สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนัก ฉบับแม่ฟูลไทม์ ที่ไม่มีเวลาไปยิม และเหน็ดเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกจนไม่ไหวจะงัดตัวเองขึ้นมาออกกำลังกายนะคะ
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะคะว่า แนวทางของเราเป็นสไตล์ที่เหมาะกับชีวิตประจำวันและร่างกายของเราเอง(ในตอนนั้น) แต่เดี๋ยวจะสรุปตอนท้ายให้อีกที ว่าจริงๆ แล้วคีย์หลักมันคืออะไร อย่าเพิ่งรีบด่ากันนะคะ อ่านก๊อนนนน พลีสสสส
(รูปทางซ้าย) เป็นรูปเดียวที่มีช่วงที่อ้วนแบบพีคสุด เพราะช่วงนั้นไม่ถ่ายรูปเลย เวทนาตัวเองสุด 555 ซึ่งสาเหตุที่น้ำหนักขึ้น คนรู้จักจะเข้าใจว่าเป็นน้ำหนักที่ค้างหลังคลอดลูก (แต่ตอนนั้นลูก 2 ขวบละค่ะ ไม่ค้างละ) มันคือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากการกินข้าว กินขนม ยิ่งเลี้ยงลูกเหนื่อย ก็ยิ่งกิน การกินคือสิ่งที่ฮีลใจ โดยเฉพาะชาไทยหวานร้อย แฮ๊ปพรี่มาก
หลังจากอยู่ในสภาพทางซ้ายมาได้พักใหญ่ ก็มีอันจะต้องกลับมาทำงาน(ออนไลน์) ที่ต้องเริ่มพบเจอผู้คน จะหลบๆ เลี่ยงๆ แบบแต่ก่อนไม่ได้ ครั้งแรกที่ออกไปคุยงาน ไม่มีความมั่นใจเลย มีแต่คำว่า เรามันอ้วน อยู่ในหัว กังวล ระแวง คิดว่าคนที่เจอเราเค้าจะมองเราอ้วนมั้ย คือ รู้สึกแย่มาก ก็เลยพยายามจะกลับมาออกกำลังกาย (ก่อนมีลูก เราเข้าฟิตเนสเป็นประจำ น้ำหนักประมาณ 55 กก.) แต่ด้วยความที่น้ำหนักตั้งต้นครั้งนี้ มัน 65 อ่ะค่ะ ออกกำลังกายลำบากมาก ไม่คล่องตัว เจ็บเข่า ไม่สนุกเลย พยายามอยู่หลายอาทิตย์ ก็รู้สึกว่ามันฝืนจิตใจมาก คุยกับรุ่นน้อง เค้าก็เลยแนะนำให้ลองทำ IF+Low Carb, Sugar
(รูปทางขวา) ก็คือ ผลจากการใช้วิธีนี้ ในระยะเวลาประมาณ 10 เดือน ซึ่งเราเลือกทำ IF แบบ 16/8 ก่อน (ถ้าวันไหนไม่ไหว ก็ไม่ฝืน เอาร่างกายเราเป็นหลัก และค่อยๆ ปรับจากเวลาการกินเดิมของเรา ไม่วู่วาม) โดยจะกินมื้อหลัก 2 มื้อ (มื้อแรก 9 โมง มื้อจบ 5 โมงเย็น) แล้วพอร่างกายปรับตัวได้ ก็ค่อยขยับเป็นแบบ 18/6 (มื้อแรก 10 โมง มื้อจบ 4 โมงเย็น)
