....( วิมานหมอก )....
“เพชร” ลูกชายของโกตึ๋งเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าตลาดสด เป็นชายหนุ่มอายุสิบเก้าปี มีนิสัยต่างจากพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าเขาสองปี และ“ปิง” ผู้เป็นพี่ รักและห่วงน้องชายคนนี้มากกว่าใคร
แม่ของทั้งสองแยกทางกับพ่อและออกจากบ้านไปสองปีแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรพ่อไม่เคยเล่าให้ฟัง และมักทำหน้านิ่ง ๆ เมื่อใครคนหนึ่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
เย็นวันหนึ่ง ชายหนุ่มเอ่ยปากออกมาขณะช่วยพี่สาวล้างหม้อก๋วยเตี๋ยวและถ้วยชามกองพะเนิน
“ถ้าแม่ยังอยู่นะ เราไม่ลำบากขนาดนี้หรอกพี่ปิง”
หญิงสาวอมยิ้มให้กับอาการของน้องชาย ก่อนยกชามห้าหกใบขึ้นจากกะละมังน้ำเปล่าแล้วคว่ำลงในตะกร้าใบโตซึ่งวางอยู่ข้างตัว
“พี่เห็นเพชรบ่นอย่างนี้ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
ชายหนุ่มหยุดมือซึ่งกำลังล้างช้อนในกะละมัง มองหน้าพี่สาวแล้วเอ่ยออกมา
“ก็ลูกน้องสองคนพ่อก็ให้กลับก่อน เช้าพี่ต้องไปตลาด ช่วยพ่อจัดร้านก่อนไปโรงเรียน เย็นกลับมาต้องล้างชามอีก ทำไมไม่ให้เขาล้างกันล่ะพี่”
เธอมองน้องชายอย่างเอ็นดู ถึงเพชรอายุใกล้ยี่สิบแล้ว แต่ยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ และไม่อดทนกับเรื่องรอบตัว แต่กับเธอ เขามีท่าทีอ่อนโยน ยอมเชื่อฟังตลอดมา
“ตอนนี้เราขายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพชร ถ้าให้อยู่ล้างชามพ่อต้องเพิ่มเงินให้เขาอีก สองคนรวมกันเดือนหนึ่งไม่น้อยเลยนะเพชร”
ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนก้มลงทำงานต่อไป เพชรได้ยินคำปลอบจากพี่สาวทุกครั้งที่เริ่มเบื่อหรือท้อใจ ส่วนพ่อนั้นไม่เคยมองเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่สำหรับพ่อ คืองาน และเงินที่ต้องหามาจุนเจือครอบครัว
“เสร็จกันหรือยัง มากินข้าว”
เสียงผู้เป็นพ่อดังจากในครัว ทั้งสองจึงเร่งมือขณะหญิงสาวตอบกลับไป
“จ้าพ่อ ใกล้เสร็จแล้วจ้า”
ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วก้มล้างของที่เหลือ กระทั่งยกคว่ำครบทุกอย่างจึงพากันเดินเข้าบ้านไป
