ก้าวไกล จี้สอบ ก.อุตสาหกรรม ยกกระทรวง ไม่เว้น รมต. เอาผิดปมกากแคดเมียม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8202559
“สส.ก้าวไกล” จี้สอบสวน ก.อุตสาหกรรม ยกกระทรวง ไม่เว้น รมต. เอาผิดปมกากแคดเมียม ปล่อยปละละเลยหรือไม่ ข้องใจทำไมรีบขนกลับ จ.ตาก มีความพร้อมหรือไม่
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 เม.ย. 2567 ที่รัฐสภา นาย
กฤช ศิลปชัย สส.ระยอง พรรคก้าวไกล แถลงหลังลงพื้นที่กรณีกากแคดเมียม ที่จ.ชลบุรี และสมุทรสาคร ว่า ได้รับรายงานจากส่วนราชการในพื้นที่ว่า ในวันที่ 29 เม.ย.นี้ จะเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมไปยังโรงงานต้นทาง ที่จ.ตาก
นาย
กฤช กล่าวต่อว่า จึงเกรงว่าการนำกลับไปโดยทำแบบเร่งรีบนั้น จังหวัดต้นทางมีความพร้อมหรือไม่ และกระบวนการเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจจะต้องใช้รถบรรทุกขนย้ายกว่า 600 เที่ยวกว่าจะขนหมด
“
ขอเรียกร้องให้ดำเนินคดีตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมกับเจ้าของกากแคดเมียม หรือบริษัทผู้ครอบครองมลพิษดังกล่าว ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ให้เป็นไปตามกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง ที่ทำการเปิดหลุมกากแคดเมียม และขุดออกมาโดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีไอเอ เพราะการนำไปขาย ผิดแน่นอน เป็นการละเมิดกฎหมายอย่างไม่ถูกต้อง มีโทษทั้งทางอาญา และแพ่ง” นาย
กฤช กล่าว
นาย
กฤช กล่าวต่อว่า รวมถึงจะต้องมีมาตรการดูแลเยียวยาประชาชนในพื้นที่ด้วย เนื่องจากตนเห็นการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังมีรอยรั่วอีกมาก ของคณะกรรมการที่กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งขึ้น โดยเฉพาะจ.ชลบุรี พบว่าเป็นโรงงานทุนจีน เป็นเหมือนรัฐอิสระ ที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ซึ่งกากแคดเมียมบางส่วนถูกวางกลางแจ้ง ไม่มีหลังคาคลุม เมื่อมีฝนตกรั่วไหลออกมาปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อม ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมีการอายัดแล้ว แต่ทำไมปล่อยจึงปละละเลย
นาย
กฤช กล่าวว่า นอกจากนั้น ขอเรียกร้องให้สอบสวนและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเรื่องนี้เห็นเพียงแต่การสั่งย้าย ยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไรเพิ่มเติม
รวมทั้งขอให้รัฐบาลสอบสวนอธิบดีกรมโรงงานอุตสหกรรม อธิบดีกรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และรมว.อุตสาหกรรม ว่ามีส่วนปล่อยปละละเลยหรือไม่ และขอให้ดำเนินคดีกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่ตั้งแต่เกิดเรื่องมากลับเงียบ ทั้งที่กำกับดูแลเรื่องอีไอเอ
รวมถึงกระทรวงการคลัง ที่ถือหุ้นในบริษัทนี้กว่า 1 ใน 10 โดยผู้ถือหุ้นที่เป็นหน่วยงานของรัฐต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ที่ต้องร่วมแสดงความรับผิดชอบด้วย อย่างไรก็ตาม ตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับกมธ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาฯ ในวันที่ 1 พ.ค. นี้
กมธ.มั่นคง แนะรัฐ ออกบัตรปชช.รหัสพิเศษ แก้จนท.รับส่วยผู้ลี้ภัยพม่าเข้าประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4544405
‘กมธ.มั่นคง’ จ่อ ออกบัตรปชช.รหัสพิเศษให้ผู้ลี้ภัยเมียนมา เพื่อติดตามตรวจสอบ-แก้ปัญหาส่วย พร้อมใช้การค้าน้ำมันเชื้อเพลิงต่อรองสันติภาพ เผยเตรียมลงพื้นที่ชายแดนแม่สอด 12-14 พ.ค.นี้
เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการติดตามสถานการณ์การสู้รบในเมียนมากับผลกระทบต่อความมั่นคงและชายแดนไทย ว่า วันนี้ใน กมธ.มีการพูดคุยถึงเรื่องน้ำมันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่มีการซื้อขายจากประเทศไทยถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และน้ำมันบางส่วนใช้ในเรื่องอากาศยานที่ใช้ในปฏิบัติการโจมตี สิ่งเหล่านี้เป็นอำนาจต่อรองสำคัญที่ประเทศไทยสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพ และเพิ่มดุลในการเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา วันนี้ถ้าเรานับเฉพาะตัวเลขผู้หนีภัยการสู้รบอาจจะดูไม่มากมีแค่หลักพันเท่านั้น แต่ถ้าเรานับว่าตั้งแต่มีการรัฐประหารเมียนมาเป็นต้นมา จะพบว่ามีผู้หนีภัยจำนวนมหาศาล เราได้รับข้อมูลจากภาคประชาสังคมว่าคนเหล่านี้จำนวนมากต้องจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำให้คนเหล่านี้อยู่ในซอกหลืบ
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่เราควรดำเนินการและสามารถทำได้คือกลไกการออกบัตรประชาชนรหัสพิเศษ ขอย้ำว่าไม่ใช่การให้สถานะหรือบัตรประชาชนชาวไทย แต่เรากำลังพูดถึงอำนาจการดำเนินการเพื่อการตรวจสอบและติดตามได้ รวมถึงมีข้อเสนอของอนุกรรมการฯ ว่าเราอาจจะใช้อำนาจตามมาตรา 17 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองปี 2522 ที่จะให้ความเห็นชอบผู้ลี้ภัยเข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต หรือการอนุญาตสิ้นสุดลงและมีความจำเป็นต้องทำงานเลี้ยงชีพ ก็สามารถให้อยู่อาศัยได้ชั่วคราวได้ เพื่อเข้าสู่การบริหารจัดการตามกฎหมายในอนาคต วิธีการเหล่านี้จะตอบโจทย์ภาคเศรษฐกิจของเราที่ต้องการแรงงานได้
นาย
ปิยรัฐ จงเทพ โฆษก กมธ. กล่าวว่า กมธ.เตรียมนำคณะลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ในช่วงวันที่ 12-14 พ.ค. เพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง ที่สำคัญหลังจากนั้นจะมีการเดินทางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
หวั่นมาตรการลดดอกเบี้ยไม่ตรงปก เอสเอ็มอีเดือดร้อนตัวจริงเข้าไม่ถึง
https://www.dailynews.co.th/news/3374884/
วอนแบงก์เคลียร์คำนิยามเอสเอ็มอีเปราะบางให้ชัด หวั่นมาตรการลดดอกเบี้ยไม่ตรงปก คนเดือดร้อนตัวจริงเข้าไม่ถึง ขอลดดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลที่สูงปรี๊ด 25% พ่วงด้วยพิโก-นาโนด้วย
นาย
แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงกรณีสมาคมธนาคารไทย เตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เฉพาะเอ็มอาร์อาร์ หรือดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีในกลุ่มเปราะบาง และเอสเอ็มอีเป็นระยะเวลา 6 เดือนว่า ได้ตั้งข้อสังเกตการลดดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ 0.25% สมาคมธนาคารไทย มีคำนิยามกลุ่มเปราะบาง และเอสเอ็มอีเป็นอย่างไร เนื่องจากแต่ละสถาบันการเงินมีการกำหนดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนจะใช้นิยามของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นเกณฑ์
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้เอสเอ็มอี คือ วงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5-50 ล้านบาท และรายย่อย วงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท ที่สำคัญตัวชี้วัดการรายงานผลการช่วยเหลือได้จำนวนคน และลดผลกระทบเท่าไรในแต่ละสถาบันการเงิน ไม่ใช่มีแต่โครงการ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับประโยชน์หรือรับประโยชน์ไม่ตรงปก
นอกจากนี้ ธปท.ควรเข้ามาทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่สูงถึง 25% และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ต้องทบทวนอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อพิโก ไฟแนนซ์ และนาโนไฟแนนซ์ในปัจจุบันที่สูงถึง 36% ร่วมด้วยในการให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทั้งระบบ เนื่องจากผลการสำรวจของ สสว.ล่าสุด พบว่า เอสเอ็มอีต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลด้านกู้ยืมมากที่สุดถึง 64% และเอสเอ็มอี 46% เผชิญภาระดอกเบี้ยสูง ขาดสภาพคล่อง และการเข้าถึงแหล่งทุนยากขึ้น