อาหารที่กิน จะมีครบทุกหมู่ แต่เน้นไปที่โปรตีน หมู ไก่ ปลา มีผัก มีข้าว แต่อย่างที่บอกว่าเรา LOW Carb เพราะฉะนั้น ข้าวก็จะน้อยหน่อย และเป็นพวกข้าวกล้อง ไรซ์เบอรี่ (เราทำอาหารทานเองที่บ้านนะคะ ก็จะสะดวกในการเลือกวัตถุดิบ) แต่สิ่งที่เราเข้มงวดมาก ก็คือ แทบจะงดน้ำตาล อันนี้ขอชมตัวเองเลยว่า ทำได้ดีมาก ชาเย็นเพื่อนยาก ก็คือโบกมือลากัน ไม่กินเลย น้ำชงๆ ทุกอย่าง เลิกเด็ดขาด ขนม ของหวาน งดหมด ช่วงแรกมีความน้ำตาลตก วิงเวียนเหมือนกัน แต่ 2-3 วันก็ปกติค่ะ ระหว่างมื้อ เราดื่มน้ำตลอด จิบเรื่อยๆ ถ้าหิวจริงๆ ก็กินผลไม้ที่ไม่หวานมากอย่าง แก้วมังกร ฝรั่ง
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างพอใจมาก เราเน้นดูที่สัดส่วนเป็นหลัก ไม่ชั่งน้ำหนักบ่อยๆ เพราะไม่ชอบกดดันตัวเอง ไม่อยากเครียด และสิ่งที่ชอบมากคือ เงินเหลือเยอะมากค่ะ จากข้าว 3 มื้อ เหลือ 2 มื้อ ค่าน้ำชง ไอติม ขนมต่างๆ คือประหยัดไปเยอะมากกกกก (อ่อ อีกอย่างคือ ผิวดีขึ้นมากค่ะ น่าจะเพราะลดน้ำตาล)
ช่วง 10 เดือนที่ทำ IF + LOW Carb เราไม่ได้ออกกำลังกายเลยนะคะ แต่ที่เห็นในรูปใส่ชุดออกกำลังกาย เพราะเตรียมจะกลับมาออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายเฟิร์มขึ้น ... แต่ ....
-------------------------------------------------
หลังจากรูทีนชีวิตแบบนั้นมาได้ปีกว่า เราก็เริ่มปวดท้อง ปวดจุกแถวลิ้นปี่ ซึ่งตอนแรกคิดว่า เป็นอาการจากที่ตัดถุงน้ำดีไปเมื่อหลายปีก่อน การย่อยอาจจะไม่ค่อยดี แต่หลังจากที่ปวดบ่อยขึ้น และ พบหมอเฉพาะทาง ก็วินิจฉัยมาว่า เราน่าจะเป็นโรคกระเพาะอักเสบ 5555555 (อย่าเพิ่งเบะปาก สมน้ำหน้าเราค่ะ เมตตาเราก่อน) สาเหตุที่อยู่ๆ เป็นโรคกระเพาะขึ้นมา น่าจะเพราะ ช่วงหลังๆ เราเริ่มจะเลยเถิดเป็น กินมื้อแรก 10.30 มื้อจบ 15.00 หรือ 15.30 ซึ่งมันอาจจะ Fasting มากไป บางวันท้องโคร่กคร่ากเสียงดังมาก
หมอให้ปรับการทานอาหาร โดยมื้อเช้า ไม่ควรเกิน 2 ชม. หลังตื่นนอน เช่น เราตื่น 6 โมงเช้า ก็ควรกินมื้อเช้า ไม่เกิน 8 โมง เพราะกรดจะเริ่มหลั่งตอนนั้น และให้เปลี่ยนการทานมื้อใหญ่ 2 มื้อ เป็นมื้อเล็กๆ 5 มื้อ เพื่อช่วยระบบย่อย และไม่ให้กรดเกิน พร้อมกับกินยาขนานใหญ่
เราก็เลยได้ออกจากวงการ IF + LOW Carb+Sugar ซึ่งตอนแรกก็กังวลอยู่ค่ะว่า น้ำหนักจะเด้งกลับมามั้ย แต่ด้วยความที่เรายังงดน้ำชง ไอติม ขนมต่างๆ รวมทั้งของทอด ทำให้เรายังคงน้ำหนักไว้ที่ 52 กก. ได้เท่าเดิม นับๆ ดูแล้ว ก็เกือบปีแล้วค่ะที่กลับมากินข้าว 3 มื้อ ขนมจริงๆ ก็มีบ้างระหว่างมื้อถ้าหิว (แต่จะไม่ใช่พวกเบเกอรี่ นม เนย ครีม นะคะ เพราะหมอก็ให้ระวังเรื่องของมันๆ จากที่เราตัดถุงน้ำดีไปด้วย) ส่วนเรื่องออกกำลังกาย ก็ไม่ได้ออกเลยค่ะ ขี้เกียจล้วนๆ ไม่มีข้อแก้ตัว แต่กำลังแพลนว่า จะลองไปพิลาทิส หรือ โยคะ
