ตุรกี ดอกเบี้ย 40% เงินเฟ้อ61% เปลี่ยนผู้ว่าแบงก์ชาติ 5 คน ใน 5 ปี
โดย ลงทุนแมน 29ธค2023
ประเทศตุรกี เผชิญปัญหาเงินเฟ้อ มายาวนานหลายปี
โดยล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายน2566 อัตราเงินเฟ้อของประเทศสูงถึง 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว คนตุรกีเคยซื้อสินค้าและบริการ 100 บาทในประเทศ มาวันนี้ต้องจ่ายในราคาแพงขึ้นเป็น 161 บาท
สร้างปัญหาและความเดือดร้อนอย่างหนัก ในการดำรงชีวิตของประชากรกว่า 85 ล้านคน
ไม่เว้นแม้แต่ ผู้ว่าแบงก์ชาติของตุรกีเอง ที่หาบ้านพักไม่ได้ เพราะราคาบ้านและค่าเช่านั้นปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้เป็นเพราะอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จุดเริ่มต้นของปัญหาเงินเฟ้อในครั้งนี้ ต้องย้อนไปในปี 2014 หรือเมื่อประมาณ 9 ปีก่อน เมื่อ เรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของตุรกี
ในตอนนั้น เขาต้องการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีการเติบโต โดยการเพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
และมาตรการทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ผ่านการก่อหนี้ของรัฐบาล
ซึ่งถือเป็น"นโยบายการคลัง" ที่มีภาครัฐเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการ
อย่างไรก็ตาม ยังมีเครื่องมือที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “นโยบายทางการเงิน”
ซึ่งปกติจะมีธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นผู้ดูแล ที่เป็นอิสระจากรัฐบาล
แต่ในตอนนั้น ประธานาธิบดีกลับตัดสินใจ เข้าแทรกแซงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางตุรกี
*** โดยให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่เขาตั้งใจไว้
ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง
จะส่งผลให้ อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน และของธนาคารพาณิชย์ก็จะปรับลดลงตาม
ทั้งในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก
...โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการอยากที่จะกู้ยืมเงิน เพื่อนำไปลงทุนมากขึ้น
... หรือแม้แต่การออกพันธบัตรรัฐบาลเอง ก็จะมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง
.... ในเวลาเดียวกันนั้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง ก็จะทำให้ผู้คนไม่ต้องการฝากเงินไว้กับธนาคาร
เนื่องจากได้รับผลตอบแทนน้อย และเลือกที่จะนำเงินเหล่านั้น ไปจับจ่ายใช้สอยแทน
ภายใต้กลไกดังกล่าวนี้ ก็จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การลงทุน การบริโภค ซึ่งส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วเกินไป แต่ระดับการออมของประชากรในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ
บวกกับในช่วงปี 2018 ตุรกียังต้องทำสงครามในประเทศซีเรีย
เศรษฐกิจตุรกีจึงเริ่มได้รับผลกระทบ " ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด " ********
(ซึ่งบัญชีเดินสะพัด คือบัญชีที่แสดงรายการเงินที่ไหลเข้าออก จากประเทศนั้น ๆ
จากการซื้อหรือขายสินค้าและบริการของประเทศ หากขายน้อยกว่าซื้อ ดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะติดลบ)
รู้ไหมว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศตุรกี ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
จาก 1.2 ล้านล้านบาท ในปี 2014 มาอยู่ที่ ระดับ 2.1 ล้านล้านบาท ในปัจจุบัน
ส่งผลให้ " ค่าเงินลีราตุรกีอ่อนค่าลง "
โดยเฉพาะในปี 2018 เพียงปีเดียว ค่าเงินลีราตุรกี อ่อนค่าลงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
และยังอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
- สิ้นปี 2018 เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 5.3 ลีราตุรกี
- เดือนพฤศจิกายน 2023 เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 28.8 ลีราตุรกี (5ปี ค่าเงินมีมูลค่าเหลือแค่18.4% กรี๊ดดด)
โดยค่าเงินที่อ่อนค่าลง ทำให้สินค้านำเข้านั้นมีราคาแพงขึ้น เงินเฟ้อในประเทศจึงปรับเพิ่มขึ้นตาม
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว วิธีที่จะช่วยยับยั้งการอ่อนค่าของค่าเงิน และลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อได้นั้น คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น
เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยถูกปรับสูงขึ้น ก็จะทำให้เงินทุนบางส่วนไหลกลับเข้ามา