รวมทั้งเอสเอ็มอี 85% ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับยังไม่ตรงตามความต้องการ ซึ่ง ธปท. ควรนำปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวไปทบทวนอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ลดลง และมีเกณฑ์กำกับอัตราดอกเบี้ยความเสี่ยงที่สถาบันการเงินคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับเอสเอ็มอีและประชาชนให้มีมาตรฐาน ความเป็นธรรม ไม่สร้างเป็นภาพลวงตา แต่ต้องให้เอสเอ็มอี กลุ่มเปราะบางและประชาชนสัมผัสได้ถึงที่พึ่งพิงให้ความเป็นธรรมและเอาใจใส่ความทุกข์ยากของประชาชนคนเศรษฐกิจฐานราก
“
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญและผลักดันช่วยเหลือกับภาระค่าครองชีพ ความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและกลุ่มประชาชนที่เปราะบาง เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่ส่งผลกระทบทวีความรุนแรงต่อขีดความสามารถในการชำระหนี้ และต้องขอชื่นชมสมาคมธนาคารไทยที่คำนึงถึงผลกระทบเศรษฐกิจฐานรากที่ยังไม่ฟื้นตัว และต้องการส่งเสริม สนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องในการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมทั้งดิจิทัลเทคโนโลยี การยกระดับคุณภาพมาตรฐาน ช่องทางการตลาดสมัยใหม่ และกระแสการปรับตัวของเอสเอ็มอีรองรับธุรกิจคาร์บอนต่ำ แต่ก็มีข้อสังเกตในเรื่องคำนิยามให้ตรงปก ตรงตามวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงมาตรการอย่างแท้จริง”
สิงคโปร์แจกเงิน บ้านละ 8,000 ไว้ซื้อ "เครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปา" ลดโลกร้อน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8202501
สิงคโปร์แจกเงิน 8,000 บาทกว่า 1 ล้านครัวเรือน ให้ประชาชนซื้อ “เครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปา” ประหยัดพลังงาน หวังลดโลกร้อน
เมื่อวันที่ 24 เม.ย 67
เว็บไซต์เดอะสเตรตส์ไทมส์ของสิงคโปร์ ได้รายงานถึงความคืบหน้าของโครงการ Climate Friendly Households Programme ซึ่งเป็นโครงการที่มอบสิทธิให้ผู้อยู่อาศัยในเคหสถานของคณะกรรมการการเคหะและการพัฒนา (HDB) ของสิงคโปร์ ในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โครงการดังกล่าวเปิดตัวครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2563 สืบเนื่องจากประเด็นราคาก๊าซและค่าไฟฟ้าที่เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น และความต้องการของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ต้องการส่งเสริมการประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อม
โดยมีข้อกำหนดว่าจะแจกคูปองมูลค่า 225 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 6,100 บาท) ให้เฉพาะผู้อาศัยในแฟลตของ HDB ขนาด 1-3 ห้อง และจำกัดให้ซื้อได้เฉพาะตู้เย็น หลอดไฟ LED และฝักบัวอาบน้ำเท่านั้น
เนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าวจึงทำให้โครงการเฟสแรกมีผู้ลงทะเบียนประมาณ 145,800 ครัวเรือน จากจำนวนที่มีสิทธิทั้งหมดประมาณ 300,000 ครัวเรือน และมีผู้ใช้คูปองจริง แค่ 62,800 ครัวเรือนเท่านั้น
ดังนั้นในโครงการเฟสสองจึงมีขยายประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปาเป็น 10 ประเภท และเพิ่มจำนวนครัวเรือนที่ได้สิทธิเป็น 1.1 ล้านครัวเรือน พร้อมเพิ่มวงเงินให้เป็น 300 ดอลลาร์ (ราว 8,000 บาท)
โดยเครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปาที่กำหนดไว้ 10 ประเภท ได้แก่ ตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ, หลอดไฟ LED, พัดลม, เครื่องซักผ้า, ซิงก์, ฝักบัว, ก๊อกน้ำ, โถส้วม และฮีตปั๊ม ซึ่งเครื่องใช้เหล่านี้ต้องมีสัญลักษณ์เครื่องหมายถูก (Ticks) หรือได้รับการรับรองประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน
ประชาชนที่ลงทะเบียนสามารถใช้คูปองได้จนถึงสิ้นปี 2570 แลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จากร้านค้า 14 แหล่ง ซึ่งทางรัฐบาลคาดว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