รูปนี้คือ ปัจจุบันค่ะ น้ำหนักประมาณ 52-53 กก. ขึ้นๆ ลงๆ ไม่เกินนี้ สัดส่วน 32-28-38 (จากตอนแรกที่หนัก 65 กก. 34-32-42)
-------------------------------------------------
สรุปนะคะ (ความเห็นส่วนตัว) เรามานั่งคิดๆ ดูแล้ว จำนวนมื้ออาหาร เวลาในการกินอาหาร อาจไม่ใช่จุดสำคัญในการลดน้ำหนักค่ะ แต่การเลือกกินคือสิ่งสำคัญมากกว่า น้ำชงแก้วๆ ขนม เบเกอรี่ ของทอด ของมัน ของที่เรารู้ๆ กันอยู่น่ะค่ะว่ามันกินแล้วอ้วน ไม่ดีต่อสุขภาพ ใครเด็ดขาด ลด ละ เลิก ได้ หรือใคร กินแล้วออกกำลังกายได้ดี ใจใครมันได้กว่ากัน คนนั้น คือ คนที่จะรักษารูปร่างได้ดั่งใจจริงๆ ค่ะ
สำหรับเราตอนนี้ ด้วยวัยจะ 43 รักษาไว้เท่านี้ ก็ถือว่าพอใจค่ะ แต่คิดว่าคงต้องออกกำลังกายด้วย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและเฟิร์มขึ้น ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังต่อสู้กับน้ำหนักที่พร้อมขึ้น เพียงแค่เดินผ่านหม้อหุงข้าวนะคะ เชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจลด ละ เลิก จริงๆ มันต้องลดได้ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบและจะเม้นท์คุยกันอย่างสุภาพนะคะ น่ารักที่สุดเลยยย ^^
ลดน้ำหนัก 13 โล สไตล์แม่ฟูลไทม์
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะคะว่า แนวทางของเราเป็นสไตล์ที่เหมาะกับชีวิตประจำวันและร่างกายของเราเอง(ในตอนนั้น) แต่เดี๋ยวจะสรุปตอนท้ายให้อีกที ว่าจริงๆ แล้วคีย์หลักมันคืออะไร อย่าเพิ่งรีบด่ากันนะคะ อ่านก๊อนนนน พลีสสสส
(รูปทางซ้าย) เป็นรูปเดียวที่มีช่วงที่อ้วนแบบพีคสุด เพราะช่วงนั้นไม่ถ่ายรูปเลย เวทนาตัวเองสุด 555 ซึ่งสาเหตุที่น้ำหนักขึ้น คนรู้จักจะเข้าใจว่าเป็นน้ำหนักที่ค้างหลังคลอดลูก (แต่ตอนนั้นลูก 2 ขวบละค่ะ ไม่ค้างละ) มันคือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากการกินข้าว กินขนม ยิ่งเลี้ยงลูกเหนื่อย ก็ยิ่งกิน การกินคือสิ่งที่ฮีลใจ โดยเฉพาะชาไทยหวานร้อย แฮ๊ปพรี่มาก
