อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๓ ช่องทางเนินสี่ร้อย
ช่องทางจุดผ่อนปรน หรือจุดผ่อนผันการค้าชายแดนเนินสี่ร้อย หรือ จรอกบวนรอย (ច្រកបួនរយ) คือช่องทางที่พาเราเข้าแขมร์ผ่านบ้านคลองรถถัง หรือโอวรธเกราะ (អូររថក្រោះ) ในภาษาแขมร์ เส้นทางนี้ได้รับการผลักดันเพื่อยกระดับเป็นด่านผ่านแดนถาวรอยู่หลายปี เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้มีอำนาจในยุคน้ำท่วมใหญ่กลับไม่เห็นความสำคัญ ทั้งที่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางซึ่งใกล้สุดในการเข้าสู่จังหวัดบัตด็อมบอง เรียกว่าเราสามารถวิ่งรถไปกลับบัตด็อมบองวันละสองสามรอบได้สบายเลยทีเดียว
สำคัญอีกอย่างก็คือเส้นทางสายนี้ตัดเลียบอ่างเก็บน้ำคลองโสน สองข้างทางมีทิวทัศน์สวยงาม หากเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรได้ จะเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน จากการที่ฅนแขมร์จะเข้ามาท่องเที่ยวติดต่อค้าขายเพิ่มขึ้นด้วย
และสำคัญที่สุดก็คือ มันอยู่ใกล้บ้านผมมากที่สุดด้วยนี่สิ แฮ่...
ปัจจุบันเส้นทางนี้เปิดให้ผ่านเข้าออกได้เฉพาะชาวแขมร์กับพ่อค้าฅนไทย และผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอบ่อไร่เท่านั้น บ้านผมถึงจะอยู่ไม่ไกลอย่างที่บอก แต่ดันเป็นฅนละอำเภอเสียอีก จึงไม่ได้รับอนุญาต แถมไม่ใช่พ่อค้าอะไรกับเขาด้วยนอกจากต้องการไปเที่ยวเท่านั้น
ทุกวันนี้หากต้องการไปบัตด็อมบอง ผมต้องนั่งรถอ้อมไปถึงจังหวัดจันทบุรี ซึ่งต้องผ่านไปลินและใช้เวลากันค่อนวันทีเดียว แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรผมก็ได้เคยได้เข้าไปตามเส้นทางสายนี้บ้างเหมือนกัน วันนี้จึงมาเล่าให้ฟังครับ
.
อย่างที่เคยบอกว่าผมได้เล่าข้ามการผ่านเส้นทางสายนี้เมื่อสมัยสงคราม ซึ่งได้ไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยแถวโอวร็อธเกราะหรือคลองรถถัง จากนั้นก็ไม่เคยได้ผ่านไปอีกเลย จนกระทั่ง…
“ไปเขมรกันไหม เขาให้เข้าไปได้นี่”
อยู่ ๆ เด็ก ม.สอง ฅนหนึ่งก็เอ่ยชวน ซึ่งยังความแปลกใจให้ผมเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้ทราบข่าวคราวอะไรมาก่อนเลยว่าทางไหนเปิดให้ผ่านได้อย่างไร หลังสอบถามจึงได้รู้ว่าเป็นเส้นทางเนินสี่ร้อย ซึ่งบริเวณนั้นกำลังมีการสร้างอ่างเก็บน้ำคลองโสนกันอยู่ ส่วนไอ้เด็กฅนที่เอ่ยชวนก็เนื่องจากมันกับผมจะค่อนข้างสนิทกัน เมื่อได้ยินเรื่องเมืองแขมร์จากผมบ่อยเลยอยากลองไปบ้าง วันนั้นเราจึงตกลงใจลองไปดู โดยที่ผมเองนั้นไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้หรือเปล่า เพราะไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่ก็อย่างว่า เรื่องนี้ผมไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว
รถมอเตอร์คันเก่าของผมคือพาหนะพาเราข้ามแดน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเดินข้ามเขาแหละน่า