JJNY : 5in1 ก้าวไกลจี้สอบก.อุต│กมธ.มั่นคง แนะรัฐ │หวั่นลดดอกเบี้ยไม่ตรงปก│สิงคโปร์แจกเงิน ลดโลกร้อน│รัสเซียลั่นเล็งเป้า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8202559
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 เม.ย. 2567 ที่รัฐสภา นายกฤช ศิลปชัย สส.ระยอง พรรคก้าวไกล แถลงหลังลงพื้นที่กรณีกากแคดเมียม ที่จ.ชลบุรี และสมุทรสาคร ว่า ได้รับรายงานจากส่วนราชการในพื้นที่ว่า ในวันที่ 29 เม.ย.นี้ จะเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมไปยังโรงงานต้นทาง ที่จ.ตาก
นายกฤช กล่าวต่อว่า จึงเกรงว่าการนำกลับไปโดยทำแบบเร่งรีบนั้น จังหวัดต้นทางมีความพร้อมหรือไม่ และกระบวนการเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจจะต้องใช้รถบรรทุกขนย้ายกว่า 600 เที่ยวกว่าจะขนหมด
“ขอเรียกร้องให้ดำเนินคดีตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมกับเจ้าของกากแคดเมียม หรือบริษัทผู้ครอบครองมลพิษดังกล่าว ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ให้เป็นไปตามกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง ที่ทำการเปิดหลุมกากแคดเมียม และขุดออกมาโดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีไอเอ เพราะการนำไปขาย ผิดแน่นอน เป็นการละเมิดกฎหมายอย่างไม่ถูกต้อง มีโทษทั้งทางอาญา และแพ่ง” นายกฤช กล่าว
นายกฤช กล่าวต่อว่า รวมถึงจะต้องมีมาตรการดูแลเยียวยาประชาชนในพื้นที่ด้วย เนื่องจากตนเห็นการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังมีรอยรั่วอีกมาก ของคณะกรรมการที่กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งขึ้น โดยเฉพาะจ.ชลบุรี พบว่าเป็นโรงงานทุนจีน เป็นเหมือนรัฐอิสระ ที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ซึ่งกากแคดเมียมบางส่วนถูกวางกลางแจ้ง ไม่มีหลังคาคลุม เมื่อมีฝนตกรั่วไหลออกมาปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อม ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมีการอายัดแล้ว แต่ทำไมปล่อยจึงปละละเลย
นายกฤช กล่าวว่า นอกจากนั้น ขอเรียกร้องให้สอบสวนและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเรื่องนี้เห็นเพียงแต่การสั่งย้าย ยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไรเพิ่มเติม
รวมทั้งขอให้รัฐบาลสอบสวนอธิบดีกรมโรงงานอุตสหกรรม อธิบดีกรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และรมว.อุตสาหกรรม ว่ามีส่วนปล่อยปละละเลยหรือไม่ และขอให้ดำเนินคดีกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่ตั้งแต่เกิดเรื่องมากลับเงียบ ทั้งที่กำกับดูแลเรื่องอีไอเอ
รวมถึงกระทรวงการคลัง ที่ถือหุ้นในบริษัทนี้กว่า 1 ใน 10 โดยผู้ถือหุ้นที่เป็นหน่วยงานของรัฐต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ที่ต้องร่วมแสดงความรับผิดชอบด้วย อย่างไรก็ตาม ตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับกมธ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาฯ ในวันที่ 1 พ.ค. นี้
กมธ.มั่นคง แนะรัฐ ออกบัตรปชช.รหัสพิเศษ แก้จนท.รับส่วยผู้ลี้ภัยพม่าเข้าประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4544405
‘กมธ.มั่นคง’ จ่อ ออกบัตรปชช.รหัสพิเศษให้ผู้ลี้ภัยเมียนมา เพื่อติดตามตรวจสอบ-แก้ปัญหาส่วย พร้อมใช้การค้าน้ำมันเชื้อเพลิงต่อรองสันติภาพ เผยเตรียมลงพื้นที่ชายแดนแม่สอด 12-14 พ.ค.นี้
เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการติดตามสถานการณ์การสู้รบในเมียนมากับผลกระทบต่อความมั่นคงและชายแดนไทย ว่า วันนี้ใน กมธ.มีการพูดคุยถึงเรื่องน้ำมันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่มีการซื้อขายจากประเทศไทยถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และน้ำมันบางส่วนใช้ในเรื่องอากาศยานที่ใช้ในปฏิบัติการโจมตี สิ่งเหล่านี้เป็นอำนาจต่อรองสำคัญที่ประเทศไทยสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพ และเพิ่มดุลในการเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา วันนี้ถ้าเรานับเฉพาะตัวเลขผู้หนีภัยการสู้รบอาจจะดูไม่มากมีแค่หลักพันเท่านั้น แต่ถ้าเรานับว่าตั้งแต่มีการรัฐประหารเมียนมาเป็นต้นมา จะพบว่ามีผู้หนีภัยจำนวนมหาศาล เราได้รับข้อมูลจากภาคประชาสังคมว่าคนเหล่านี้จำนวนมากต้องจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำให้คนเหล่านี้อยู่ในซอกหลืบ
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่เราควรดำเนินการและสามารถทำได้คือกลไกการออกบัตรประชาชนรหัสพิเศษ ขอย้ำว่าไม่ใช่การให้สถานะหรือบัตรประชาชนชาวไทย แต่เรากำลังพูดถึงอำนาจการดำเนินการเพื่อการตรวจสอบและติดตามได้ รวมถึงมีข้อเสนอของอนุกรรมการฯ ว่าเราอาจจะใช้อำนาจตามมาตรา 17 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองปี 2522 ที่จะให้ความเห็นชอบผู้ลี้ภัยเข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต หรือการอนุญาตสิ้นสุดลงและมีความจำเป็นต้องทำงานเลี้ยงชีพ ก็สามารถให้อยู่อาศัยได้ชั่วคราวได้ เพื่อเข้าสู่การบริหารจัดการตามกฎหมายในอนาคต วิธีการเหล่านี้จะตอบโจทย์ภาคเศรษฐกิจของเราที่ต้องการแรงงานได้
นายปิยรัฐ จงเทพ โฆษก กมธ. กล่าวว่า กมธ.เตรียมนำคณะลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ในช่วงวันที่ 12-14 พ.ค. เพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง ที่สำคัญหลังจากนั้นจะมีการเดินทางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
หวั่นมาตรการลดดอกเบี้ยไม่ตรงปก เอสเอ็มอีเดือดร้อนตัวจริงเข้าไม่ถึง
https://www.dailynews.co.th/news/3374884/
วอนแบงก์เคลียร์คำนิยามเอสเอ็มอีเปราะบางให้ชัด หวั่นมาตรการลดดอกเบี้ยไม่ตรงปก คนเดือดร้อนตัวจริงเข้าไม่ถึง ขอลดดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลที่สูงปรี๊ด 25% พ่วงด้วยพิโก-นาโนด้วย
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงกรณีสมาคมธนาคารไทย เตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เฉพาะเอ็มอาร์อาร์ หรือดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีในกลุ่มเปราะบาง และเอสเอ็มอีเป็นระยะเวลา 6 เดือนว่า ได้ตั้งข้อสังเกตการลดดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ 0.25% สมาคมธนาคารไทย มีคำนิยามกลุ่มเปราะบาง และเอสเอ็มอีเป็นอย่างไร เนื่องจากแต่ละสถาบันการเงินมีการกำหนดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนจะใช้นิยามของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นเกณฑ์
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้เอสเอ็มอี คือ วงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5-50 ล้านบาท และรายย่อย วงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท ที่สำคัญตัวชี้วัดการรายงานผลการช่วยเหลือได้จำนวนคน และลดผลกระทบเท่าไรในแต่ละสถาบันการเงิน ไม่ใช่มีแต่โครงการ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับประโยชน์หรือรับประโยชน์ไม่ตรงปก
นอกจากนี้ ธปท.ควรเข้ามาทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่สูงถึง 25% และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ต้องทบทวนอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อพิโก ไฟแนนซ์ และนาโนไฟแนนซ์ในปัจจุบันที่สูงถึง 36% ร่วมด้วยในการให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทั้งระบบ เนื่องจากผลการสำรวจของ สสว.ล่าสุด พบว่า เอสเอ็มอีต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลด้านกู้ยืมมากที่สุดถึง 64% และเอสเอ็มอี 46% เผชิญภาระดอกเบี้ยสูง ขาดสภาพคล่อง และการเข้าถึงแหล่งทุนยากขึ้น