“โกตึ๋ง” ไม่ใช่คนจีนโดยกำเนิด แต่มีผิวขาวและหน้าตากระเดียดไปทางนั้น อีกทั้งคำเรียกพ่อค้าแม่ค้าโดยทั่วไปจะใช้เป็นคำกลาง ๆ เพราะถ้าใช้ “พี่” ก็เดาอายุกันไม่ออกว่าใครเป็นพี่ใคร จะเรียกป้าหรือลุง ถ้าไม่สนิทกันจริงแม่ค้าอาจไม่พอใจ ดังนั้นคำว่า “เจ๊” หรือ “เฮีย” จึงถูกนำมาใช้เรียกแทนจนเป็นความเคยชินของคนทั่วไป ส่วนคำเรียก “โกตึ๋ง” นั้น เนื่องจากนายตึ๋ง มีรูปร่างสูงโปร่ง บวกกับอายุห้าสิบกลาง ๆ และความสุภาพเป็นกันเองของเขา คนจึงพร้อมใจเรียกคำนำหน้าชื่อว่า “โก”
ส่วนสองพี่น้อง มีผิวขาวและหน้าตาไปทางแม่ ซึ่งเป็นคนเชียงราย ด้วยผิวขาวเนียนมองเป็นคนเหนือชัด จึงทำให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัย ทั้งที่ไม่ใช่เด็กน้อยแล้วทั้งสองคน
“การบ้านมีไหมเพชร”
ผู้เป็นพ่อเอ่ยออกมาขณะชายหนุ่มนั่งลงตรงข้าม ส่วนหญิงสาวยืนตักข้าวใส่จานก่อนวางลงตรงหน้าทีละคน
“วันนี้ไม่มีครับ”
เขาตอบพลางมองกับข้าวสามอย่างบนโต๊ะ พ่อเพิ่งซื้อจากตลาดพร้อมของบางอย่างที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ ปิงจะเป็นคนทำกับข้าว และทำได้หลากหลายกว่าที่แม่ค้าขาย เพราะเธอเคยช่วยแม่ในครัว
“แล้วอย่ากลับดึกอย่างเมื่อคืนนะ พ่อขี้เกียจรอปิดบ้าน”
โกตึ๋งดักคอไว้ก่อน บางครั้งลูกชายไปหาเพื่อนในตลาดแล้วคุยเพลินจนกลับเลยเวลาที่พ่อบอกไว้ แต่เขาไม่ได้เข้มงวดมากมายนัก พอลูกสาวทำการบ้านและเขาเข้าห้องนอน เพชรก็ไม่มีเพื่อนคุย อีกทั้งเพื่อนของลูกชายในตลาด โกตึ๋งก็รู้จักทุกคน
“ครับพ่อ”
ชายหนุ่มรับปากในลำคอแล้วตั้งใจกินข้าวจนหมดจาน ทำหน้ายิ้ม ๆ มองพี่สาว แล้วยกจานไปวางหลังบ้านก่อนเดินผ่านโต๊ะกินข้าวไปทางหน้าบ้าน ขณะผู้เป็นพ่อมองตามจนลับตา
“เตือนมันไว้บ้างปิง เพื่อนไม่ดีอย่าให้น้องไปยุ่งด้วย”
ผู้เป็นพ่อกังวลกับลูกชายวัยหนุ่ม แต่การที่ตัวเองต้องทำมาหากินทั้งวัน จึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร อีกทั้งวัยที่ห่างกัน ทำให้บางอย่างเขาพูดไปลูกชายไม่เข้าใจ
“จ้ะพ่อ”
หญิงสาวตอบรับพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“มันไม่ค่อยพูดกับพ่อ ถามคำตอบคำ น้องเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้างไหม”
เขาถือช้อนค้างไว้ขณะมองลูกสาวที่ส่ายหน้าไปมา
“ไม่นี่จ๊ะพ่อ คงไม่มีอะไรหรอก เพชรไม่เคยไปไหนไกล แล้วเพื่อนเพชรหนูก็รู้จัก พ่ออย่าห่วงเลย หนูจะดูน้องเอง”
หญิงสาวมองพ่อซึ่งท่าทางไม่สบายใจ เข้าใจความลำบากของคนที่เลี้ยงลูกพร้อมทำงานไปด้วย การจะมาดูแลกันทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้ แม้เวลาพูดคุยกันยังน้อยเต็มที