“ว่าจะไปเขมรแหละครับไม่ทราบว่าเข้าไปได้ไหมครับ” ผมตอบทั้งตามด้วยคำถาม เมื่อทหารซึ่งอยู่เลยบ้านมะม่วงออกมาหน่อยกั้นด่านถามเรา ไม่มีปัญหา เราสามารถผ่านเข้าไปได้
รถพาเราหัวสั่นหัวคลอนไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินบนผิวถนน มีด่านทหารข้างทางอีกแต่ไม่ได้เรียกเราตรวจแต่อย่างใด สองข้างทางกำลังมีการสร้างอ่างเก็บน้ำมองเห็นได้ในบางช่วง เส้นทางที่ผมเคยเดินผ่านตอนข้ามเขาคราวก่อนกำลังจะถูกน้ำท่วม แอบเสียดายอดีตไม่ได้เหมือนกัน
เมื่อเราไปกันเรื่อย ๆ สองข้างทางก็ดูจะมีแต่ป่า เรามาจนถึงด่านตรวจฅนเข้าเมืองซึ่งดูเหมือนสร้างไว้ชั่วคราวมากกว่า ผมตอบคำถามแบบเดิม คือลงท้ายด้วยการถามว่าผมสามารถเข้าไปได้ไหม (ยังไม่แน่ใจนี่ครับ) และไม่มีปัญหาอะไรเช่นเคย เขาแค่ขอยึดบัตรประจำตัวกับเอกสารเกี่ยวกับรถไว้ก่อนปล่อยให้เราไปต่อ
เส้นทางช่วงนี้ถึงเป็นการขึ้นเขาแต่ไม่ได้ลาดชันอะไรนัก เราผ่านด่านทหารทั้งไทยและแขมร์ตรงเนินสี่ร้อยได้ไม่อยากอีกเช่นเคย แล้วเราก็วิ่งรถลงเขาสู่เมืองแขมร์ ต้องเปลี่ยนมาอยู่เลนขวาตามหลักสากล ก็มีงงกันบ้างเหมือนกันตรงจุดนี้
เส้นทางฝั่งแขมร์เพิ่งได้รับการปรับปรุง แม้จะเป็นทางลูกรังแต่ก็อัดแน่นเป็นอย่างดี รถวิ่งได้สะดวกกว่าฝั่งไทยมากทีเดียว ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้ข้ามแดนแบบไม่ได้คิดฝันอีกเช่นเคย
.
โอวร็อธเกราะวันนี้ต่างจากที่ผมเคยเห็นจนจำไม่ได้ จากที่เป็นเพียงหมู่บ้านกลางป่า วันนี้โดยรอบค่อนข้างโล่งเตียนและมีตลาดแล้ว แม้จะเป็นตลาดบ้านนอกแต่ก็มีสินค้ามากพอควร เพียงแต่สินค้าที่วางขายนั้นดูเหมือนจะเก่าเก็บกันสักหน่อย ตรงนี้เป็นเพราะสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกสักเท่าไร การซื้อสินค้ามาขายจึงต้องซื้อทีให้พอขายกันเป็นเดือนเป็นปีไปเลย มันจึงเก่าเก็บเป็นธรรมดา อีกอย่างก็คือสภาพถนนลูกรังแบบนี้ฝุ่นจะมีมากจนปัดกันไม่หวาดไม่ไหวด้วย สินค้าต่าง ๆ ที่นี่จึงจะถูกเคลือบด้วยฝุ่นกันเสียเป็นส่วนใหญ่
บ้านเรือนร้านค้าต่าง ๆ ก็จะมองออกว่าเป็นชุมชนที่เพิ่งเกิดใหม่ แบบนี้แหละถูกใจผมเลย มันสัมผัสถึงอารมณ์ของยุคบุกเบิกได้เป็นอย่างดีทีเดียว แฮ่ม
ที่นี่ยังไม่ค่อยมีฅนไทยมากันเท่าไร พวกเขาจึงดูสนใจเราอยู่เหมือนกัน แต่หนแรกนี้เราอยู่กันแค่คลองรถถังหรือโอวร็อธเกราะนี่เท่านั้น เพราะไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย นึกอยากมาก็มากันอย่างที่บอก ดังนั้นหลังจากหาอะไรกินนิดหน่อย เดินเที่ยวซึมซับบรรยากาศโดยรอบแล้วเราก็พากันกลับ
.
“หนังสือล่ะ” ทหารที่ด่านแขมร์ถามเราตอนขากลับ งงกันล่ะสิ หนังสืออะไรหว่า กว่าจะรู้ว่าก่อนเข้าโอวร็อธเกราะนั้น ผมต้องแวะที่ ต.ม. ขแมร์เพื่อขอหนังสือผ่านแดนที่นั่น ซึ่งจะต้องจ่ายเงินกันฅนละยี่สิบบาท แต่ด่านนี้จะอยู่ห่างทางสักหน่อย ผมเห็นนั่นแหละแต่ไม่ได้สนใจจึงวิ่งเลยไปเสียอย่างนั้น ครั้งนี้เราเลยเข้าแขมร์โดยไม่ต้องเสียค่าผ่านด่านผ่านแดนกันแต่อย่างใด ทหารแค่บอกเราว่าคราวหลังให้แวะไปด้วยก่อนปล่อยเราออกมา
.
