เวลาท่องสวดบทไตรรัตนคมณ์ เราขอมี
- พระพุทธเป็นที่พึ่ง
- พระธรรมเป็นที่พึ่ง
- พระ(อริย)สงฆ์เป็นทึ่พึ่ง
ในองค์คุณที่สาม คือ พระอริยสงฆ์ที่เราขอเป็นทึ่พึ่ง เราควรจะหวังพึ่งอิทธิปาฏิหารย์ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านให้ช่วยปกป้องคุ้มครองเรา
หรือเราควรจะหวังพึ่งปัญญาของท่าน ที่ช่วยเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้คนรุ่นหลังที่ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักต์ ได้ยินพระสัทธรรมจากพระโอษฐ์ ให้ได้เข้าใจความกระจ่างแจ้งพิสดารแห่งพระสัทธรรมของพระพุทธองค์
ในครั้งพุทธกาล หลายๆ ครั้ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่ภิกษุที่เป็นพระเสขะ
เมื่อเปิดดูพจนานุกรม พุทธศาสตร์ ของท่านปยุต
คำว่า "เสขะ" ผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล
โดยพิสดารมี ๗ คือ ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค,
พูดเอาแต่ระดับเป็น ๓ คือ พระโสดาปัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
****************************************
พวกเราก็รู้กันดีอยู่ว่า พระเสขะตั้งแต่พระโสดาบัน ขึ้นไป ละสักกายทิฏฐิ หรือความเห็นผิดว่ามีตัวตนของตนได้เด็ดขาดแล้ว
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า "เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน"
เมื่อพระเสขะได้ยินได้ฟังคำว่า "เรา" ในประโยคนี้ จึงไม่มีความเห็นผิดว่า จะต้องเป็น ตัวเรา ที่จะไปเดินไปฝึกเพื่อรู้ขัดว่าเราเดิน
***************************************************************
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า
มหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าอ่านแต่พระสูตรอย่างเดียวโดยไม่อาศัยอรรถกถาช่วยขยายความ เราจะเข้าใจความกระจ่างแจ้งของพระสูตรนี้ได้ฤา?
- พระพุทธเป็นที่พึ่ง
- พระธรรมเป็นที่พึ่ง
- พระ(อริย)สงฆ์เป็นทึ่พึ่ง
ในองค์คุณที่สาม คือ พระอริยสงฆ์ที่เราขอเป็นทึ่พึ่ง เราควรจะหวังพึ่งอิทธิปาฏิหารย์ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านให้ช่วยปกป้องคุ้มครองเรา
หรือเราควรจะหวังพึ่งปัญญาของท่าน ที่ช่วยเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้คนรุ่นหลังที่ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักต์ ได้ยินพระสัทธรรมจากพระโอษฐ์ ให้ได้เข้าใจความกระจ่างแจ้งพิสดารแห่งพระสัทธรรมของพระพุทธองค์
ในครั้งพุทธกาล หลายๆ ครั้ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่ภิกษุที่เป็นพระเสขะ
เมื่อเปิดดูพจนานุกรม พุทธศาสตร์ ของท่านปยุต
คำว่า "เสขะ" ผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล
โดยพิสดารมี ๗ คือ ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค,
พูดเอาแต่ระดับเป็น ๓ คือ พระโสดาปัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
****************************************
พวกเราก็รู้กันดีอยู่ว่า พระเสขะตั้งแต่พระโสดาบัน ขึ้นไป ละสักกายทิฏฐิ หรือความเห็นผิดว่ามีตัวตนของตนได้เด็ดขาดแล้ว
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า "เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน"
เมื่อพระเสขะได้ยินได้ฟังคำว่า "เรา" ในประโยคนี้ จึงไม่มีความเห็นผิดว่า จะต้องเป็น ตัวเรา ที่จะไปเดินไปฝึกเพื่อรู้ขัดว่าเราเดิน
***************************************************************
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า