ความเงียบเข้าปกคลุมเมื่อสองพ่อลูกไม่พูดอะไรกันต่อ ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ขณะผู้เป็นพ่อสะกดความว้าวุ่นในใจ การห่วงลูกชายด้วยการห้ามไม่ให้ออกไปไหน เป็นการฝืนใจลูกเกินไป ส่วนการปล่อยลูกทำตามใจ แล้วต้องคอยกังวลก็เหนื่อยใจตัวเอง แต่เมื่อคิดว่ามีลูกสาวคอยดูน้องอยู่ เขาจึงค่อยเบาใจ
เพชรเดินผ่านประตูไม้ออกมายืนหน้าบ้าน พลางมองไปยังถนนซึ่งตอนนี้ผู้คนบางตา ห้องแถวไม้เรียงไปนับสิบห้อง เจ้าของพากันเก็บของขายเข้าบ้านหมดแล้วแต่ประตูบ้านยังแง้มเป็นช่องพอดีตัว และยืนคุยกับห้องข้าง ๆ ในเรื่องทั่วไป หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
ตลาดที่ชายหนุ่มยืนอยู่นี้ เป็นตลาดขนาดพอเหมาะกับตัวเมืองเล็ก ๆ ซึ่งมีความเจริญพอสมควร มองออกจากตัวตลาดไป ถนนสองข้างทางเป็นตึกแถวขายของจิปาถะ รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์และอะไหล่เครื่องจักรเครื่องยนต์ต่าง ๆ กลางวันจึงมีคนมาหาซื้อของใช้ ตามความจำเป็นของแต่ละคน
ในตลาดสดจะคึกคักในตอนเช้าและเย็น มีทั้งแม่ค้ามาซื้อของไปขายต่อและแม่บ้านนำไปใช้ในครัว ห้องแถวไม้เก่าแก่ซึ่งเรียงจากหน้าตลาดเข้าไป เป็นร้านขายเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องเทศต่าง ๆ ส่วนอาคารตรงกลางเป็นของสดจำพวกหมู ไก่ ปลา และของกินสารพัดอย่าง ผู้คนจึงเนืองแน่นตลอดเวลากระทั่งตลาดวาย
ส่วนร้านก๋วยเตี๋ยวโกตึ๋ง จะพร้อมขายตอนสายหลังเก้าโมงไปแล้ว ซึ่งลูกค้าจะเทียวเข้าออกกระทั่งปิดร้านตอนสามถึงสี่โมงเย็น โดยไม่มีวันหยุดสักวัน
เมื่อแต่ละร้านเก็บข้าวของเสร็จเจ้าของบ้านก็หันไปทำงานบ้านของตัวเอง บางคนทำกับข้าว บางคนเตรียมของไว้ขายวันต่อไป เสร็จแล้วออกมาเตร็ดเตร่
แถวนั้น นั่งเล่นบนแผงขายของว่าง ๆ บ้าง นั่งตามม้ายาวหน้าร้านบ้าง คุยกันเพลิดเพลินประสาคนอยู่ตลาดด้วยกัน
กลุ่มวัยรุ่นจะรวมตัวอยู่ท้ายตลาดตรงแผงหมูเจ๊นวล ซึ่งตรงนี้เมื่อตลาดเลิก จะไม่มีใครผ่านมา เพราะทางออกท้ายตลาดเป็นทางเล็ก ๆ กว้างเพียงสามล้อแดงวิ่งเข้าออกได้เท่านั้นเอง
เมื่อเก็บร้านแล้ว เจ๊นวลจะกลับไปนอนบ้านซึ่งอยู่นอกเมือง ปล่อยให้เจ้าเอกลูกชายวัยยี่สิบสามนอนเฝ้าร้าน แล้วเจ๊จะมาอีกทีประมาณตีสามตอนรถมาส่งหมู เมื่อมีแต่วัยรุ่นด้วยกัน การพูดคุยกันจึงเป็นกันเองไม่ต้องระแวงคนโตจะได้ยิน
เจ้าเอกเป็นหัวโจกในกลุ่มไปอย่างไม่ตั้งใจ เหตุผลเพราะเขามีการเงินคล่องกว่าคนอื่น ตรงนี้จึงมีของกินไม่ขาด แม้แต่ของมึนเมาซึ่งเป็นของต้องห้าม เจ้าเอกก็มีไว้ต้อนรับเพื่อนเหมือนกัน เพื่อนฝูงทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องจึงมาชุมนุมกันทุกคืน
“เฮ้ยเพชร วันนี้มีของใหม่เว้ย”
เสียงเจ้าเล็กเรียกมาแต่ไกลเมื่อเห็นชายหนุ่ม เขามองไปเห็นเพื่อนหน้าเดิม ๆ นั่งอยู่ห้าหกคน กลิ่นควันบุหรี่คลุ้งมาตามลม ขวดเบียร์สามขวดวางตรงหน้าเจ้าเอก แต่มีขวดเดียวที่ยังมีน้ำเต็ม อีกสองขวดเหลือไม่ถึงครึ่งดี
“อะไรวะ”
ชายหนุ่มถามพร้อมกับนั่งตรงที่ว่างข้างเพื่อนคนหนึ่งขณะเจ้าเล็กยื่นกล่องบุหรี่สีน้ำตาลส่งให้ เขารับมามองยี่ห้อภาษาอังกฤษแวบหนึ่งจึงเปิดฝากล่องดูข้างใน
“ไม่ใช่บุหรี่นี่หว่า”
เสียงหัวเราะดังรอบวงเมื่อเพื่อน ๆ เห็นหน้าตาเหรอหราของเพชรตอนเขาส่งกล่องคืนไป ตั้งแต่คบกับเพื่อนกลุ่มนี้มา เขาฝืนคำสั่งพ่อในเรื่องบุหรี่เพียงข้อเดียว ส่วนยาเสพติดและเหล้าเบียร์เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยว เพราะมีพี่สาวคอยกำชับแทนพ่ออีกแรง
เจ้าเอกยื่นบุหรี่จุดแล้วให้ชายหนุ่ม เขารับมาแล้วมองไปทางเจ้าเล็กกับคนอื่น ซึ่งพากันเทของออกจากกล่องบุหรี่ก่อนล้อมวงเข้าไป
“สีเขียวเอาออกไปใครยัดมาวะไอ้เปี๊ยก”
เสียงเจ้าเล็กบ่นพึมพำขณะฉีกซองบุหรี่เปล่าที่เตรียมไว้เพื่อทำอุปกรณ์เสพยา ส่วนคนอื่นจ้องตาวาวพร้อมกับตีวงแคบเข้ากว่าเดิม
“ไม่เอาหรือเพชร”
เจ้าเอกลุกไปทางกลุ่มเพื่อนขณะชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับนั่งอยู่อย่างเดิม กระทั่งควันกลิ่นคล้ายพลาสติกไหม้ไฟลอยมา เขาจึงลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าบ้านหลังถัดไป พลางมองเพื่อน ๆ ที่เพลิดเพลินจนแทบไม่คุยกัน
“ไอ้เพชรมันรอบ้านยายอิ้งเปิด”
เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะจนเจ้าเล็กสำลักควัน ก่อนจะไอขลุกขลักในลำคอแล้วพูดออกมาอย่างล้อเลียน
“ไอ้เพชรนี่นะ ข้าว่าตัวสั่นตั้งแต่หน้าประตูแน่เลย”
เสียงฮาดังอีกครั้ง ชายหนุ่มได้ยินแล้วทำหน้ายิ้ม ๆ ก่อนตอบกลับไป
“เคยสิเอ็ง เห็นยายอิ้งบอกเอ็งเดินถึงหน้าบ้านแล้ววิ่งกลับเฉย”
คราวนี้เสียงโห่ฮาดังกว่าเดิมขณะเจ้าเล็กเองก็หัวเราะตามเพื่อน ก่อนตั้งตารอกระทงยาเป็นคิวต่อไป..
( มีต่อครับ )
..........วิมานหมอก........ตอนที่ ๑........@@ โดย ลุงแผน
“เพชร” ลูกชายของโกตึ๋งเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าตลาดสด เป็นชายหนุ่มอายุสิบเก้าปี มีนิสัยต่างจากพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าเขาสองปี และ“ปิง” ผู้เป็นพี่ รักและห่วงน้องชายคนนี้มากกว่าใคร
แม่ของทั้งสองแยกทางกับพ่อและออกจากบ้านไปสองปีแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรพ่อไม่เคยเล่าให้ฟัง และมักทำหน้านิ่ง ๆ เมื่อใครคนหนึ่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
เย็นวันหนึ่ง ชายหนุ่มเอ่ยปากออกมาขณะช่วยพี่สาวล้างหม้อก๋วยเตี๋ยวและถ้วยชามกองพะเนิน
“ถ้าแม่ยังอยู่นะ เราไม่ลำบากขนาดนี้หรอกพี่ปิง”
หญิงสาวอมยิ้มให้กับอาการของน้องชาย ก่อนยกชามห้าหกใบขึ้นจากกะละมังน้ำเปล่าแล้วคว่ำลงในตะกร้าใบโตซึ่งวางอยู่ข้างตัว
“พี่เห็นเพชรบ่นอย่างนี้ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
ชายหนุ่มหยุดมือซึ่งกำลังล้างช้อนในกะละมัง มองหน้าพี่สาวแล้วเอ่ยออกมา
“ก็ลูกน้องสองคนพ่อก็ให้กลับก่อน เช้าพี่ต้องไปตลาด ช่วยพ่อจัดร้านก่อนไปโรงเรียน เย็นกลับมาต้องล้างชามอีก ทำไมไม่ให้เขาล้างกันล่ะพี่”
เธอมองน้องชายอย่างเอ็นดู ถึงเพชรอายุใกล้ยี่สิบแล้ว แต่ยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ และไม่อดทนกับเรื่องรอบตัว แต่กับเธอ เขามีท่าทีอ่อนโยน ยอมเชื่อฟังตลอดมา
“ตอนนี้เราขายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพชร ถ้าให้อยู่ล้างชามพ่อต้องเพิ่มเงินให้เขาอีก สองคนรวมกันเดือนหนึ่งไม่น้อยเลยนะเพชร”
ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนก้มลงทำงานต่อไป เพชรได้ยินคำปลอบจากพี่สาวทุกครั้งที่เริ่มเบื่อหรือท้อใจ ส่วนพ่อนั้นไม่เคยมองเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่สำหรับพ่อ คืองาน และเงินที่ต้องหามาจุนเจือครอบครัว
“เสร็จกันหรือยัง มากินข้าว”
เสียงผู้เป็นพ่อดังจากในครัว ทั้งสองจึงเร่งมือขณะหญิงสาวตอบกลับไป
“จ้าพ่อ ใกล้เสร็จแล้วจ้า”
ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วก้มล้างของที่เหลือ กระทั่งยกคว่ำครบทุกอย่างจึงพากันเดินเข้าบ้านไป
“โกตึ๋ง” ไม่ใช่คนจีนโดยกำเนิด แต่มีผิวขาวและหน้าตากระเดียดไปทางนั้น อีกทั้งคำเรียกพ่อค้าแม่ค้าโดยทั่วไปจะใช้เป็นคำกลาง ๆ เพราะถ้าใช้ “พี่” ก็เดาอายุกันไม่ออกว่าใครเป็นพี่ใคร จะเรียกป้าหรือลุง ถ้าไม่สนิทกันจริงแม่ค้าอาจไม่พอใจ ดังนั้นคำว่า “เจ๊” หรือ “เฮีย” จึงถูกนำมาใช้เรียกแทนจนเป็นความเคยชินของคนทั่วไป ส่วนคำเรียก “โกตึ๋ง” นั้น เนื่องจากนายตึ๋ง มีรูปร่างสูงโปร่ง บวกกับอายุห้าสิบกลาง ๆ และความสุภาพเป็นกันเองของเขา คนจึงพร้อมใจเรียกคำนำหน้าชื่อว่า “โก”
ส่วนสองพี่น้อง มีผิวขาวและหน้าตาไปทางแม่ ซึ่งเป็นคนเชียงราย ด้วยผิวขาวเนียนมองเป็นคนเหนือชัด จึงทำให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัย ทั้งที่ไม่ใช่เด็กน้อยแล้วทั้งสองคน
“การบ้านมีไหมเพชร”
ผู้เป็นพ่อเอ่ยออกมาขณะชายหนุ่มนั่งลงตรงข้าม ส่วนหญิงสาวยืนตักข้าวใส่จานก่อนวางลงตรงหน้าทีละคน
“วันนี้ไม่มีครับ”
เขาตอบพลางมองกับข้าวสามอย่างบนโต๊ะ พ่อเพิ่งซื้อจากตลาดพร้อมของบางอย่างที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ ปิงจะเป็นคนทำกับข้าว และทำได้หลากหลายกว่าที่แม่ค้าขาย เพราะเธอเคยช่วยแม่ในครัว
“แล้วอย่ากลับดึกอย่างเมื่อคืนนะ พ่อขี้เกียจรอปิดบ้าน”
โกตึ๋งดักคอไว้ก่อน บางครั้งลูกชายไปหาเพื่อนในตลาดแล้วคุยเพลินจนกลับเลยเวลาที่พ่อบอกไว้ แต่เขาไม่ได้เข้มงวดมากมายนัก พอลูกสาวทำการบ้านและเขาเข้าห้องนอน เพชรก็ไม่มีเพื่อนคุย อีกทั้งเพื่อนของลูกชายในตลาด โกตึ๋งก็รู้จักทุกคน
“ครับพ่อ”
ชายหนุ่มรับปากในลำคอแล้วตั้งใจกินข้าวจนหมดจาน ทำหน้ายิ้ม ๆ มองพี่สาว แล้วยกจานไปวางหลังบ้านก่อนเดินผ่านโต๊ะกินข้าวไปทางหน้าบ้าน ขณะผู้เป็นพ่อมองตามจนลับตา
“เตือนมันไว้บ้างปิง เพื่อนไม่ดีอย่าให้น้องไปยุ่งด้วย”
ผู้เป็นพ่อกังวลกับลูกชายวัยหนุ่ม แต่การที่ตัวเองต้องทำมาหากินทั้งวัน จึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร อีกทั้งวัยที่ห่างกัน ทำให้บางอย่างเขาพูดไปลูกชายไม่เข้าใจ
“จ้ะพ่อ”
หญิงสาวตอบรับพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“มันไม่ค่อยพูดกับพ่อ ถามคำตอบคำ น้องเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้างไหม”
เขาถือช้อนค้างไว้ขณะมองลูกสาวที่ส่ายหน้าไปมา
“ไม่นี่จ๊ะพ่อ คงไม่มีอะไรหรอก เพชรไม่เคยไปไหนไกล แล้วเพื่อนเพชรหนูก็รู้จัก พ่ออย่าห่วงเลย หนูจะดูน้องเอง”
หญิงสาวมองพ่อซึ่งท่าทางไม่สบายใจ เข้าใจความลำบากของคนที่เลี้ยงลูกพร้อมทำงานไปด้วย การจะมาดูแลกันทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้ แม้เวลาพูดคุยกันยังน้อยเต็มที