รวมทั้งเอสเอ็มอี 85% ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับยังไม่ตรงตามความต้องการ ซึ่ง ธปท. ควรนำปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวไปทบทวนอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ลดลง และมีเกณฑ์กำกับอัตราดอกเบี้ยความเสี่ยงที่สถาบันการเงินคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับเอสเอ็มอีและประชาชนให้มีมาตรฐาน ความเป็นธรรม ไม่สร้างเป็นภาพลวงตา แต่ต้องให้เอสเอ็มอี กลุ่มเปราะบางและประชาชนสัมผัสได้ถึงที่พึ่งพิงให้ความเป็นธรรมและเอาใจใส่ความทุกข์ยากของประชาชนคนเศรษฐกิจฐานราก
“สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญและผลักดันช่วยเหลือกับภาระค่าครองชีพ ความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและกลุ่มประชาชนที่เปราะบาง เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่ส่งผลกระทบทวีความรุนแรงต่อขีดความสามารถในการชำระหนี้ และต้องขอชื่นชมสมาคมธนาคารไทยที่คำนึงถึงผลกระทบเศรษฐกิจฐานรากที่ยังไม่ฟื้นตัว และต้องการส่งเสริม สนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องในการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมทั้งดิจิทัลเทคโนโลยี การยกระดับคุณภาพมาตรฐาน ช่องทางการตลาดสมัยใหม่ และกระแสการปรับตัวของเอสเอ็มอีรองรับธุรกิจคาร์บอนต่ำ แต่ก็มีข้อสังเกตในเรื่องคำนิยามให้ตรงปก ตรงตามวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงมาตรการอย่างแท้จริง”
สิงคโปร์แจกเงิน บ้านละ 8,000 ไว้ซื้อ "เครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปา" ลดโลกร้อน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8202501
สิงคโปร์แจกเงิน 8,000 บาทกว่า 1 ล้านครัวเรือน ให้ประชาชนซื้อ “เครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปา” ประหยัดพลังงาน หวังลดโลกร้อน
เมื่อวันที่ 24 เม.ย 67 เว็บไซต์เดอะสเตรตส์ไทมส์ของสิงคโปร์ ได้รายงานถึงความคืบหน้าของโครงการ Climate Friendly Households Programme ซึ่งเป็นโครงการที่มอบสิทธิให้ผู้อยู่อาศัยในเคหสถานของคณะกรรมการการเคหะและการพัฒนา (HDB) ของสิงคโปร์ ในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โครงการดังกล่าวเปิดตัวครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2563 สืบเนื่องจากประเด็นราคาก๊าซและค่าไฟฟ้าที่เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น และความต้องการของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ต้องการส่งเสริมการประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อม
โดยมีข้อกำหนดว่าจะแจกคูปองมูลค่า 225 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 6,100 บาท) ให้เฉพาะผู้อาศัยในแฟลตของ HDB ขนาด 1-3 ห้อง และจำกัดให้ซื้อได้เฉพาะตู้เย็น หลอดไฟ LED และฝักบัวอาบน้ำเท่านั้น
เนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าวจึงทำให้โครงการเฟสแรกมีผู้ลงทะเบียนประมาณ 145,800 ครัวเรือน จากจำนวนที่มีสิทธิทั้งหมดประมาณ 300,000 ครัวเรือน และมีผู้ใช้คูปองจริง แค่ 62,800 ครัวเรือนเท่านั้น
ดังนั้นในโครงการเฟสสองจึงมีขยายประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปาเป็น 10 ประเภท และเพิ่มจำนวนครัวเรือนที่ได้สิทธิเป็น 1.1 ล้านครัวเรือน พร้อมเพิ่มวงเงินให้เป็น 300 ดอลลาร์ (ราว 8,000 บาท)
โดยเครื่องใช้ไฟฟ้า-ประปาที่กำหนดไว้ 10 ประเภท ได้แก่ ตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ, หลอดไฟ LED, พัดลม, เครื่องซักผ้า, ซิงก์, ฝักบัว, ก๊อกน้ำ, โถส้วม และฮีตปั๊ม ซึ่งเครื่องใช้เหล่านี้ต้องมีสัญลักษณ์เครื่องหมายถูก (Ticks) หรือได้รับการรับรองประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน
ประชาชนที่ลงทะเบียนสามารถใช้คูปองได้จนถึงสิ้นปี 2570 แลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จากร้านค้า 14 แหล่ง ซึ่งทางรัฐบาลคาดว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต