อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๒๓ จากช่องทางเนินสี่ร้อยสู่โปสัตว์
หลังจากผ่านไปสิบกว่าปีผมก็ได้เดินทางผ่านจุดผ่อนปรนเนินสี่ร้อยอีกครั้ง โดยได้อาศัยไปกับขบวนกฐินจากฝั่งไทยซึ่งจะไปทอดยังวัดหนึ่งในอำเภอโปสัตว์ (ពោធិសត្វ) หรือโพธิสัตว์ในภาษาไทยนั่นแหละครับ
เสียงแตรรถดังหน้าบ้านแต่เช้า ใครมากดแตรอะไรกัน ผมคิดและไม่ได้สนใจสักเท่าไรนัก เพราะตามปกติไม่ค่อยมีใครมากดแตรเรียกแบบนี้ คิดว่าฅนใช้รถบนถนนคงจอดทักทายอะไรกันมากกว่า
“ไปยังล่ะ” เป็นลูกพี่ของผมที่ชะโงกหน้าเข้ามาทักทาย
“เอ้อ ไปไหนครับ” ผมถามออกไปกับความงุนงง
“เขมรไง” ลูกพี่ผมตอบมา
“วันนี้เหรอ” ผมถามอีก เพราะจำได้ว่าจะมีกองกฐินจากฝั่งไทยไปทอดที่วัดแถว โอวรธเกราะ ซึ่งพอทราบข่าวผมจึงชวนลูกพี่ให้ลองเข้าไปเที่ยวกับขบวนกฐินกัน แต่นั่นมันวันที่ยี่สิบเอ็ด และนี่มันเพิ่งจะวันที่เจ็ดเองนี่นา
“วันนี้แหละ” ลูกพี่ยืนยันกลับมา
“อ้าว ผมไม่ทันเตรียมตัวเลย” ผมร้องตอบไป ซึ่งหมายถึงไม่ทันแต่งตัวนั่นแหละ
“ไม่ต้องเอาอะไรไปมากหรอก เราก็เอาไปสองชุดเอง” ลูกพี่ตอบมา ผมอดงงอีกไม่ได้
“ทำไมถึงเอาไปตั้งสองชุด” ผมถามขณะหาเสื้อผ้ามาใส่
“ค้างคืนหนึ่งนะ” ผมชะงักกับคำตอบนั้น ไปแค่โอวรธเกราะหรือคลองรถถังต้องค้างคืนด้วยเหรอ
หากแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากรีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วออกเดินทางกัน
อดแปลกใจอีกไม่ได้เพราะคิดว่าลูกพี่ของผมจะไปฅนเดียว แต่งานนี้กลับมีลูก ๆ ของเขาไปด้วย (ไม่คิดว่าลูกชายหญิงของเขาจะอยากไปเมืองแขมร์กัน) แปลกใจที่สุดก็ตรงลูกชายฅนเล็กของเขานั่นแหละ เพราะแกเพิ่งอยู่วัยอนุบาลเอง และภรรยาของลูกพี่ไม่ได้ไปด้วย ไม่มีแม่แบบนี้จะไม่ร้องหาบ้างเหรอ ผมอดคิดในใจไม่ได้ แต่ก็ช่างมันเถอะ แค่ได้ไปก็ดีใจแล้ว
.
จากบ้านมะม่วง เมื่อเราแล่นเลียบอ่างเก็บน้ำไปได้หน่อยก็ถึงด่านตรวจฅนเข้าเมือง เราหยุดรวมพลกันที่นั่น ผมจึงได้ทราบว่าที่เรากำลังจะเดินทางไปกันนี้มันฅนละงานกับที่ผมชวนลูกพี่ไป ตอนชวนไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก พอดีกับเพื่อนของลูกพี่จัดกฐินไปทอดที่แขมร์เช่นกัน ลูกพี่ผมจึงคิดว่างานเดียวกัน
แต่ก็ดีเพราะงานนี้ไม่ได้ไปแค่ซ็อมโลตหรือโอวรธเกราะ แต่เราจะได้ไปกันถึงจังหวัดโปสัตว์ซึ่งผมไม่เคยไปมาก่อน แถมยังได้ค้างคืนอีกต่างหาก

(บริเวณ ตม. บ้านมะม่วง)
หากยังมีปัญหาอีกจนได้ เพราะมีจำนวนรถเพิ่มมาจากที่กองกฐินแจ้งไว้หลายคัน (รวมถึงรถของเราด้วย ที่เป็นการตัดสินใจตามไปโดยไม่ได้ลงชื่อไว้ก่อน) ซึ่งทางด่านตรวจฅนเข้าเมืองเตรียมบัตรผ่านที่จะต้องติดหน้ารถตามจำนวนผู้ลงรายชื่อไว้เท่านั้น ดังนั้นที่เหลือหากใครต้องการเข้าไปจึงต้องรับผิดชอบกันเอง
นั่นทำให้ลูกพี่ผมเกิดความลังเล เพราะการนำรถเข้าไปแบบไม่มีใครรับรองหากเกิดอะไรขึ้นมันก็ยุ่งนั่นแหละ
ผมนั้นแม้จะค่อนข้างเชื่อว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแต่ก็ไม่กล้ารับรองอะไรเหมือนกัน ได้แต่คิดว่าคงดีใจเก้อแล้ววันนี้ แต่ในที่สุดลูกพี่ก็ตัดสินใจที่จะลองดู ค่อยยังชั่วหน่อย แต่วันนี้เรื่องต้องลุ้นคงไม่หมดง่ายดายสักเท่าไรนัก
เมื่อเราไปถึงด่านทหารตรงเนินสี่ร้อย ทหารบอกว่าคงไม่กล้าปล่อยให้เราเข้าไป ลูกพี่จึงหันหัวรถเตรียมตัวกลับไทย ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้มาถึงชายแดนแล้ว ทั้งที่เสียความรู้สึกบ้างเหมือนกัน
แต่ขณะที่เรากำลังจะออกมาเพื่อนของลูกพี่ที่เป็นฅนจัดกฐินก็บอกให้เรารอก่อน หลังจากเขาเข้าไปคุยกับทหารสักพักก็บอกให้เราเลี้ยวรถเข้าไปกันได้ แต่ยังต้องลุ้นว่าด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งแขมร์จะยอมให้เราผ่านไปได้อีกไหม
“ลองดู ไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็ไม่ไป” ลูกพี่หันมาบอกกับผมก่อนขับรถตามขบวนพวกเขาไป

.