ความเงียบเข้าปกคลุมเมื่อสองพ่อลูกไม่พูดอะไรกันต่อ ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ขณะผู้เป็นพ่อสะกดความว้าวุ่นในใจ การห่วงลูกชายด้วยการห้ามไม่ให้ออกไปไหน เป็นการฝืนใจลูกเกินไป ส่วนการปล่อยลูกทำตามใจ แล้วต้องคอยกังวลก็เหนื่อยใจตัวเอง แต่เมื่อคิดว่ามีลูกสาวคอยดูน้องอยู่ เขาจึงค่อยเบาใจ
เพชรเดินผ่านประตูไม้ออกมายืนหน้าบ้าน พลางมองไปยังถนนซึ่งตอนนี้ผู้คนบางตา ห้องแถวไม้เรียงไปนับสิบห้อง เจ้าของพากันเก็บของขายเข้าบ้านหมดแล้วแต่ประตูบ้านยังแง้มเป็นช่องพอดีตัว และยืนคุยกับห้องข้าง ๆ ในเรื่องทั่วไป หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
ตลาดที่ชายหนุ่มยืนอยู่นี้ เป็นตลาดขนาดพอเหมาะกับตัวเมืองเล็ก ๆ ซึ่งมีความเจริญพอสมควร มองออกจากตัวตลาดไป ถนนสองข้างทางเป็นตึกแถวขายของจิปาถะ รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์และอะไหล่เครื่องจักรเครื่องยนต์ต่าง ๆ กลางวันจึงมีคนมาหาซื้อของใช้ ตามความจำเป็นของแต่ละคน
ในตลาดสดจะคึกคักในตอนเช้าและเย็น มีทั้งแม่ค้ามาซื้อของไปขายต่อและแม่บ้านนำไปใช้ในครัว ห้องแถวไม้เก่าแก่ซึ่งเรียงจากหน้าตลาดเข้าไป เป็นร้านขายเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องเทศต่าง ๆ ส่วนอาคารตรงกลางเป็นของสดจำพวกหมู ไก่ ปลา และของกินสารพัดอย่าง ผู้คนจึงเนืองแน่นตลอดเวลากระทั่งตลาดวาย
ส่วนร้านก๋วยเตี๋ยวโกตึ๋ง จะพร้อมขายตอนสายหลังเก้าโมงไปแล้ว ซึ่งลูกค้าจะเทียวเข้าออกกระทั่งปิดร้านตอนสามถึงสี่โมงเย็น โดยไม่มีวันหยุดสักวัน
เมื่อแต่ละร้านเก็บข้าวของเสร็จเจ้าของบ้านก็หันไปทำงานบ้านของตัวเอง บางคนทำกับข้าว บางคนเตรียมของไว้ขายวันต่อไป เสร็จแล้วออกมาเตร็ดเตร่
แถวนั้น นั่งเล่นบนแผงขายของว่าง ๆ บ้าง นั่งตามม้ายาวหน้าร้านบ้าง คุยกันเพลิดเพลินประสาคนอยู่ตลาดด้วยกัน
กลุ่มวัยรุ่นจะรวมตัวอยู่ท้ายตลาดตรงแผงหมูเจ๊นวล ซึ่งตรงนี้เมื่อตลาดเลิก จะไม่มีใครผ่านมา เพราะทางออกท้ายตลาดเป็นทางเล็ก ๆ กว้างเพียงสามล้อแดงวิ่งเข้าออกได้เท่านั้นเอง
เมื่อเก็บร้านแล้ว เจ๊นวลจะกลับไปนอนบ้านซึ่งอยู่นอกเมือง ปล่อยให้เจ้าเอกลูกชายวัยยี่สิบสามนอนเฝ้าร้าน แล้วเจ๊จะมาอีกทีประมาณตีสามตอนรถมาส่งหมู เมื่อมีแต่วัยรุ่นด้วยกัน การพูดคุยกันจึงเป็นกันเองไม่ต้องระแวงคนโตจะได้ยิน
