เมื่อได้ยินคำว่ามะเร็ง อย่าเพิ่งด่วนสรุป ว่า มะเร็ง = ตาย คนที่รอดจากมะเร็งก็มี คนที่เป็นแล้วกลับมาเป็นซ้ำก็มี และ คนที่อยู่กับมะเร็งระยะ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายได้นานและมีความสุขก็มี มะเร็งหรือ cancer ซึ่งหมายถึงโรคระดับเซลล์ (cell) เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมให้เซลล์ต้องปรับตัวขยายร่างผิดปกติ มันจึงเป็นภัยต่ออวัยวะส่วนอื่นในร่างกาย
มะเร็งต่างจากเนื้องอกตรงที่มันกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ เพราะมันคือ เซลล์ ที่ไปงอกในที่ใหม่ได้ ส่วนเนื้องอก ตัดแล้วอาจจะไม่งอกอีก หรือ งอกใหม่จากจุดเดิม ในเบื้องต้น เราต้องผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก แล้วหมอใช้คีโม + การฉายรังสี เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์เหล่านั้น
เมื่อเป็นมะเร็งอย่าเพิ่งจินตนาการร้ายๆจนจิตตก ควรฝึกจิต แล้วศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ พร้อมปรับพฤติกรรมทั้งการอยู่ การกิน การนอน เสียใหม่
เราเคยเป็นมะเร็งมาก่อน ปัจจุบัน เราตรวจร่างกายทุกปี ลาออกมาทำงานอิสระเพื่อลดความเครียด และได้ความยืดหยุ่นด้านเวลา เรารักษามะเร็งโดยวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ + วิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติ ไม่ใช้ยาหม้อ เราเชื่อในเรื่อง เหตุ-ปัจจัย-ผล
ปัจจุบันคนเป็นมะเร็งมากขึ้น เพราะภาวะสังคมอุตสาหกรรม ทั้งมลพิษ อาหารเจือปนสารเคมี ที่เรารับเข้าไปในชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิตที่มุ่งกับสิ่งอื่นมากกว่าใส่ใจสุขภาพตัวเอง แม้แต่คนที่เป็นคนดีเกินไป ก็มักจะเป็นมะเร็งได้ เพราะแคร์คนอื่นเกินไป จนเก็บกดความเครียดไว้
นอกจากนี้ เมื่อไล่ไปดูบรรบุรุษ คนเราจะมีโรคคล้ายๆ กับบรรพบุรุษ เพราะลักษณะยีนส์ และอาหารการกิน ความชอบในการใช้ชีวิตคล้ายคลึงกัน ดังนั้นคนที่มีบรรพบุรุษเป็นมะเร็ง ควรจะปรับไลฟ์สไตล์ เพื่อกันโรคนี้ไว้แต่เนิ่นๆ
วิธีรอดจากมะเร็ง หรือ อยู่กับมะเร็งอย่างมีความสุข ตามหลักที่เราปฎิบัติ มีดังนี้
(ขอออกตัวก่อนว่า แนะเป็นแนวทาง โปรดใช้วิจารญาณ เพราะสภาพปัญหาสุขภาพแต่ละคนแตกต่างกัน)
1. อาหาร
· คนเป็นมะเร็งมักขาดวิตามิน เอ-ซี -ดี หันมาให้ความสำคัญกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง สับปะรด ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอรี่ ลูกหวาย กระท้อน ผลไม้ป่ารสเปรี้ยวที่ทานได้ ลดแป้ง-โปรตีน-ไขมัน เน้นอาหารที่มีวิตามินมากขึ้น
· เน้นทานอาหารธรรมชาติที่มีสี เช่น แครอท เผือก มัน มะละกอ ทับทิม เสาวรส พริกหยวก มะม่วงหาวมะนาวโห่ ข้าวเหนียวดำ ข้าวกล้อง
· สนใจรสหวานเปรี้ยวจากธรรมชาติโดยตรง ไม่เติมสารเคมีลงไป หรือ เติมให้น้อย มีความสุขกับการทดลองสูตรน้ำปั่นเช่น น้ำขิง+น้าอ้อย+น้ำมะนาว เสาวรส+มะม่วง รวมถึงใบไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ยอดมะม่วงหิมพานต์ ใบชะมวง
*** หลายประเทศเอาวัตุดิบของเราไปผลิตยา ทั้งที่เราทานสิ่งเหล่านี้ได้เลยจากธรรมชาติ "Coach Bank" นักโภชนาการซึ่งมีช่อง Youtube กล่าวถึงงานวิจัยหนึ่งระบุว่า อาหารจากธรรมชาติเชื่อมกับระบบร่างกายได้ดีกว่าการเอาไปสกัดเป็นสารเคมี ที่อาจทำให้ไตทำงานหนัก เพราะในอาหาร 1 ตัว เช่น ส้ม 1 กลีบ มีความซับซ้อนทั้ง ไฟเบอร์และวิตามินต่างๆ ที่ไม่ใช่สารอาหารตัวเดียว ซึ่งธรรมชาติสร้างกลไกอวัยวะให้รับอาหารแบบนั้นได้ดีในสภาพปกติ อันนี้ ใครมีข้อมูลที่ชัดเจน นำมายืนยัน หรือ อภิปรายกันได้ค่ะ ส่วนคนที่ต้องโดสสารบางตัวมากเป็นพิเศษ ขอให้ทำตามข้อวินิจฉัยของแพทย์
ประเทศไทยเหมาะมาก ที่จะทำธุรกิจด้านสุขภาพ หรือ เป็นแหล่งจัดที่พัก สำหรับคนเกษียณ ระดับโลก เพราะอาหารการกินที่เอื้อไปทางสมุนไพร
(herbal food, medical food)
- ลดทานน้ำตาลทุกชนิดรวมถึงลดทานผลไม้หวานจัดและน้ำผึ้ง ทานให้น้อยลง หรือ นานๆครั้ง เน้นน้ำตาลธรรมชาติที่เข้าสู่ร่างกายได้ช้า เช่น น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลตโหนด เพราะน้ำตาลมีผลต่อความเสื่อมสภาพของเซลล์ที่เร็วกว่าอายุ และน้ำตาลยังไปกดภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จากตัวอย่างบทความ “น้ำตาล ภัยร้ายที่มาพร้อมความหวาน” - พบแพทย์ (pobpad.com) "ภัยร้ายจากน้ำตาล" • สุขภาพดี (sukkaphap-d.com)
· ลดอาหารที่มีสารเคมีทุกชนิด
เท่าที่จะทำได้ หลีกเลี่ยงน้ำเชื่อมที่ผสมในน้ำปลา ซอสปรุงรส เครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง/ขวด/กล่อง _"น้ำเชื่อมที่มีฟรุกโตสสูง (Hight Fructose Corn Syrup – HFCS) ไขมันทรานส์ สารกันบูด ผงชูรส สีผสมอาหาร
· เลิกดื่มอัลกอฮอล์ ดื่มน้ำผักผลไม้ปั่น ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม กาแฟเน้นหวานน้อย หันไปสนใจน้ำขิง น้ำมะนาว ชาเขียว
· ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น หัวปลี กล้วยน้ำว้าที่ไม่สุกมาก ดอกกระเจี๊ยบ อัญชัญ กระเทียม ตะไคร้ งาดำ ฯลฯ สนใจอาหารรส "เปรี้ยว ขม ฝาด" เช่น ชาเขียว ขิง ข่า กระชาย ของพวกนี้มีฤทธ์เป็นยา ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่เรามีติดบ้าน ทานเป็นประจำ
· เราไม่ได้หยุดทานเนื้อสัตว์ แต่ทานให้น้อยลง เพราะโปรตีนถั่วแทนโปรตีนสัตว์ไม่ได้ทุกรายละเอียด
· งดทานเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม กุนเชียง แหนม ไส้กรอก ลูกชิ้น หรือทานให้น้อยลง อย่าทานเป็นประจำ
· เลี่ยงอาหารประเภทเผาไหม้ ที่มีความดำ จนเกิดสารก่อมะเร็ง เช่น กาแฟคั่วแบบเกินปานกลาง ถั่วคั่ว ขนมปังปิ้ง ปลาปิ้ง ที่มีรอยดำไหม้
***อาหารที่ไม่เหมาะกับมะเร็ง งดไปเลยช่วงรักษา พอหาย ทานบ้างในระดับที่ไม่ให้ร่างกายเครียด ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์
2. อากาศ มะเร็งไม่ใช้ออกซิเจนในการเติบโต ดังนั้นมันจึงชอบก๊าซชนิดอื่น ถ้าจำไม่ผิด คือ คาร์บอนไดออกไซด์ การอยู่ใต้ต้นไม้ตอนกลางวัน ทำสวน ช่วยได้มาก ปรับสภาพร่างกายให้ได้รับออกซีเจนเต็มที่ ทำให้เซลล์ปกติที่ไม่ใช่เซลล์มะเร็งแข็งแรง บรรยากาศภายในร่างกายที่สมบูรณ์ จะลดการปรับตัวของเซลล์จากเซลล์ปกติไปสู่เซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์จะปรับตัวเมื่อมันอยู่ในบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ
3. อารมณ์ ใช้เวลาศึกษาความรู้ใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ผ่อนคลายจิตใจ คุยถึงสิ่งดีๆของชีวิต ดูซีรีย์ ดูหนัง-ละคร ฟังเพลง ดูเดี่ยวไมโครโฟน ให้ลืมความทุกข์ จนร่างกายหลั่งฮอร์โมนความสุขมาดูแลสุขภาพ
ด้านไสยศาสตร์ สุดแต่ความเชื่อแต่ละคน ถ้าไหว้พระแล้วสบายใจขึ้น ก็โอเค
แม้จะบนบานบ้าง ต้องดูแลตัวเองในภาคปฏิบัติจริงด้วย ถ้าบนว่าอยากให้อาการดีขึ้น แต่ชีวิตจริงไม่ลงมือทำอะไรเลย แล้วสุขภาพจะดีขึ้นได้อย่างไร
ปรับทัศนคติเชิงบวกในการไปพบแพทย์ เรารู้สึกสนุก ที่ได้รักษาระยะยาวกับแพทย์ถึง 4 คน หากเป็นมะเร็งก็คงไม่ได้รู้จักกัน ในบางครั้งเราก็รู้สึกชอบไปโรงพยาบาล คล้ายจะเป็นบ้านหลังที่ 2 ไม่ได้คิดว่าเป็นภาระ วัยเด็ก เราก็สนุกกับการไปโรงเรียน พออายุมากขึ้นก็ไปโรงพยาบาล ชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน วิธีการหารายได้ก็ไม่เหมือนกัน เราต้องออกแบบใหม่ไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นไม่ได้
4. อาบแดด ทุกเช้า แดดยามเช้าถึง 9.00 น มีวิตามินดีสูง ช่วยให้ระบบฮอร์โมนทำงานได้ดี ข้อ/กระดูกแข็งแรงขึ้น
การรดน้ำต้นไม้ ทำสวนเล็กๆ น้อยๆ หรือ แม้แต่นอนอาบแดด สบายๆ ยามเช้า
5. ออกกำลังกาย เมื่ออายุมากขึ้น หรือ หายดีขึ้น ออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ แต่นานๆ เช่น สมัยก่อน วิ่งครึ่งชม พอหายจากมะเร็ง เราเดิน และทำสวน 2 ชม ยามเช้า การออกกำลังกายหนัก ทำให้ร่างกายเครียด เลือดเป็นกรด ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เมื่อก่อนเราออกกำลังกายหนักเป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง แต่น้ำหนักกลับเพิ่ม ช่วงหลัง ลดทานน้ำตาล ออกกำลังกายเบากลางแสงแดดยามเช้า นาน 1-2 ชม. ลดน้ำหนักได้ จาก 60 เป็น 50 กก.
6. อุจจาระ / ขับถ่าย ให้ความสำคัญกับระบบขับถ่าย การทานพวกโยเกิร์ต โปรไบโอติก หรือ ตระกูลพวกนี้ที่น้ำตาลน้อย อาหารที่มีกากใย การให้ของเสียหมักหมมในลำไส้ เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ควรขับถ่ายได้อย่างไม่ทรมาน อาจจะวันเว้นวัน แต่รู้สึกถึงความสบายตัว อาหารที่ดี เช่น แอปเปิ้ลองุ่นเขียว กล้วยน้ำว้า เวลาทานอาจไม่อร่อยมาก แต่เวลาขับถ่ายมีความสุขมาก
การรักษา เลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งโดยตรง และตั้งใจปฎิบัติตามให้คุณหมอทำงานง่าย อีกทั้งศึกษาเรื่องธรรมชาติของร่างกายเชิงลึกจนเข้าใจระบบร่างกายมนุษย์ ที่สัมพันธ์กับอาหาร สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อโรค ในช่วงที่รับคีโม ร่างกายจะอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย ต้องแน่ใจว่า อาหารที่ทานเข้าไปสะอาดเพียงพอในช่วงรับคีโม เช่น ทานผักลวก แทนผักสด เพราะผักลวกผ่านการฆ่าเชื้อโรคมาแล้ว ไม่อยู่ใกล้คนเป็นโรคติดต่อ
ชีวิตพ้น 40 ปี โรคต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะร่างกายพ้นวัยหนุ่มสาวที่แข็งแกร่ง หลายคนเมื่ออายุมากขึ้น ยังทำตัวเหมือนตอนวัยรุ่น เช่น นอนน้อย สนใจความอร่อยของอาหารมากกว่าโภชนาการ ไม่จัดสัดส่วนเวลาให้กับการออกกำลังกาย การพักผ่อน เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาโรค
การป่วยเหมือนร่างกายเข้าสู่ภาวะวิกฤต ไม่ได้หมายความว่า ต้องตายเสมอไป หากเรามีสติ ก็จะพาชีวิตก้าวเดินบนเส้นด้ายผ่านไปได้ และต้องไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ที่นำเราไปสู่โรคนั้นอีก เพราะอาจกลับไปเป็นซ้ำได้ เราสามารถอยู่กับโรคหรือปัญหาได้อย่างมีความสุข พอใจในคุณค่าชีวิต จนหมดลมหายใจ แม้เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ 100% แต่การใช้สติ ความรู้ และการประสานงาน จะช่วยให้ปัญหาเบาบางลง และรับมือกับสิ่งต่างๆได้
แนะนำจากคนเคยเป็นมะเร็งต่อผู้ป่วยมะเร็งและผู้ไม่อยากเป็นมะเร็ง
มะเร็งต่างจากเนื้องอกตรงที่มันกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ เพราะมันคือ เซลล์ ที่ไปงอกในที่ใหม่ได้ ส่วนเนื้องอก ตัดแล้วอาจจะไม่งอกอีก หรือ งอกใหม่จากจุดเดิม ในเบื้องต้น เราต้องผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก แล้วหมอใช้คีโม + การฉายรังสี เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์เหล่านั้น
เมื่อเป็นมะเร็งอย่าเพิ่งจินตนาการร้ายๆจนจิตตก ควรฝึกจิต แล้วศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ พร้อมปรับพฤติกรรมทั้งการอยู่ การกิน การนอน เสียใหม่
เราเคยเป็นมะเร็งมาก่อน ปัจจุบัน เราตรวจร่างกายทุกปี ลาออกมาทำงานอิสระเพื่อลดความเครียด และได้ความยืดหยุ่นด้านเวลา เรารักษามะเร็งโดยวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ + วิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติ ไม่ใช้ยาหม้อ เราเชื่อในเรื่อง เหตุ-ปัจจัย-ผล
ปัจจุบันคนเป็นมะเร็งมากขึ้น เพราะภาวะสังคมอุตสาหกรรม ทั้งมลพิษ อาหารเจือปนสารเคมี ที่เรารับเข้าไปในชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิตที่มุ่งกับสิ่งอื่นมากกว่าใส่ใจสุขภาพตัวเอง แม้แต่คนที่เป็นคนดีเกินไป ก็มักจะเป็นมะเร็งได้ เพราะแคร์คนอื่นเกินไป จนเก็บกดความเครียดไว้
นอกจากนี้ เมื่อไล่ไปดูบรรบุรุษ คนเราจะมีโรคคล้ายๆ กับบรรพบุรุษ เพราะลักษณะยีนส์ และอาหารการกิน ความชอบในการใช้ชีวิตคล้ายคลึงกัน ดังนั้นคนที่มีบรรพบุรุษเป็นมะเร็ง ควรจะปรับไลฟ์สไตล์ เพื่อกันโรคนี้ไว้แต่เนิ่นๆ
วิธีรอดจากมะเร็ง หรือ อยู่กับมะเร็งอย่างมีความสุข ตามหลักที่เราปฎิบัติ มีดังนี้
(ขอออกตัวก่อนว่า แนะเป็นแนวทาง โปรดใช้วิจารญาณ เพราะสภาพปัญหาสุขภาพแต่ละคนแตกต่างกัน)
1. อาหาร
· คนเป็นมะเร็งมักขาดวิตามิน เอ-ซี -ดี หันมาให้ความสำคัญกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง สับปะรด ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอรี่ ลูกหวาย กระท้อน ผลไม้ป่ารสเปรี้ยวที่ทานได้ ลดแป้ง-โปรตีน-ไขมัน เน้นอาหารที่มีวิตามินมากขึ้น
· เน้นทานอาหารธรรมชาติที่มีสี เช่น แครอท เผือก มัน มะละกอ ทับทิม เสาวรส พริกหยวก มะม่วงหาวมะนาวโห่ ข้าวเหนียวดำ ข้าวกล้อง
· สนใจรสหวานเปรี้ยวจากธรรมชาติโดยตรง ไม่เติมสารเคมีลงไป หรือ เติมให้น้อย มีความสุขกับการทดลองสูตรน้ำปั่นเช่น น้ำขิง+น้าอ้อย+น้ำมะนาว เสาวรส+มะม่วง รวมถึงใบไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ยอดมะม่วงหิมพานต์ ใบชะมวง
*** หลายประเทศเอาวัตุดิบของเราไปผลิตยา ทั้งที่เราทานสิ่งเหล่านี้ได้เลยจากธรรมชาติ "Coach Bank" นักโภชนาการซึ่งมีช่อง Youtube กล่าวถึงงานวิจัยหนึ่งระบุว่า อาหารจากธรรมชาติเชื่อมกับระบบร่างกายได้ดีกว่าการเอาไปสกัดเป็นสารเคมี ที่อาจทำให้ไตทำงานหนัก เพราะในอาหาร 1 ตัว เช่น ส้ม 1 กลีบ มีความซับซ้อนทั้ง ไฟเบอร์และวิตามินต่างๆ ที่ไม่ใช่สารอาหารตัวเดียว ซึ่งธรรมชาติสร้างกลไกอวัยวะให้รับอาหารแบบนั้นได้ดีในสภาพปกติ อันนี้ ใครมีข้อมูลที่ชัดเจน นำมายืนยัน หรือ อภิปรายกันได้ค่ะ ส่วนคนที่ต้องโดสสารบางตัวมากเป็นพิเศษ ขอให้ทำตามข้อวินิจฉัยของแพทย์
ประเทศไทยเหมาะมาก ที่จะทำธุรกิจด้านสุขภาพ หรือ เป็นแหล่งจัดที่พัก สำหรับคนเกษียณ ระดับโลก เพราะอาหารการกินที่เอื้อไปทางสมุนไพร
(herbal food, medical food)
- ลดทานน้ำตาลทุกชนิดรวมถึงลดทานผลไม้หวานจัดและน้ำผึ้ง ทานให้น้อยลง หรือ นานๆครั้ง เน้นน้ำตาลธรรมชาติที่เข้าสู่ร่างกายได้ช้า เช่น น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลตโหนด เพราะน้ำตาลมีผลต่อความเสื่อมสภาพของเซลล์ที่เร็วกว่าอายุ และน้ำตาลยังไปกดภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จากตัวอย่างบทความ “น้ำตาล ภัยร้ายที่มาพร้อมความหวาน” - พบแพทย์ (pobpad.com) "ภัยร้ายจากน้ำตาล" • สุขภาพดี (sukkaphap-d.com)
· ลดอาหารที่มีสารเคมีทุกชนิด เท่าที่จะทำได้ หลีกเลี่ยงน้ำเชื่อมที่ผสมในน้ำปลา ซอสปรุงรส เครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง/ขวด/กล่อง _"น้ำเชื่อมที่มีฟรุกโตสสูง (Hight Fructose Corn Syrup – HFCS) ไขมันทรานส์ สารกันบูด ผงชูรส สีผสมอาหาร
· เลิกดื่มอัลกอฮอล์ ดื่มน้ำผักผลไม้ปั่น ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม กาแฟเน้นหวานน้อย หันไปสนใจน้ำขิง น้ำมะนาว ชาเขียว
· ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น หัวปลี กล้วยน้ำว้าที่ไม่สุกมาก ดอกกระเจี๊ยบ อัญชัญ กระเทียม ตะไคร้ งาดำ ฯลฯ สนใจอาหารรส "เปรี้ยว ขม ฝาด" เช่น ชาเขียว ขิง ข่า กระชาย ของพวกนี้มีฤทธ์เป็นยา ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่เรามีติดบ้าน ทานเป็นประจำ
· เราไม่ได้หยุดทานเนื้อสัตว์ แต่ทานให้น้อยลง เพราะโปรตีนถั่วแทนโปรตีนสัตว์ไม่ได้ทุกรายละเอียด
· งดทานเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม กุนเชียง แหนม ไส้กรอก ลูกชิ้น หรือทานให้น้อยลง อย่าทานเป็นประจำ
· เลี่ยงอาหารประเภทเผาไหม้ ที่มีความดำ จนเกิดสารก่อมะเร็ง เช่น กาแฟคั่วแบบเกินปานกลาง ถั่วคั่ว ขนมปังปิ้ง ปลาปิ้ง ที่มีรอยดำไหม้
***อาหารที่ไม่เหมาะกับมะเร็ง งดไปเลยช่วงรักษา พอหาย ทานบ้างในระดับที่ไม่ให้ร่างกายเครียด ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์
2. อากาศ มะเร็งไม่ใช้ออกซิเจนในการเติบโต ดังนั้นมันจึงชอบก๊าซชนิดอื่น ถ้าจำไม่ผิด คือ คาร์บอนไดออกไซด์ การอยู่ใต้ต้นไม้ตอนกลางวัน ทำสวน ช่วยได้มาก ปรับสภาพร่างกายให้ได้รับออกซีเจนเต็มที่ ทำให้เซลล์ปกติที่ไม่ใช่เซลล์มะเร็งแข็งแรง บรรยากาศภายในร่างกายที่สมบูรณ์ จะลดการปรับตัวของเซลล์จากเซลล์ปกติไปสู่เซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์จะปรับตัวเมื่อมันอยู่ในบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ
3. อารมณ์ ใช้เวลาศึกษาความรู้ใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ผ่อนคลายจิตใจ คุยถึงสิ่งดีๆของชีวิต ดูซีรีย์ ดูหนัง-ละคร ฟังเพลง ดูเดี่ยวไมโครโฟน ให้ลืมความทุกข์ จนร่างกายหลั่งฮอร์โมนความสุขมาดูแลสุขภาพ
ด้านไสยศาสตร์ สุดแต่ความเชื่อแต่ละคน ถ้าไหว้พระแล้วสบายใจขึ้น ก็โอเค
แม้จะบนบานบ้าง ต้องดูแลตัวเองในภาคปฏิบัติจริงด้วย ถ้าบนว่าอยากให้อาการดีขึ้น แต่ชีวิตจริงไม่ลงมือทำอะไรเลย แล้วสุขภาพจะดีขึ้นได้อย่างไร
ปรับทัศนคติเชิงบวกในการไปพบแพทย์ เรารู้สึกสนุก ที่ได้รักษาระยะยาวกับแพทย์ถึง 4 คน หากเป็นมะเร็งก็คงไม่ได้รู้จักกัน ในบางครั้งเราก็รู้สึกชอบไปโรงพยาบาล คล้ายจะเป็นบ้านหลังที่ 2 ไม่ได้คิดว่าเป็นภาระ วัยเด็ก เราก็สนุกกับการไปโรงเรียน พออายุมากขึ้นก็ไปโรงพยาบาล ชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน วิธีการหารายได้ก็ไม่เหมือนกัน เราต้องออกแบบใหม่ไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นไม่ได้