เราจอดรถรอประสานงานตรงด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งแมร์นานมาก ได้แต่ลุ้นว่าจะได้ไปไหม จากในรถผมนั่งมองออกไปสองข้างทาง พื้นที่ซึ่งถูกบุกเบิกเป็นไร่พืชผลเมื่อก่อนนั้น ตอนนี้บางส่วนกลับถูกปล่อยทิ้งให้รกร้าง มันดูต่างจากสภาพพื้นที่โล่งเตียนเมื่อก่อนมาก
และหลังจากนั่งรอกันยาวนาน เราก็สามารถผ่านแดนเข้าไปได้ในที่สุด
.
ตลาดคลองรถถังหรือโอวรธเกราะวันนี้ดูเปลี่ยนไปมากทีเดียว บ้านเรือนผู้ฅนหนาแน่นขึ้น บริเวณสามแยกหน้าตลาดมีรูปปั้นตั้งไว้เหมือนพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศแขมร์นั้นตามทางแยกหรือวงเวียนจะนิยมมีรูปปั้นหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่างตั้งไว้ และจะเรียกชื่อแยกหรือวงเวียนต่าง ๆ ตามรูปปั้นสัญลักษณ์เหล่านั้น
เลยตลาดโอวร็อธเกราะออกมาจะเห็นไร่สวนได้เยอะหน่อย สภาพภูมิประเทศดูรกไม่โล่งเตียนแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่ถนนนี่สิ วันนี้มันเป็นถนนลูกรังซึ่งโรยทรายกับหินภูเขาทับหน้า ผิวถนนเป็นพื้นหินขรุขระแบบนี้จึงต้องนั่งกระแทกกระทั้นหัวสั่นหัวคลอนไปตลอดทาง
.
เมื่อผ่านซ็อมโลตก็เห็นได้ว่าบ้านเรือนที่นี่ดูแออัดมากเดียว ตลาดที่เพิ่งสร้างตอนผมมาครั้งก่อนนั้นตอนนี้ดูทรุดโทรม ด้านหลังเห็นโครงสร้างตลาดใหม่ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่
เลยซ็อมโลตออกมาพื้นที่แถบนี้คือภูเขาที่คลุมด้วยหญ้าสีเขียว จากผืนป่าถูกทำลายจนหมดไม่ต่างจากทางจังหวัดไปลินเท่าไร สองข้างทางเห็นมีสวนพริกไทยเยอะอยู่เหมือนกัน และตามภูเขาหญ้านั้นบางทีก็เป็นสวนลำไยที่เพิ่งปลูกอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะว่างเปล่ามีแต่หญ้าปกคลุมนั่นแหละ จะว่าสวยมันก็สวยนะ แต่ก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกันเมื่อนึกถึงป่าที่หายไป
ตรงนี้เคยได้คุยกับฅนแขมร์ที่หนีเข้าไทยครั้งสงคราม เขาบอกว่าตอนนั้นหากเจอพื้นที่โล่งเตียนหรือไร่ข้าวไร่ข้าวโพดอะไรนี่แสดงว่าเข้าเขตเมืองไทยแล้ว วันนี้คงต้องกลับกัน หากเห็นแนวป่าแสดงว่าตรงนั้นคือชายแดนไทย
แฮ่ นอกเรื่องอีกแล้ว มาว่ากันต่อดีกว่าครับ
.