เจ้าเอกเป็นหัวโจกในกลุ่มไปอย่างไม่ตั้งใจ เหตุผลเพราะเขามีการเงินคล่องกว่าคนอื่น ตรงนี้จึงมีของกินไม่ขาด แม้แต่ของมึนเมาซึ่งเป็นของต้องห้าม เจ้าเอกก็มีไว้ต้อนรับเพื่อนเหมือนกัน เพื่อนฝูงทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องจึงมาชุมนุมกันทุกคืน
“เฮ้ยเพชร วันนี้มีของใหม่เว้ย”
เสียงเจ้าเล็กเรียกมาแต่ไกลเมื่อเห็นชายหนุ่ม เขามองไปเห็นเพื่อนหน้าเดิม ๆ นั่งอยู่ห้าหกคน กลิ่นควันบุหรี่คลุ้งมาตามลม ขวดเบียร์สามขวดวางตรงหน้าเจ้าเอก แต่มีขวดเดียวที่ยังมีน้ำเต็ม อีกสองขวดเหลือไม่ถึงครึ่งดี
“อะไรวะ”
ชายหนุ่มถามพร้อมกับนั่งตรงที่ว่างข้างเพื่อนคนหนึ่งขณะเจ้าเล็กยื่นกล่องบุหรี่สีน้ำตาลส่งให้ เขารับมามองยี่ห้อภาษาอังกฤษแวบหนึ่งจึงเปิดฝากล่องดูข้างใน
“ไม่ใช่บุหรี่นี่หว่า”
เสียงหัวเราะดังรอบวงเมื่อเพื่อน ๆ เห็นหน้าตาเหรอหราของเพชรตอนเขาส่งกล่องคืนไป ตั้งแต่คบกับเพื่อนกลุ่มนี้มา เขาฝืนคำสั่งพ่อในเรื่องบุหรี่เพียงข้อเดียว ส่วนยาเสพติดและเหล้าเบียร์เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยว เพราะมีพี่สาวคอยกำชับแทนพ่ออีกแรง
เจ้าเอกยื่นบุหรี่จุดแล้วให้ชายหนุ่ม เขารับมาแล้วมองไปทางเจ้าเล็กกับคนอื่น ซึ่งพากันเทของออกจากกล่องบุหรี่ก่อนล้อมวงเข้าไป
“สีเขียวเอาออกไปใครยัดมาวะไอ้เปี๊ยก”
เสียงเจ้าเล็กบ่นพึมพำขณะฉีกซองบุหรี่เปล่าที่เตรียมไว้เพื่อทำอุปกรณ์เสพยา ส่วนคนอื่นจ้องตาวาวพร้อมกับตีวงแคบเข้ากว่าเดิม
“ไม่เอาหรือเพชร”
เจ้าเอกลุกไปทางกลุ่มเพื่อนขณะชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับนั่งอยู่อย่างเดิม กระทั่งควันกลิ่นคล้ายพลาสติกไหม้ไฟลอยมา เขาจึงลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าบ้านหลังถัดไป พลางมองเพื่อน ๆ ที่เพลิดเพลินจนแทบไม่คุยกัน
“ไอ้เพชรมันรอบ้านยายอิ้งเปิด”
เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะจนเจ้าเล็กสำลักควัน ก่อนจะไอขลุกขลักในลำคอแล้วพูดออกมาอย่างล้อเลียน
“ไอ้เพชรนี่นะ ข้าว่าตัวสั่นตั้งแต่หน้าประตูแน่เลย”
เสียงฮาดังอีกครั้ง ชายหนุ่มได้ยินแล้วทำหน้ายิ้ม ๆ ก่อนตอบกลับไป
“เคยสิเอ็ง เห็นยายอิ้งบอกเอ็งเดินถึงหน้าบ้านแล้ววิ่งกลับเฉย”
คราวนี้เสียงโห่ฮาดังกว่าเดิมขณะเจ้าเล็กเองก็หัวเราะตามเพื่อน ก่อนตั้งตารอกระทงยาเป็นคิวต่อไป..
( มีต่อครับ )