หลังจากนั้นไม่กี่วัน จากการที่ชักติดใจการเดินทางข้ามแดนที่ดูง่ายดายแบบนี้ เราจึงได้เข้าไปกันอีกครั้ง คราวนี้พากันวิ่งรถเลยโอวร็อธเกราะออกไป สองข้างทางมองเห็นผืนป่าที่ถูกบุกเบิกเป็นแหล่งทำกินชัดขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นพืชล้มลุก และนอกจากขนุนมะม่วงแล้วยังเห็นสวนทุเรียนสวนเงาะอยู่บ้างเหมือนกัน บ้านเรือนเห็นได้ประปรายตลอดทาง เราวิ่งกันมาจนถึงชุมชนที่น่าจะเป็นตลาดซ็อมโลต (សំឡូត) แม้ที่นี่จะเป็นตัวอำเภอแต่ก็ดูจะเป็นชุมชนที่เพิ่งบุกเบิก หรือคงจะเพิ่งขยายตัวเช่นกัน
.
จากซ็อมโลตเราวิ่งเลยออกไปอีก โดยไม่รู้หรอกว่าเขาอนุญาตให้เข้ามากันได้แค่ซ็อมโลตเท่านั้น… เส้นทางช่วงนี้จะแตกต่างกับช่วงที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะดูจะไม่ได้รับการปรับปรุงแต่อย่างใด จึงมีทั้งแอ่งหลุมและหินลอยบนผิวถนนอยู่ทั่วไป
ผมมักจะถามทางไปตลอดหากเจอใครที่พอถามได้ มันเป็นการหาเรื่องคุยและอยากลองพูดแขมร์ด้วยมากกว่า ถึงจะเข้าแขมร์หลายหนแต่ส่วนใหญ่ผมจะใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ภาษาแขมร์ของผมจึงไม่ค่อยพัฒนาสักเท่าไร เลยต้องหาทางใช้ ซึ่งคำถามที่ว่าก็มีไม่กี่คำ ผมท่องจำในหัวไว้แล้วด้วย ‘ที่นี่คือที่ไหน’ ‘ทางนี้ไปถึงไหน’ อะไรแค่นั้นแหละ
.
ความตั้งใจของผมนั้นอยากไปให้ถึงที่ที่เราเรียกกันว่าแยกไพลิน หรือ เจียว หรือแตรง นั่นเลย เพราะจะได้รู้ว่าใกล้ไกลแค่ไหน เผื่อวันหน้าจะได้ดันทุรังไปถึงสะเดากันได้
แต่เราไปกันถึง อ็องแรแดก (สากเหล็ก) ก็รู้สึกว่ามากันตั้งนานแล้วไม่ถึงสักที แถมทางก็ลำบากด้วย หลังจากนั่งกินไส้กรอกย่างที่อ็องแรแดกกันแล้วเราจึงหันหัวรถกลับ โดยไม่ได้รู้เลยว่า หากไปต่ออีกหน่อยเดียวก็จะถึงสามแยกที่ผมต้องการจะไปให้ถึงนั้นแล้ว
เราแวะที่ซ็อมโลตช่วงขากลับ กินก๋วยเตี๋ยวกันฅนละชาม เดินดูสินค้าหาซื้ออะไรกันสักพักจึงกลับไทย
.
หลังจากนั้นผมได้ข้ามแดนทางนี้อีกครั้ง คราวนี้มีหลานปอหกเป็นเพื่อนนั่งซ้อนท้ายไปด้วย ผมเลิกล้มความคิดที่จะไปให้ถึงแยกเจียวนั่นแล้ว (เพราะยังไม่รู้ว่าใกล้ไกลแค่ไหน) เราจึงไปกันแค่ซ็อมโลต ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก แต่ครั้งนี้ช่วงเดินทางกลับนั่นเอง ขณะขับรถลุยเลนในแอ่งก่อนขึ้นเขา อยู่ ๆ รถก็ดับกลางแอ่งกะทันหัน ตกใจแล้วสิ เพราะความที่ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์ และรถของผมมันก็ไม่มีเครื่องมืออะไรสักอย่างติดมาด้วยเลย แม้แต่บล็อกถอดหัวเทียนยังไม่มี และเท่าที่เคยได้ยินมานั้น หากเครื่องดับขณะลุยน้ำแบบนี้ ส่วนใหญ่รถจะพังแน่นอน ทำอย่างไรดี ผมเข็นรถขึ้นมาจากแอ่งและลองสตาร์ต มันไม่ติด เอาล่ะสิ แม้จะลองดูอีกสักกี่ครั้งก็ไม่ติด เย็นมากแล้วด้วย
.