เราวิ่งตามขบวนกันมาอย่างเชื่องช้า บ่อยครั้งที่ต้องหยุดรอกันรอเอง ในที่สุดก็ออกถนนลาดยางเสียที แต่ก็ยังต้องจอดรอกันตรงบริเวณสามแยกนั่นอีก ขณะที่ทอดสายตาเบื่อหน่ายสู่สองข้างทางนั้น สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับตัวหนังสือที่เขียนติดอยู่ข้างร้านอาหาร
‘ร้านอาหารแตรง’
ผมร้องเฮ้ยออกมาทันที นี่มันถึงแตรงโดยที่ผมจำไม่ได้เลยสินะ เมื่อรถแล่นออกมาหน่อยจึงได้เห็นวัดแตรง จากนี่อีกหน่อยก็จะถึงตลาดสะเดาแล้ว
เท่าที่ผมเคยรู้มา เส้นทางสายนี้คือเส้นทางซึ่งมีระยะทางใกล้สุดในการเดินทางสู่บัตด็อมบอง แต่ไม่คิดว่ามันจะใกล้ขนาดนี้เลยจริง ๆ
และมารู้ตอนนี้เองว่าคราวก่อนที่ผมเอารถเครื่องมานั้น อีกนิดเดียวก็ถึงแตรงแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นผมยังไม่ทราบชื่อของมัน จึงไม่อาจรู้ได้จากการถามทาง และการเดินทางครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมรู้ว่า ทุกครั้งที่ผมเข้าแขร์ผ่านชายแดนจันทบุรีนั้น ผมต้องเดินทางอ้อมโลกขนาดไหน ก็ได้แต่อดเสียดายที่ช่องทางเนินสี่ร้อยนี้ไม่ได้รับการยกระดับสักทีนั่นแหละ

(ถ่ายขณะรถวิ่งผ่านจำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน)
.
เราวิ่งรถผ่านสะเดาไปโดยไม่ได้แวะที่นั่นแต่อย่างใด จากบัตด็อมบองเรายังต้องนั่งรถกันอีกนานทีเดียว เย็นมากแล้วกว่าจะถึงโปสัตว์
ลูกพี่ของผมตื่นเต้นไปกับสองข้างทางที่เห็นแต่ผืนนา มันมีแต่นาสุดลูกหูลูกตาจริง ๆ แม้จะออกพรรษาแล้วแต่ฝนยังคงชุกอยู่ เราจึงได้เห็นชาวบ้านใช้รถเกี่ยวนวดข้าวในผืนนาที่เต็มด้วยน้ำตลอดทาง บ้างเอาข้าวมาตากข้างถนนกันก็มี
.
เราเลี้ยวขวาก่อนถึงตัวจังหวัดเข้าสู่วัดซึ่งเป็นจุดหมาย เมื่อวิ่งลึกเข้าไปก็ได้เจอทางลูกรังกันอีกแล้ว แถมบางช่วงมีน้ำท่วมขังอีกต่างหาก
ฟ้ากำลังใส ทุ่งข้าวกำลังเหลืองสวย ขณะที่รถยังจอดรอและเคลื่อนที่สู่วัดได้ทีละนิด ผมตัดสินใจลงรถมาเดินถ่ายภาพก่อน และคงเป็นช่วงสั้น ๆ จริง ๆ ที่ผมได้ถ่ายภาพขณะฟ้าเปิดของที่นี่
ถ่ายภาพเสร็จผมกลับมาขึ้นรถต่อ ชาวบ้านมายืนรอต้อนรับเราเป็นแถวยาวสองข้างทางบริเวณประตูวัด ส่วนใหญ่จะเป็นฅนเฒ่าฅนแก่ ที่สำคัญเขายืนยกมือไหว้เราด้วยนี่สิ
บอกไม่ถูกเหมือนกันกับภาพแบบนี้ อดคิดไม่ได้ว่าทำไมต้องเอาฅนแก่มายืนไหว้เราด้วย อาจจะเป็นความต้องการสร้างความประทับใจของเขาซึ่งผมคงไม่เห็นด้วยสักเท่าไร เล่นเอาวางตัวไม่ถูกเลย จะรับไหว้ก็อดคิดไม่ได้ว่าสมควรแล้วหรือที่เขาต้องไหว้เรา จะไม่รับไหว้ก็จะกลายเป็นเสียมารยาทไปอีก อดคิดอีกไม่ได้ว่าหากเขาต้องการสร้างความประทับใจ สู้เกณฑ์หนุ่มสาวหรือเด็ก ๆ มายืนไหว้เราจะดีกว่า แต่ก็ได้แต่คิดนั่นแหละ ที่จริงไม่ต้องไหว้เราก็ประทับใจกันอยู่แล้ว
เมื่อเข้าบริเวณวัดเราก็หาพื้นที่จอดรถกันได้ยากพอควร ทั้งที่วัดมีพื้นที่กว้างขวาง แต่เนื่องจากฝนชุกอย่างที่บอกมันจึงค่อนข้างเฉอะแฉะ รถบางคันติดหล่มต้องช่วยกันเข็นก็มี
เมื่อจอดรถเรียบร้อยเราออกมาหาอะไรกินกันก่อนเลย ตอนเข้ามาเราเห็นชาวบ้านนำอาหารมาขายที่หน้าวัดจึงเดินไปซื้อกัน หลังจากหาซื้ออะไรนิดหน่อย และนั่งกินข้าวต้มญวนกันเสร็จเราก็เข้าวัด จึงได้รู้ว่าทางวัดมีอาหารรอต้อนรับเราอยู่เช่นกัน และเพื่อไม่ให้เสียศรัทธา แม้จะล่ำข้าวต้มญวนมาแล้วก็ตาม เรายังสามารถต่อด้วยอาหารของทางวัดได้อีก
อิ่มหนำสำราญแล้วก็มาถึงเรื่องของที่นอน บางฅนออกไปหาโรงแรมนอนกัน แต่เราเลือกที่จะนอนกับชาวบ้านมากกว่า เพื่อนของลูกพี่พาเราไปพักที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งต้องบอกว่าใหญ่โตมากทีเดียว เมื่อได้ที่นอนแล้วเรากลับไปเที่ยวงานวัดกันต่อ
บรรยากาศงานวัดไม่ต่างจากของเรามากนัก มีร้านปาลูกโป่งยิงเป้าตุ๊กตาอะไรพวกนั้น และที่ยังขาดไม่ได้ก็คือ น้ำเต้าปูปลา แม้จะมีแค่ไม่กี่วงแต่ก็ยังคงหาได้นั่นแหละ เที่ยวเสร็จเราจึงกลับมานอนกัน
.