หลังจากอยู่ในสภาพทางซ้ายมาได้พักใหญ่ ก็มีอันจะต้องกลับมาทำงาน(ออนไลน์) ที่ต้องเริ่มพบเจอผู้คน จะหลบๆ เลี่ยงๆ แบบแต่ก่อนไม่ได้ ครั้งแรกที่ออกไปคุยงาน ไม่มีความมั่นใจเลย มีแต่คำว่า เรามันอ้วน อยู่ในหัว กังวล ระแวง คิดว่าคนที่เจอเราเค้าจะมองเราอ้วนมั้ย คือ รู้สึกแย่มาก ก็เลยพยายามจะกลับมาออกกำลังกาย (ก่อนมีลูก เราเข้าฟิตเนสเป็นประจำ น้ำหนักประมาณ 55 กก.) แต่ด้วยความที่น้ำหนักตั้งต้นครั้งนี้ มัน 65 อ่ะค่ะ ออกกำลังกายลำบากมาก ไม่คล่องตัว เจ็บเข่า ไม่สนุกเลย พยายามอยู่หลายอาทิตย์ ก็รู้สึกว่ามันฝืนจิตใจมาก คุยกับรุ่นน้อง เค้าก็เลยแนะนำให้ลองทำ IF+Low Carb, Sugar
(รูปทางขวา) ก็คือ ผลจากการใช้วิธีนี้ ในระยะเวลาประมาณ 10 เดือน ซึ่งเราเลือกทำ IF แบบ 16/8 ก่อน (ถ้าวันไหนไม่ไหว ก็ไม่ฝืน เอาร่างกายเราเป็นหลัก และค่อยๆ ปรับจากเวลาการกินเดิมของเรา ไม่วู่วาม) โดยจะกินมื้อหลัก 2 มื้อ (มื้อแรก 9 โมง มื้อจบ 5 โมงเย็น) แล้วพอร่างกายปรับตัวได้ ก็ค่อยขยับเป็นแบบ 18/6 (มื้อแรก 10 โมง มื้อจบ 4 โมงเย็น)
อาหารที่กิน จะมีครบทุกหมู่ แต่เน้นไปที่โปรตีน หมู ไก่ ปลา มีผัก มีข้าว แต่อย่างที่บอกว่าเรา LOW Carb เพราะฉะนั้น ข้าวก็จะน้อยหน่อย และเป็นพวกข้าวกล้อง ไรซ์เบอรี่ (เราทำอาหารทานเองที่บ้านนะคะ ก็จะสะดวกในการเลือกวัตถุดิบ) แต่สิ่งที่เราเข้มงวดมาก ก็คือ แทบจะงดน้ำตาล อันนี้ขอชมตัวเองเลยว่า ทำได้ดีมาก ชาเย็นเพื่อนยาก ก็คือโบกมือลากัน ไม่กินเลย น้ำชงๆ ทุกอย่าง เลิกเด็ดขาด ขนม ของหวาน งดหมด ช่วงแรกมีความน้ำตาลตก วิงเวียนเหมือนกัน แต่ 2-3 วันก็ปกติค่ะ ระหว่างมื้อ เราดื่มน้ำตลอด จิบเรื่อยๆ ถ้าหิวจริงๆ ก็กินผลไม้ที่ไม่หวานมากอย่าง แก้วมังกร ฝรั่ง
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างพอใจมาก เราเน้นดูที่สัดส่วนเป็นหลัก ไม่ชั่งน้ำหนักบ่อยๆ เพราะไม่ชอบกดดันตัวเอง ไม่อยากเครียด และสิ่งที่ชอบมากคือ เงินเหลือเยอะมากค่ะ จากข้าว 3 มื้อ เหลือ 2 มื้อ ค่าน้ำชง ไอติม ขนมต่างๆ คือประหยัดไปเยอะมากกกกก (อ่อ อีกอย่างคือ ผิวดีขึ้นมากค่ะ น่าจะเพราะลดน้ำตาล)
ช่วง 10 เดือนที่ทำ IF + LOW Carb เราไม่ได้ออกกำลังกายเลยนะคะ แต่ที่เห็นในรูปใส่ชุดออกกำลังกาย เพราะเตรียมจะกลับมาออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายเฟิร์มขึ้น ... แต่ ....
