจความผิดปกติในการย่อยอาหาร

เรอที่เกิดขึ้นตามปกติทั่วไปไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่หากพบว่าเรอบ่อยหรือมากกว่าปกติ 
อาจเป็นสัญญาณของระบบย่อยอาหารที่ผิดปกติ ในกรณีนี้จึงควรไปพบแพทย์ โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ



exclaimการเรอที่เกิดขึ้นทั่วไปจากลมที่มีมากในกระเพาะอาหารและลำไส้ สามารถบรรเทาได้ 
ปรับพฤติกรรมการรับประทานและพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่าง
รับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มให้ช้าลง จะช่วยลดการกลืนอากาศให้น้อยลงได้
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารพร้อมกับคุยไปด้วย
ดื่มน้ำให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาก
หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลแลคโตส สารให้ความหวานซอร์บิทอล หรือฟรุกโตส 
ซึ่งอาจทำให้การย่อยอาหารผิดปกติสำหรับบางคน
หลีกเลี่ยงผักหรือผลไม้บางชนิด เช่น ถั่ว กะหล่ำปลี หัวหอม แครอท แอปริคอท ลูกพรุน 
บรอกโคลี หัวหอม กะหล่ำดอก กล้วย ลูกเกด ขนมปังโฮลวีท 
รวมไปถึงหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่ทำจากโฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งบางคนจะย่อยได้ยากและทำให้เกิดก๊าซมาก
อาจรับประทานโยเกิร์ตแทนดื่มนม เพราะพบว่าบางคนที่รับประทานโยเกิร์ตแทนการดื่มนมจะทำให้เกิดก๊าซน้อยกว่า 
เนื่องจากแบคทีเรียที่อยู่ในโยเกิร์ตได้ย่อยน้ำตาลแลคโตสที่ทำให้เกิดปัญหาในการย่อยสำหรับบางคนได้บางส่วน
หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอม เพราะขณะที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอม จะทำให้กลืนอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะทำให้กลืนอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ
ตรวจสอบฟันปลอม เพราะหากฟันปลอมที่ใส่อยูไม่พอดี อาจทำให้ต้องกลืนอากาศเข้าไปมากเวลารับประทานอาหารและดื่มน้ำ
หลีกเลี่ยงความเครียด ความวิตกกังวล

lovelovelovelovelove
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่