รุ่งเช้าเราตกลงกันว่าจะกลับก่อนมีการทอดกฐิน เพราะหากรออาจถึงบ้านกันค่ำมืดดึกดื่นแน่นอน เพื่อนของลูกพี่ตกลงจะกลับพร้อมเราเช่นกัน ซึ่งทางนี้ก็ปล่อยให้ฅนที่ยังอยู่ดูแล เราตกลงกันว่าจะแวะเที่ยวเขาสำเภากันด้วย แน่นอนว่าผมรับอาสาเป็นผู้นำทางอยู่แล้วงานนี้
ผ่านมาหนึ่งคืนแล้วแต่ลูกชายฅนเล็กของลูกพี่ผมดูจะไม่มีการโยเยคิดถึงแม่แต่อย่างใด ส่วนหนึ่งคงต้องยกความดีความชอบให้กับเกมส์ในไอแพดในโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ จะมีอย่างเดียวคือแกจะร้องกินน้ำแดง หรือแฟนต้าน้ำแดงซึ่งที่นี่หาไม่ได้เสียอีก แต่ก็ไม่ได้โยเยอะไรมากแค่ร้องหาบ่อย ๆ ซึ่งก็ปลอบกันบ้างหลอกกันไปบ้างเท่านั้น
.
แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ ยังไม่ทันได้ออกจากวัดลูกชายฅนเล็กของลูกพี่ก็มีอาการไข้ (น่าจะมาจากการนั่งรถทางไกล) และดูอาการจะหนักขึ้นอย่างฉับพลัน ตัวเย็นเฉียบ หน้าซีดปากเขียวขึ้นอย่างกะทันหัน แถมยังอ้วกออกมาอีกด้วย ลูกพี่จึงบอกว่าจะไม่แวะที่ไหนแล้ว ต้องรีบกลับบ้านอย่างเดียว
ระหว่างทางน้องก็ร้องหาน้ำแดงตลอด แต่ก็หาไม่ได้กันจริง ๆ จึงบอกลูกพี่ว่าที่สะเดาผมรู้จักร้านขายส่งที่มีแฟนต้าน้ำแดงขาย เราจึงไม่แวะข้างทางหาน้ำแดงกันแล้ว มุ่งตรงมาสะเดากันเลย เมื่อถึงสะเดาหลังจากได้กินน้ำแดงน้องก็อาการดีขึ้น ซึ่งความจริงคงจะดีขึ้นตั้งแต่อ้วกออกมานั่นแล้วแต่มาเห็นชัดตอนได้กินน้ำแดง

(ตลาดสะเดา)
และแม้จะมาถึงสะเดาแล้ว เรียกว่าเห็นหลังคาบ้านเพื่อนบ้านฅนรู้จักแล้วก็ตาม แต่ผมกลับไม่ได้แวะไปหาใครที่ไหนเลย ต้องรีบกลับเพราะลูกพี่ยังไม่ไว้ใจอาการของลูกชายนั่นแหละ
ขากลับเมื่อจำเส้นทางได้แล้ว ผมจึงชี้ให้ลูกพี่ดูได้ว่าเขาบรรทัดช่วงไหนที่ผมเคยปีนข้ามมา ด้วยสภาพโล่งเตียนของพื้นที่อย่างที่บอกจึงเห็นได้นั่นเอง ขณะเล่าไปก็อดอยากย้อนอดีตไปสมัยนั้นอีกไม่ได้นั่นแหละ.
(ตอนหน้าถึงบทส่งท้ายแล้วครับ)

(วัดที่เราไป)
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๒๓)
โดย : ละเว้
บทที่๒๓ จากช่องทางเนินสี่ร้อยสู่โปสัตว์
หลังจากผ่านไปสิบกว่าปีผมก็ได้เดินทางผ่านจุดผ่อนปรนเนินสี่ร้อยอีกครั้ง โดยได้อาศัยไปกับขบวนกฐินจากฝั่งไทยซึ่งจะไปทอดยังวัดหนึ่งในอำเภอโปสัตว์ (ពោធិសត្វ) หรือโพธิสัตว์ในภาษาไทยนั่นแหละครับ
เสียงแตรรถดังหน้าบ้านแต่เช้า ใครมากดแตรอะไรกัน ผมคิดและไม่ได้สนใจสักเท่าไรนัก เพราะตามปกติไม่ค่อยมีใครมากดแตรเรียกแบบนี้ คิดว่าฅนใช้รถบนถนนคงจอดทักทายอะไรกันมากกว่า
“ไปยังล่ะ” เป็นลูกพี่ของผมที่ชะโงกหน้าเข้ามาทักทาย
“เอ้อ ไปไหนครับ” ผมถามออกไปกับความงุนงง
“เขมรไง” ลูกพี่ผมตอบมา
“วันนี้เหรอ” ผมถามอีก เพราะจำได้ว่าจะมีกองกฐินจากฝั่งไทยไปทอดที่วัดแถว โอวรธเกราะ ซึ่งพอทราบข่าวผมจึงชวนลูกพี่ให้ลองเข้าไปเที่ยวกับขบวนกฐินกัน แต่นั่นมันวันที่ยี่สิบเอ็ด และนี่มันเพิ่งจะวันที่เจ็ดเองนี่นา
“วันนี้แหละ” ลูกพี่ยืนยันกลับมา
“อ้าว ผมไม่ทันเตรียมตัวเลย” ผมร้องตอบไป ซึ่งหมายถึงไม่ทันแต่งตัวนั่นแหละ
“ไม่ต้องเอาอะไรไปมากหรอก เราก็เอาไปสองชุดเอง” ลูกพี่ตอบมา ผมอดงงอีกไม่ได้
“ทำไมถึงเอาไปตั้งสองชุด” ผมถามขณะหาเสื้อผ้ามาใส่
“ค้างคืนหนึ่งนะ” ผมชะงักกับคำตอบนั้น ไปแค่โอวรธเกราะหรือคลองรถถังต้องค้างคืนด้วยเหรอ
หากแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากรีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วออกเดินทางกัน
อดแปลกใจอีกไม่ได้เพราะคิดว่าลูกพี่ของผมจะไปฅนเดียว แต่งานนี้กลับมีลูก ๆ ของเขาไปด้วย (ไม่คิดว่าลูกชายหญิงของเขาจะอยากไปเมืองแขมร์กัน) แปลกใจที่สุดก็ตรงลูกชายฅนเล็กของเขานั่นแหละ เพราะแกเพิ่งอยู่วัยอนุบาลเอง และภรรยาของลูกพี่ไม่ได้ไปด้วย ไม่มีแม่แบบนี้จะไม่ร้องหาบ้างเหรอ ผมอดคิดในใจไม่ได้ แต่ก็ช่างมันเถอะ แค่ได้ไปก็ดีใจแล้ว
.
จากบ้านมะม่วง เมื่อเราแล่นเลียบอ่างเก็บน้ำไปได้หน่อยก็ถึงด่านตรวจฅนเข้าเมือง เราหยุดรวมพลกันที่นั่น ผมจึงได้ทราบว่าที่เรากำลังจะเดินทางไปกันนี้มันฅนละงานกับที่ผมชวนลูกพี่ไป ตอนชวนไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก พอดีกับเพื่อนของลูกพี่จัดกฐินไปทอดที่แขมร์เช่นกัน ลูกพี่ผมจึงคิดว่างานเดียวกัน
แต่ก็ดีเพราะงานนี้ไม่ได้ไปแค่ซ็อมโลตหรือโอวรธเกราะ แต่เราจะได้ไปกันถึงจังหวัดโปสัตว์ซึ่งผมไม่เคยไปมาก่อน แถมยังได้ค้างคืนอีกต่างหาก
(บริเวณ ตม. บ้านมะม่วง)
หากยังมีปัญหาอีกจนได้ เพราะมีจำนวนรถเพิ่มมาจากที่กองกฐินแจ้งไว้หลายคัน (รวมถึงรถของเราด้วย ที่เป็นการตัดสินใจตามไปโดยไม่ได้ลงชื่อไว้ก่อน) ซึ่งทางด่านตรวจฅนเข้าเมืองเตรียมบัตรผ่านที่จะต้องติดหน้ารถตามจำนวนผู้ลงรายชื่อไว้เท่านั้น ดังนั้นที่เหลือหากใครต้องการเข้าไปจึงต้องรับผิดชอบกันเอง
นั่นทำให้ลูกพี่ผมเกิดความลังเล เพราะการนำรถเข้าไปแบบไม่มีใครรับรองหากเกิดอะไรขึ้นมันก็ยุ่งนั่นแหละ
