นำบทความhow to โสดยังมีความสุขมาฝากชาว pantip ชาวธรรมะ16 ฝึกเดินจงกรมเพื่อฝึกสมาธิและเป็นการออกกำลังกาย

16 ฝึกเดินจงกรมเพื่อฝึกสมาธิและเป็นการออกกำลังกาย

     คนโสดบางคนชอบบ่นว่า เป็นโสดน่าเบื่อ จะไปเที่ยวไหนไปทำกิจกรรมอะไรก็ลำบากเพราะไม่มีแฟนมาร่วมทำกิจกรรมกับเรา 

     ผู้เขียนขอคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง ถึงจะโสดแต่ก็มีกิจกรรมที่เราสามารถทำคนเดียวได้ และสามารถสร้างความสุขให้กับเราได้ เช่นการเดินจงกรมซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ทำที่บ้านคนเดียวได้ และเป็นการฝึกสมาธิ เป็นการออกกำลังกายทำให้เรามีสุขภาพที่ดี



   หลวงพ่อ ปราโมทย์ได้เคยอธิบายถึงเรื่องการเดินจงกรมไว้ดังนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ : เดินจงกรมหมายถึงอะไร คำว่าจงกรมจริงๆแปลว่า “ก้าวไป” เพราะฉะนั้นทุกก้าวที่เดินนั้นแหละ “จงกรม” เพียงแต่ว่าคนทั่วๆไปเขาเดินสะเปะสะปะ เดินไปแล้วจิตใจมันหนีไป เราเดินด้วยความรู้สึกตัว ทุกก้าวที่เดินด้วยความรู้สึกตัว เรียกว่าเดินจงกรม เพราะฉะนั้นจุดสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ท่าเดินนะ จุดสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นเรามาดูนะ ว่ารู้สึกตัวจริงมั้ย เอาล่ะสิ

โยม : เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เดินไปด้วยความรู้สึกตัวนะ เคล็ดลับของการเดินจงกรมเนี่ยมันอยู่ตรงที่สุดทาง ตอนสุดทาง จะหลงไม่หลงก็ตอนที่สุดทางนั้นแหละ แต่ทางจงกรมไม่ควรยาวเกินไป ไม่ควรสั้นเกินไปนะ ถ้าสั้นไปเวียนหัว ถ้ายาวไปก็จะหลงอยู่กลางทางอ่ะหยุดก่อน

สมมุติว่าเราจะเริ่มเดินจงกรม ทันทีที่เข้าสู่เส้นทางจงกรมนะ อย่าบังคับกาย อย่าบังคับใจ ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติพอคิดถึงการเดินจงกรมปุ๊บ บังคับจิตให้แข็งๆขึ้นมา จะเครียดขึ้นมา อันนี้ผิดธรรมชาติแล้ว เราต้องการดูกายทำงานดูใจทำงานอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่ไปเดินบังคับตัวเองจนเครียด

เพราะฉะนั้นมาถึงต้นทางเดินจงกรมนะ ทำความรู้สึกตัวให้สบาย แล้วก็เห็นร่างกายมันเดิน ไม่ใช่เดินจงกรมจะหมายถึง “เราเดิน” นะ เดินจงกรมเนี่ย เดินแล้วเห็น “ร่างกายมันเดิน” ใจเราเป็นคนดู ฝึกให้ได้อย่างนี้ ถึงจะดีที่สุด เอ้า…ลองเดินดูสิ แล้วใจเป็นคนดู ใจเป็นธรรมชาติมั้ย

โยม : เป็นธรรมชาติเจ้าค่ะ นิ่งๆนิดนึงเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ นะ มันเกินธรรมชาติไป มันก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน เป็นธรรมชาติของคนที่ตื่นเต้น ถ้าตอนที่เราไปเดินสุดทางจงกรมนะ เราอย่าเพิ่งหมุนตัว เดินไปสุดทางแล้วเราก็หยุดก่อน แล้วก็หมุนตัว แล้วก็หยุดก่อน ถ้าเดินไปสุดทางแล้วหมุนตัวปั๊บนะ จิตกระเด็นหนีไปเลย เราคอยดูนะ คอยดูนะ

เนี่ยทำความรู้สึกตัวให้สบายขึ้นมาก่อน แล้วหมุนตัว ไม่เร็วไม่ช้าไป นี่แน่ใจนะว่าไม่ช้าไป พอหมุนเสร็จแล้วก็รู้สึกตัวอีก แล้วค่อยเดิน ไม่งั้นจิตมันจะเดินก่อนขา ใครเคยเห็นจิตเดินก่อนขาบ้าง

โยม : หลวงพ่อคะ นี่ถือว่าเห็นกายมันเดินหรือเป็นสมถะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นสมถะ เอ้า… ไป เดินกลับที่ไป.. เพ่งมั้ย ตอนนี้เพ่งมั้ย

โยม : เพ่งเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. ก็เป็นสมถะสิ คือตราบใดที่ยังเพ่งอยู่นะ เป็นสมถะ ถ้าเห็นกายมันเดินใจเป็นคนดูนะ กายไม่ใช่เราหรอก เป็นวัตถุธาตุที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เนี่ยเจริญปัญญา ทำวิปัสสนา