-------------------------------------------------
หลังจากรูทีนชีวิตแบบนั้นมาได้ปีกว่า เราก็เริ่มปวดท้อง ปวดจุกแถวลิ้นปี่ ซึ่งตอนแรกคิดว่า เป็นอาการจากที่ตัดถุงน้ำดีไปเมื่อหลายปีก่อน การย่อยอาจจะไม่ค่อยดี แต่หลังจากที่ปวดบ่อยขึ้น และ พบหมอเฉพาะทาง ก็วินิจฉัยมาว่า เราน่าจะเป็นโรคกระเพาะอักเสบ 5555555 (อย่าเพิ่งเบะปาก สมน้ำหน้าเราค่ะ เมตตาเราก่อน) สาเหตุที่อยู่ๆ เป็นโรคกระเพาะขึ้นมา น่าจะเพราะ ช่วงหลังๆ เราเริ่มจะเลยเถิดเป็น กินมื้อแรก 10.30 มื้อจบ 15.00 หรือ 15.30 ซึ่งมันอาจจะ Fasting มากไป บางวันท้องโคร่กคร่ากเสียงดังมาก
หมอให้ปรับการทานอาหาร โดยมื้อเช้า ไม่ควรเกิน 2 ชม. หลังตื่นนอน เช่น เราตื่น 6 โมงเช้า ก็ควรกินมื้อเช้า ไม่เกิน 8 โมง เพราะกรดจะเริ่มหลั่งตอนนั้น และให้เปลี่ยนการทานมื้อใหญ่ 2 มื้อ เป็นมื้อเล็กๆ 5 มื้อ เพื่อช่วยระบบย่อย และไม่ให้กรดเกิน พร้อมกับกินยาขนานใหญ่
เราก็เลยได้ออกจากวงการ IF + LOW Carb+Sugar ซึ่งตอนแรกก็กังวลอยู่ค่ะว่า น้ำหนักจะเด้งกลับมามั้ย แต่ด้วยความที่เรายังงดน้ำชง ไอติม ขนมต่างๆ รวมทั้งของทอด ทำให้เรายังคงน้ำหนักไว้ที่ 52 กก. ได้เท่าเดิม นับๆ ดูแล้ว ก็เกือบปีแล้วค่ะที่กลับมากินข้าว 3 มื้อ ขนมจริงๆ ก็มีบ้างระหว่างมื้อถ้าหิว (แต่จะไม่ใช่พวกเบเกอรี่ นม เนย ครีม นะคะ เพราะหมอก็ให้ระวังเรื่องของมันๆ จากที่เราตัดถุงน้ำดีไปด้วย) ส่วนเรื่องออกกำลังกาย ก็ไม่ได้ออกเลยค่ะ ขี้เกียจล้วนๆ ไม่มีข้อแก้ตัว แต่กำลังแพลนว่า จะลองไปพิลาทิส หรือ โยคะ
รูปนี้คือ ปัจจุบันค่ะ น้ำหนักประมาณ 52-53 กก. ขึ้นๆ ลงๆ ไม่เกินนี้ สัดส่วน 32-28-38 (จากตอนแรกที่หนัก 65 กก. 34-32-42)
-------------------------------------------------
สรุปนะคะ (ความเห็นส่วนตัว) เรามานั่งคิดๆ ดูแล้ว จำนวนมื้ออาหาร เวลาในการกินอาหาร อาจไม่ใช่จุดสำคัญในการลดน้ำหนักค่ะ แต่การเลือกกินคือสิ่งสำคัญมากกว่า น้ำชงแก้วๆ ขนม เบเกอรี่ ของทอด ของมัน ของที่เรารู้ๆ กันอยู่น่ะค่ะว่ามันกินแล้วอ้วน ไม่ดีต่อสุขภาพ ใครเด็ดขาด ลด ละ เลิก ได้ หรือใคร กินแล้วออกกำลังกายได้ดี ใจใครมันได้กว่ากัน คนนั้น คือ คนที่จะรักษารูปร่างได้ดั่งใจจริงๆ ค่ะ
สำหรับเราตอนนี้ ด้วยวัยจะ 43 รักษาไว้เท่านี้ ก็ถือว่าพอใจค่ะ แต่คิดว่าคงต้องออกกำลังกายด้วย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและเฟิร์มขึ้น ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังต่อสู้กับน้ำหนักที่พร้อมขึ้น เพียงแค่เดินผ่านหม้อหุงข้าวนะคะ เชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจลด ละ เลิก จริงๆ มันต้องลดได้ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบและจะเม้นท์คุยกันอย่างสุภาพนะคะ น่ารักที่สุดเลยยย ^^