ผมนั้นแม้จะค่อนข้างเชื่อว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแต่ก็ไม่กล้ารับรองอะไรเหมือนกัน ได้แต่คิดว่าคงดีใจเก้อแล้ววันนี้ แต่ในที่สุดลูกพี่ก็ตัดสินใจที่จะลองดู ค่อยยังชั่วหน่อย แต่วันนี้เรื่องต้องลุ้นคงไม่หมดง่ายดายสักเท่าไรนัก
เมื่อเราไปถึงด่านทหารตรงเนินสี่ร้อย ทหารบอกว่าคงไม่กล้าปล่อยให้เราเข้าไป ลูกพี่จึงหันหัวรถเตรียมตัวกลับไทย ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้มาถึงชายแดนแล้ว ทั้งที่เสียความรู้สึกบ้างเหมือนกัน
แต่ขณะที่เรากำลังจะออกมาเพื่อนของลูกพี่ที่เป็นฅนจัดกฐินก็บอกให้เรารอก่อน หลังจากเขาเข้าไปคุยกับทหารสักพักก็บอกให้เราเลี้ยวรถเข้าไปกันได้ แต่ยังต้องลุ้นว่าด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งแขมร์จะยอมให้เราผ่านไปได้อีกไหม
“ลองดู ไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็ไม่ไป” ลูกพี่หันมาบอกกับผมก่อนขับรถตามขบวนพวกเขาไป
.
เราจอดรถรอประสานงานตรงด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งแมร์นานมาก ได้แต่ลุ้นว่าจะได้ไปไหม จากในรถผมนั่งมองออกไปสองข้างทาง พื้นที่ซึ่งถูกบุกเบิกเป็นไร่พืชผลเมื่อก่อนนั้น ตอนนี้บางส่วนกลับถูกปล่อยทิ้งให้รกร้าง มันดูต่างจากสภาพพื้นที่โล่งเตียนเมื่อก่อนมาก
และหลังจากนั่งรอกันยาวนาน เราก็สามารถผ่านแดนเข้าไปได้ในที่สุด
.
ตลาดคลองรถถังหรือโอวรธเกราะวันนี้ดูเปลี่ยนไปมากทีเดียว บ้านเรือนผู้ฅนหนาแน่นขึ้น บริเวณสามแยกหน้าตลาดมีรูปปั้นตั้งไว้เหมือนพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศแขมร์นั้นตามทางแยกหรือวงเวียนจะนิยมมีรูปปั้นหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่างตั้งไว้ และจะเรียกชื่อแยกหรือวงเวียนต่าง ๆ ตามรูปปั้นสัญลักษณ์เหล่านั้น
เลยตลาดโอวร็อธเกราะออกมาจะเห็นไร่สวนได้เยอะหน่อย สภาพภูมิประเทศดูรกไม่โล่งเตียนแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่ถนนนี่สิ วันนี้มันเป็นถนนลูกรังซึ่งโรยทรายกับหินภูเขาทับหน้า ผิวถนนเป็นพื้นหินขรุขระแบบนี้จึงต้องนั่งกระแทกกระทั้นหัวสั่นหัวคลอนไปตลอดทาง
.
เมื่อผ่านซ็อมโลตก็เห็นได้ว่าบ้านเรือนที่นี่ดูแออัดมากเดียว ตลาดที่เพิ่งสร้างตอนผมมาครั้งก่อนนั้นตอนนี้ดูทรุดโทรม ด้านหลังเห็นโครงสร้างตลาดใหม่ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่
เลยซ็อมโลตออกมาพื้นที่แถบนี้คือภูเขาที่คลุมด้วยหญ้าสีเขียว จากผืนป่าถูกทำลายจนหมดไม่ต่างจากทางจังหวัดไปลินเท่าไร สองข้างทางเห็นมีสวนพริกไทยเยอะอยู่เหมือนกัน และตามภูเขาหญ้านั้นบางทีก็เป็นสวนลำไยที่เพิ่งปลูกอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะว่างเปล่ามีแต่หญ้าปกคลุมนั่นแหละ จะว่าสวยมันก็สวยนะ แต่ก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกันเมื่อนึกถึงป่าที่หายไป
ตรงนี้เคยได้คุยกับฅนแขมร์ที่หนีเข้าไทยครั้งสงคราม เขาบอกว่าตอนนั้นหากเจอพื้นที่โล่งเตียนหรือไร่ข้าวไร่ข้าวโพดอะไรนี่แสดงว่าเข้าเขตเมืองไทยแล้ว วันนี้คงต้องกลับกัน หากเห็นแนวป่าแสดงว่าตรงนั้นคือชายแดนไทย
แฮ่ นอกเรื่องอีกแล้ว มาว่ากันต่อดีกว่าครับ
.