ซึ่งช่วยให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น และส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศนั้นลดลงมาได้บ้าง
แต่แนวคิดนี้ กลับถูกปฏิเสธโดยประธานาธิบดีเรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน
มิหนำซ้ำเขายังกดดันให้ธนาคารกลางของตุรกีลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก
แม้หลายฝ่ายจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิด โดยเฉพาะผู้ว่าการธนาคารกลางของตุรกี
แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ฟังใคร เพราะเขาได้เปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางไปแล้ว 5 คน ในรอบ 5 ปีนี้
แน่นอนว่า ยิ่งค่าเงินลีราตุรกีอ่อนลงมากเท่าไร ต้นทุนสินค้านำเข้า ก็จะยิ่งแพงขึ้นมากเท่านั้น
หากลองไปดูเงินเฟ้อของตุรกีที่ผ่านมา
- ปี 2014 อัตราเงินเฟ้อของตุรกี 9%
- ปี 2018 อัตราเงินเฟ้อของตุรกี 16%
- ล่าสุด เดือนพฤศจิกายน ปี 2023 อัตราเงินเฟ้อของประเทศตุรกีสูงถึง 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่งผลให้ ประชาชนในประเทศเดือดร้อนอย่างหนัก
ไม่เว้นแม้แต่ ฮาฟิซ กาเย เออร์คาน ผู้ว่าการธนาคารกลางผู้หญิงของตุรกีคนล่าสุด ก็ไม่สามารถหาบ้านในเมืองอิสตันบูลได้
เพราะราคาบ้านและค่าเช่านั้นแพงมหาโหด ทำให้เธอต้องย้ายไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่แทน
ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ กลายเป็นว่า ตุรกีจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วแทน
เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาเป็นเวลาหลายปี
โดยจากที่ต้นปี2023 อยู่ที่เพียงระดับ 9% แต่มาในเดือนพฤศจิกายน2023 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของตุรกีขึ้นไปถึงระดับ 40% เลยทีเดียว
ถึงตรงนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า วิกฤติเงินเฟ้อในตุรกี
ที่มันดูเหมือนรุนแรงมากกว่าประเทศอื่น
หลัก ๆ แล้ว เกิดจากการตัดสินใจ และความเชื่อในทางที่ผิดของผู้นำเพียงคนเดียว
แต่มันก็ได้สร้างความเดือดร้อนต่อประชากรทั้งประเทศได้หลายสิบล้านคน
ซีรีย์ โชคดีที่ได้เกิดในไทย : (2) ตุรกี ดอกเบี้ย 40% เงินเฟ้อ61% โดยลงทุนแมน 29ธค2023
โดย ลงทุนแมน 29ธค2023
ประเทศตุรกี เผชิญปัญหาเงินเฟ้อ มายาวนานหลายปี
โดยล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายน2566 อัตราเงินเฟ้อของประเทศสูงถึง 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว คนตุรกีเคยซื้อสินค้าและบริการ 100 บาทในประเทศ มาวันนี้ต้องจ่ายในราคาแพงขึ้นเป็น 161 บาท
สร้างปัญหาและความเดือดร้อนอย่างหนัก ในการดำรงชีวิตของประชากรกว่า 85 ล้านคน
ไม่เว้นแม้แต่ ผู้ว่าแบงก์ชาติของตุรกีเอง ที่หาบ้านพักไม่ได้ เพราะราคาบ้านและค่าเช่านั้นปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้เป็นเพราะอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จุดเริ่มต้นของปัญหาเงินเฟ้อในครั้งนี้ ต้องย้อนไปในปี 2014 หรือเมื่อประมาณ 9 ปีก่อน เมื่อ เรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของตุรกี
ในตอนนั้น เขาต้องการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีการเติบโต โดยการเพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
และมาตรการทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ผ่านการก่อหนี้ของรัฐบาล
ซึ่งถือเป็น"นโยบายการคลัง" ที่มีภาครัฐเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการ
อย่างไรก็ตาม ยังมีเครื่องมือที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “นโยบายทางการเงิน”
ซึ่งปกติจะมีธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นผู้ดูแล ที่เป็นอิสระจากรัฐบาล
แต่ในตอนนั้น ประธานาธิบดีกลับตัดสินใจ เข้าแทรกแซงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางตุรกี
*** โดยให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่เขาตั้งใจไว้
ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง
จะส่งผลให้ อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน และของธนาคารพาณิชย์ก็จะปรับลดลงตาม
ทั้งในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก
...โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการอยากที่จะกู้ยืมเงิน เพื่อนำไปลงทุนมากขึ้น