4. อาบแดด ทุกเช้า แดดยามเช้าถึง 9.00 น มีวิตามินดีสูง ช่วยให้ระบบฮอร์โมนทำงานได้ดี ข้อ/กระดูกแข็งแรงขึ้น
การรดน้ำต้นไม้ ทำสวนเล็กๆ น้อยๆ หรือ แม้แต่นอนอาบแดด สบายๆ ยามเช้า
5. ออกกำลังกาย เมื่ออายุมากขึ้น หรือ หายดีขึ้น ออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ แต่นานๆ เช่น สมัยก่อน วิ่งครึ่งชม พอหายจากมะเร็ง เราเดิน และทำสวน 2 ชม ยามเช้า การออกกำลังกายหนัก ทำให้ร่างกายเครียด เลือดเป็นกรด ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เมื่อก่อนเราออกกำลังกายหนักเป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง แต่น้ำหนักกลับเพิ่ม ช่วงหลัง ลดทานน้ำตาล ออกกำลังกายเบากลางแสงแดดยามเช้า นาน 1-2 ชม. ลดน้ำหนักได้ จาก 60 เป็น 50 กก.
6. อุจจาระ / ขับถ่าย ให้ความสำคัญกับระบบขับถ่าย การทานพวกโยเกิร์ต โปรไบโอติก หรือ ตระกูลพวกนี้ที่น้ำตาลน้อย อาหารที่มีกากใย การให้ของเสียหมักหมมในลำไส้ เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ควรขับถ่ายได้อย่างไม่ทรมาน อาจจะวันเว้นวัน แต่รู้สึกถึงความสบายตัว อาหารที่ดี เช่น แอปเปิ้ลองุ่นเขียว กล้วยน้ำว้า เวลาทานอาจไม่อร่อยมาก แต่เวลาขับถ่ายมีความสุขมาก
การรักษา เลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งโดยตรง และตั้งใจปฎิบัติตามให้คุณหมอทำงานง่าย อีกทั้งศึกษาเรื่องธรรมชาติของร่างกายเชิงลึกจนเข้าใจระบบร่างกายมนุษย์ ที่สัมพันธ์กับอาหาร สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อโรค ในช่วงที่รับคีโม ร่างกายจะอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย ต้องแน่ใจว่า อาหารที่ทานเข้าไปสะอาดเพียงพอในช่วงรับคีโม เช่น ทานผักลวก แทนผักสด เพราะผักลวกผ่านการฆ่าเชื้อโรคมาแล้ว ไม่อยู่ใกล้คนเป็นโรคติดต่อ
ชีวิตพ้น 40 ปี โรคต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะร่างกายพ้นวัยหนุ่มสาวที่แข็งแกร่ง หลายคนเมื่ออายุมากขึ้น ยังทำตัวเหมือนตอนวัยรุ่น เช่น นอนน้อย สนใจความอร่อยของอาหารมากกว่าโภชนาการ ไม่จัดสัดส่วนเวลาให้กับการออกกำลังกาย การพักผ่อน เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาโรค
การป่วยเหมือนร่างกายเข้าสู่ภาวะวิกฤต ไม่ได้หมายความว่า ต้องตายเสมอไป หากเรามีสติ ก็จะพาชีวิตก้าวเดินบนเส้นด้ายผ่านไปได้ และต้องไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ที่นำเราไปสู่โรคนั้นอีก เพราะอาจกลับไปเป็นซ้ำได้ เราสามารถอยู่กับโรคหรือปัญหาได้อย่างมีความสุข พอใจในคุณค่าชีวิต จนหมดลมหายใจ แม้เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ 100% แต่การใช้สติ ความรู้ และการประสานงาน จะช่วยให้ปัญหาเบาบางลง และรับมือกับสิ่งต่างๆได้