เราวิ่งตามขบวนกันมาอย่างเชื่องช้า บ่อยครั้งที่ต้องหยุดรอกันรอเอง ในที่สุดก็ออกถนนลาดยางเสียที แต่ก็ยังต้องจอดรอกันตรงบริเวณสามแยกนั่นอีก ขณะที่ทอดสายตาเบื่อหน่ายสู่สองข้างทางนั้น สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับตัวหนังสือที่เขียนติดอยู่ข้างร้านอาหาร
‘ร้านอาหารแตรง’
ผมร้องเฮ้ยออกมาทันที นี่มันถึงแตรงโดยที่ผมจำไม่ได้เลยสินะ เมื่อรถแล่นออกมาหน่อยจึงได้เห็นวัดแตรง จากนี่อีกหน่อยก็จะถึงตลาดสะเดาแล้ว
เท่าที่ผมเคยรู้มา เส้นทางสายนี้คือเส้นทางซึ่งมีระยะทางใกล้สุดในการเดินทางสู่บัตด็อมบอง แต่ไม่คิดว่ามันจะใกล้ขนาดนี้เลยจริง ๆ
และมารู้ตอนนี้เองว่าคราวก่อนที่ผมเอารถเครื่องมานั้น อีกนิดเดียวก็ถึงแตรงแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นผมยังไม่ทราบชื่อของมัน จึงไม่อาจรู้ได้จากการถามทาง และการเดินทางครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมรู้ว่า ทุกครั้งที่ผมเข้าแขร์ผ่านชายแดนจันทบุรีนั้น ผมต้องเดินทางอ้อมโลกขนาดไหน ก็ได้แต่อดเสียดายที่ช่องทางเนินสี่ร้อยนี้ไม่ได้รับการยกระดับสักทีนั่นแหละ
(ถ่ายขณะรถวิ่งผ่านจำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน)
.
เราวิ่งรถผ่านสะเดาไปโดยไม่ได้แวะที่นั่นแต่อย่างใด จากบัตด็อมบองเรายังต้องนั่งรถกันอีกนานทีเดียว เย็นมากแล้วกว่าจะถึงโปสัตว์
ลูกพี่ของผมตื่นเต้นไปกับสองข้างทางที่เห็นแต่ผืนนา มันมีแต่นาสุดลูกหูลูกตาจริง ๆ แม้จะออกพรรษาแล้วแต่ฝนยังคงชุกอยู่ เราจึงได้เห็นชาวบ้านใช้รถเกี่ยวนวดข้าวในผืนนาที่เต็มด้วยน้ำตลอดทาง บ้างเอาข้าวมาตากข้างถนนกันก็มี
.
เราเลี้ยวขวาก่อนถึงตัวจังหวัดเข้าสู่วัดซึ่งเป็นจุดหมาย เมื่อวิ่งลึกเข้าไปก็ได้เจอทางลูกรังกันอีกแล้ว แถมบางช่วงมีน้ำท่วมขังอีกต่างหาก
ฟ้ากำลังใส ทุ่งข้าวกำลังเหลืองสวย ขณะที่รถยังจอดรอและเคลื่อนที่สู่วัดได้ทีละนิด ผมตัดสินใจลงรถมาเดินถ่ายภาพก่อน และคงเป็นช่วงสั้น ๆ จริง ๆ ที่ผมได้ถ่ายภาพขณะฟ้าเปิดของที่นี่
ถ่ายภาพเสร็จผมกลับมาขึ้นรถต่อ ชาวบ้านมายืนรอต้อนรับเราเป็นแถวยาวสองข้างทางบริเวณประตูวัด ส่วนใหญ่จะเป็นฅนเฒ่าฅนแก่ ที่สำคัญเขายืนยกมือไหว้เราด้วยนี่สิ
บอกไม่ถูกเหมือนกันกับภาพแบบนี้ อดคิดไม่ได้ว่าทำไมต้องเอาฅนแก่มายืนไหว้เราด้วย อาจจะเป็นความต้องการสร้างความประทับใจของเขาซึ่งผมคงไม่เห็นด้วยสักเท่าไร เล่นเอาวางตัวไม่ถูกเลย จะรับไหว้ก็อดคิดไม่ได้ว่าสมควรแล้วหรือที่เขาต้องไหว้เรา จะไม่รับไหว้ก็จะกลายเป็นเสียมารยาทไปอีก อดคิดอีกไม่ได้ว่าหากเขาต้องการสร้างความประทับใจ สู้เกณฑ์หนุ่มสาวหรือเด็ก ๆ มายืนไหว้เราจะดีกว่า แต่ก็ได้แต่คิดนั่นแหละ ที่จริงไม่ต้องไหว้เราก็ประทับใจกันอยู่แล้ว
เมื่อเข้าบริเวณวัดเราก็หาพื้นที่จอดรถกันได้ยากพอควร ทั้งที่วัดมีพื้นที่กว้างขวาง แต่เนื่องจากฝนชุกอย่างที่บอกมันจึงค่อนข้างเฉอะแฉะ รถบางคันติดหล่มต้องช่วยกันเข็นก็มี
เมื่อจอดรถเรียบร้อยเราออกมาหาอะไรกินกันก่อนเลย ตอนเข้ามาเราเห็นชาวบ้านนำอาหารมาขายที่หน้าวัดจึงเดินไปซื้อกัน หลังจากหาซื้ออะไรนิดหน่อย และนั่งกินข้าวต้มญวนกันเสร็จเราก็เข้าวัด จึงได้รู้ว่าทางวัดมีอาหารรอต้อนรับเราอยู่เช่นกัน และเพื่อไม่ให้เสียศรัทธา แม้จะล่ำข้าวต้มญวนมาแล้วก็ตาม เรายังสามารถต่อด้วยอาหารของทางวัดได้อีก
อิ่มหนำสำราญแล้วก็มาถึงเรื่องของที่นอน บางฅนออกไปหาโรงแรมนอนกัน แต่เราเลือกที่จะนอนกับชาวบ้านมากกว่า เพื่อนของลูกพี่พาเราไปพักที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งต้องบอกว่าใหญ่โตมากทีเดียว เมื่อได้ที่นอนแล้วเรากลับไปเที่ยวงานวัดกันต่อ
บรรยากาศงานวัดไม่ต่างจากของเรามากนัก มีร้านปาลูกโป่งยิงเป้าตุ๊กตาอะไรพวกนั้น และที่ยังขาดไม่ได้ก็คือ น้ำเต้าปูปลา แม้จะมีแค่ไม่กี่วงแต่ก็ยังคงหาได้นั่นแหละ เที่ยวเสร็จเราจึงกลับมานอนกัน
.