... หรือแม้แต่การออกพันธบัตรรัฐบาลเอง ก็จะมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง
.... ในเวลาเดียวกันนั้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง ก็จะทำให้ผู้คนไม่ต้องการฝากเงินไว้กับธนาคาร
เนื่องจากได้รับผลตอบแทนน้อย และเลือกที่จะนำเงินเหล่านั้น ไปจับจ่ายใช้สอยแทน
ภายใต้กลไกดังกล่าวนี้ ก็จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การลงทุน การบริโภค ซึ่งส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วเกินไป แต่ระดับการออมของประชากรในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ
บวกกับในช่วงปี 2018 ตุรกียังต้องทำสงครามในประเทศซีเรีย
เศรษฐกิจตุรกีจึงเริ่มได้รับผลกระทบ " ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด " ********
(ซึ่งบัญชีเดินสะพัด คือบัญชีที่แสดงรายการเงินที่ไหลเข้าออก จากประเทศนั้น ๆ
จากการซื้อหรือขายสินค้าและบริการของประเทศ หากขายน้อยกว่าซื้อ ดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะติดลบ)
รู้ไหมว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศตุรกี ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
จาก 1.2 ล้านล้านบาท ในปี 2014 มาอยู่ที่ ระดับ 2.1 ล้านล้านบาท ในปัจจุบัน
ส่งผลให้ " ค่าเงินลีราตุรกีอ่อนค่าลง "
โดยเฉพาะในปี 2018 เพียงปีเดียว ค่าเงินลีราตุรกี อ่อนค่าลงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
และยังอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
- สิ้นปี 2018 เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 5.3 ลีราตุรกี
- เดือนพฤศจิกายน 2023 เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 28.8 ลีราตุรกี (5ปี ค่าเงินมีมูลค่าเหลือแค่18.4% กรี๊ดดด)
โดยค่าเงินที่อ่อนค่าลง ทำให้สินค้านำเข้านั้นมีราคาแพงขึ้น เงินเฟ้อในประเทศจึงปรับเพิ่มขึ้นตาม
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว วิธีที่จะช่วยยับยั้งการอ่อนค่าของค่าเงิน และลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อได้นั้น คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น
เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยถูกปรับสูงขึ้น ก็จะทำให้เงินทุนบางส่วนไหลกลับเข้ามา
ซึ่งช่วยให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น และส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศนั้นลดลงมาได้บ้าง
แต่แนวคิดนี้ กลับถูกปฏิเสธโดยประธานาธิบดีเรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน
มิหนำซ้ำเขายังกดดันให้ธนาคารกลางของตุรกีลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก
แม้หลายฝ่ายจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิด โดยเฉพาะผู้ว่าการธนาคารกลางของตุรกี
แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ฟังใคร เพราะเขาได้เปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางไปแล้ว 5 คน ในรอบ 5 ปีนี้
แน่นอนว่า ยิ่งค่าเงินลีราตุรกีอ่อนลงมากเท่าไร ต้นทุนสินค้านำเข้า ก็จะยิ่งแพงขึ้นมากเท่านั้น
หากลองไปดูเงินเฟ้อของตุรกีที่ผ่านมา
- ปี 2014 อัตราเงินเฟ้อของตุรกี 9%
- ปี 2018 อัตราเงินเฟ้อของตุรกี 16%
- ล่าสุด เดือนพฤศจิกายน ปี 2023 อัตราเงินเฟ้อของประเทศตุรกีสูงถึง 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่งผลให้ ประชาชนในประเทศเดือดร้อนอย่างหนัก
ไม่เว้นแม้แต่ ฮาฟิซ กาเย เออร์คาน ผู้ว่าการธนาคารกลางผู้หญิงของตุรกีคนล่าสุด ก็ไม่สามารถหาบ้านในเมืองอิสตันบูลได้
เพราะราคาบ้านและค่าเช่านั้นแพงมหาโหด ทำให้เธอต้องย้ายไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่แทน
ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ กลายเป็นว่า ตุรกีจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วแทน
เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาเป็นเวลาหลายปี
โดยจากที่ต้นปี2023 อยู่ที่เพียงระดับ 9% แต่มาในเดือนพฤศจิกายน2023 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของตุรกีขึ้นไปถึงระดับ 40% เลยทีเดียว
ถึงตรงนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า วิกฤติเงินเฟ้อในตุรกี
ที่มันดูเหมือนรุนแรงมากกว่าประเทศอื่น
หลัก ๆ แล้ว เกิดจากการตัดสินใจ และความเชื่อในทางที่ผิดของผู้นำเพียงคนเดียว
แต่มันก็ได้สร้างความเดือดร้อนต่อประชากรทั้งประเทศได้หลายสิบล้านคน