วิปัสสนาทำเพื่อถอนความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน มีเรา มีเขา เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อไรเห็นว่าไม่มีเรานะ กายมันเดิน ไม่ใช่ “เราเดิน” กายมันนั่ง ไม่ใช่ “เรานั่ง” รู้สึกอย่างนี้จริงๆ จิตมันเดินวิปัสสนาอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔


ส่วนในเรื่องที่เราฝึกเดินจงกรมจนมีสมาธิแล้วจะมีประโยชน์ยังไง


พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ คนเรามีโรคด้วยกันทั้งนั้น โรคมี 2 แบบคือ โรคทางกาย กับโรคทางจิตวิญญาณ พระองค์ตรัสว่า เป็นไปได้ที่คนเราจะไม่ป่วยเป็นโรคทางกาย 7 วันบ้าง 7 สัปดาห์บ้าง 7 เดือนบ้าง 7 ปีบ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะไม่ป่วยเป็นโรคทางจิตใจ หรือจิตวิญญาณที่เรียกว่าเจตสิก โรคแม้ชั่วขณะหนึ่ง ยกเว้นพระอรหันต์ ผู้สิ้นกิเลส”

จากคำกล่าวข้างต้นแสดงว่า “ใจ” สามารถเกิดโรคได้ง่ายกว่ากาย แต่ในตัวมนุษย์นั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ใจมีความสำคัญและเป็นสิ่งควบคุมกาย เพราะการกระทำ ด้วยกายหรือวาจา ย่อมมีใจเป็นกลไกที่จะสั่งการให้ปรากฏออกมา ดังเช่นในคาถาธรรมบทที่ว่า

“ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้ว แต่ใจถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต 3 อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่ ฉะนั้น

ดังนั้น เมื่อจิตใจได้รับการอบรม และฝึกฝนให้มีความสงบและมีสมาธิอันตั้งมั่น ย่อมจะนำไปสู่ความเป็นผู้มีปัญญา มีความสมบูรณ์ทางจิตใจ และส่งผลดีแก่ร่างกายด้วย ดังนั้นการจะมีชีวิตอย่างมีความสุขได้ 

    ไม่เพียงแต่ร่างกายจะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงเท่านั้นจิตใจจะต้องมีความสะอาด บริสุทธิ์ผ่องใสอีกด้วย โดยเฉพาะจากคาถาธรรมบทข้างต้น ได้ให้ความสำคัญว่าเป็นสิ่งที่มีความประเสริฐที่สุด

      ซึ่งถ้าจิตใจมีความตั้งมั่น แข็งแกร่ง ร่างกายก็จะเข้มแข็งตามไปด้วย ถึงแม้จะมีสุขภาพร่างกายเป็นปกติหากจิตใจไม่เข้มแข็งแล้ว ก็ย่อมทำให้บุคคลผู้นั้นมีความอ่อนแอ และนำไปสู่ความเป็นผู้มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย การที่สุขภาพจะดีและดำเนินเป็นปกติได้ จะต้องมีความสมดุลอย่างเป็นปกติของร่างกายและจิตใจ

ทั้งนี้ในทัศนะของแพทย์แผนปัจจุบันต่างยอมรับว่าจิตใจเป็นสิ่งควบคุมการกระทำของร่างกาย สาเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย ย่อมมีผลเนื่องมาจากจิตใจ และย่อมแก้ไขด้วยกระบวนการทางจิตใจ ดังเช่นที่นายแพทย์เฉก ธนะสิริ ได้กล่าวไว้ว่า

“ ปรากฏการณ์ที่แสดงว่าจิตคุมกายนั้นจะเห็นได้ชัดแจ้งว่า หากเมื่อใดจิตของเราแปรปรวนรวนเร แล้วละก็ มันจะพาลให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเราเกิดระส่ำระสายทันที เช่น เกิดความวิตกกังวลอันจะนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ง่าย หรือเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ หรือความดันโลหิตสูง

    อันจะนำไปสู่เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน นอนไม่หลับ โรคประสาท อาหารไม่ย่อย ท้องผูก อ่อนแรง รวมไปถึงความรู้สึกทางเพศเสื่อมทันที เป็นต้น”

เนื่องจากว่าใจนั้น มีหน้าที่รับรู้สิ่งที่มากระทบตามทวารต่างๆ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัสทางกาย ใจยังทำหน้าที่จำสิ่งที่เป็นสัญญาขันธ์ดังกล่าว และยังทำหน้าที่นึกคิดและตัดสิน ตลอดจนสั่งการไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง แล้วผ่านไปยังอวัยวะต่างๆ และระบบประสาทให้ดำเนินการตามที่ใจต้องการ 

    ดังนั้น ใจจึงเปรียบเสมือนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ของคอมพิวเตอร์ ที่มีสมองคือ CPU เป็นหน่วยความจำกลาง และคอมพิวเตอร์จะดำเนินการได้จะต้องมีซอร์ฟแวร์ดังกล่าวคอยควบคุม 

     ดังนั้นพฤติกรรมของมนุษย์ ทั้งในเชิงบวกและในเชิงลบ ย่อมเกิดจากการ
กระตุ้นและสั่งการจากใจ นั่นคือ สุขภาพทางใจย่อมส่งผลต่อสุขภาพทางกาย 

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่