รุ่งเช้าเราตกลงกันว่าจะกลับก่อนมีการทอดกฐิน เพราะหากรออาจถึงบ้านกันค่ำมืดดึกดื่นแน่นอน เพื่อนของลูกพี่ตกลงจะกลับพร้อมเราเช่นกัน ซึ่งทางนี้ก็ปล่อยให้ฅนที่ยังอยู่ดูแล เราตกลงกันว่าจะแวะเที่ยวเขาสำเภากันด้วย แน่นอนว่าผมรับอาสาเป็นผู้นำทางอยู่แล้วงานนี้
ผ่านมาหนึ่งคืนแล้วแต่ลูกชายฅนเล็กของลูกพี่ผมดูจะไม่มีการโยเยคิดถึงแม่แต่อย่างใด ส่วนหนึ่งคงต้องยกความดีความชอบให้กับเกมส์ในไอแพดในโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ จะมีอย่างเดียวคือแกจะร้องกินน้ำแดง หรือแฟนต้าน้ำแดงซึ่งที่นี่หาไม่ได้เสียอีก แต่ก็ไม่ได้โยเยอะไรมากแค่ร้องหาบ่อย ๆ ซึ่งก็ปลอบกันบ้างหลอกกันไปบ้างเท่านั้น
.
แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ ยังไม่ทันได้ออกจากวัดลูกชายฅนเล็กของลูกพี่ก็มีอาการไข้ (น่าจะมาจากการนั่งรถทางไกล) และดูอาการจะหนักขึ้นอย่างฉับพลัน ตัวเย็นเฉียบ หน้าซีดปากเขียวขึ้นอย่างกะทันหัน แถมยังอ้วกออกมาอีกด้วย ลูกพี่จึงบอกว่าจะไม่แวะที่ไหนแล้ว ต้องรีบกลับบ้านอย่างเดียว
ระหว่างทางน้องก็ร้องหาน้ำแดงตลอด แต่ก็หาไม่ได้กันจริง ๆ จึงบอกลูกพี่ว่าที่สะเดาผมรู้จักร้านขายส่งที่มีแฟนต้าน้ำแดงขาย เราจึงไม่แวะข้างทางหาน้ำแดงกันแล้ว มุ่งตรงมาสะเดากันเลย เมื่อถึงสะเดาหลังจากได้กินน้ำแดงน้องก็อาการดีขึ้น ซึ่งความจริงคงจะดีขึ้นตั้งแต่อ้วกออกมานั่นแล้วแต่มาเห็นชัดตอนได้กินน้ำแดง
(ตลาดสะเดา)
และแม้จะมาถึงสะเดาแล้ว เรียกว่าเห็นหลังคาบ้านเพื่อนบ้านฅนรู้จักแล้วก็ตาม แต่ผมกลับไม่ได้แวะไปหาใครที่ไหนเลย ต้องรีบกลับเพราะลูกพี่ยังไม่ไว้ใจอาการของลูกชายนั่นแหละ
ขากลับเมื่อจำเส้นทางได้แล้ว ผมจึงชี้ให้ลูกพี่ดูได้ว่าเขาบรรทัดช่วงไหนที่ผมเคยปีนข้ามมา ด้วยสภาพโล่งเตียนของพื้นที่อย่างที่บอกจึงเห็นได้นั่นเอง ขณะเล่าไปก็อดอยากย้อนอดีตไปสมัยนั้นอีกไม่ได้นั่นแหละ.
(ตอนหน้าถึงบทส่งท้ายแล้วครับ)
(วัดที่เราไป)