ตอนนี้ผมมีสองทางเลือก หนึ่งคือเข็นรถกลับหลังเพื่อหาใครช่วยดูให้ที สองคือเข็นรถขึ้นเขา ซึ่งแน่นอนว่าอาจต้องเข็นกันจนค่ำมืดดึกดื่นกว่าจะถึงชายแดน คงไม่มีใครทำแบบนั้นแน่ แต่ผมเลือกทางที่สอง นิสัยดันทุรังนั่นแหละผมจึงเลือกทำแบบนั้น ต้องพาหลานเดินเข็นรถขึ้นเขากลับไทยทั้งคืนเสียละมัง ผมคิดในใจ
หลังจากขึ้นเนินแรกมาได้ผมก็ลองสตาร์ตดูอีกครั้ง โชคดีที่ทำได้สำเร็จ มันติดในที่สุด เราจึงได้กลับไทยอย่างโล่งอกกันเสียที
.
หลังจากนั้นเส้นทางสายนี้ก็ไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปผ่านเข้าออกได้เหมือนเคย เป็นเพียงเส้นทางจุดผ่อนปรนอย่างที่บอก แต่หลังจากสิบกว่าปีผ่านไปผมก็ได้เดินทางผ่านถนนสายนี้อีกครั้ง ซึ่งจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรคงได้นำมาเล่าสู่กันฟังอีก โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.
ข้างทางที่ซ็อมโลต (ถ่ายบนรถ)
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๓)
โดย : ละเว้
บทที่๑๓ ช่องทางเนินสี่ร้อย
ช่องทางจุดผ่อนปรน หรือจุดผ่อนผันการค้าชายแดนเนินสี่ร้อย หรือ จรอกบวนรอย (ច្រកបួនរយ) คือช่องทางที่พาเราเข้าแขมร์ผ่านบ้านคลองรถถัง หรือโอวรธเกราะ (អូររថក្រោះ) ในภาษาแขมร์ เส้นทางนี้ได้รับการผลักดันเพื่อยกระดับเป็นด่านผ่านแดนถาวรอยู่หลายปี เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้มีอำนาจในยุคน้ำท่วมใหญ่กลับไม่เห็นความสำคัญ ทั้งที่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางซึ่งใกล้สุดในการเข้าสู่จังหวัดบัตด็อมบอง เรียกว่าเราสามารถวิ่งรถไปกลับบัตด็อมบองวันละสองสามรอบได้สบายเลยทีเดียว
สำคัญอีกอย่างก็คือเส้นทางสายนี้ตัดเลียบอ่างเก็บน้ำคลองโสน สองข้างทางมีทิวทัศน์สวยงาม หากเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรได้ จะเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน จากการที่ฅนแขมร์จะเข้ามาท่องเที่ยวติดต่อค้าขายเพิ่มขึ้นด้วย
และสำคัญที่สุดก็คือ มันอยู่ใกล้บ้านผมมากที่สุดด้วยนี่สิ แฮ่...
ปัจจุบันเส้นทางนี้เปิดให้ผ่านเข้าออกได้เฉพาะชาวแขมร์กับพ่อค้าฅนไทย และผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอบ่อไร่เท่านั้น บ้านผมถึงจะอยู่ไม่ไกลอย่างที่บอก แต่ดันเป็นฅนละอำเภอเสียอีก จึงไม่ได้รับอนุญาต แถมไม่ใช่พ่อค้าอะไรกับเขาด้วยนอกจากต้องการไปเที่ยวเท่านั้น
ทุกวันนี้หากต้องการไปบัตด็อมบอง ผมต้องนั่งรถอ้อมไปถึงจังหวัดจันทบุรี ซึ่งต้องผ่านไปลินและใช้เวลากันค่อนวันทีเดียว แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรผมก็ได้เคยได้เข้าไปตามเส้นทางสายนี้บ้างเหมือนกัน วันนี้จึงมาเล่าให้ฟังครับ
.
อย่างที่เคยบอกว่าผมได้เล่าข้ามการผ่านเส้นทางสายนี้เมื่อสมัยสงคราม ซึ่งได้ไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยแถวโอวร็อธเกราะหรือคลองรถถัง จากนั้นก็ไม่เคยได้ผ่านไปอีกเลย จนกระทั่ง…
“ไปเขมรกันไหม เขาให้เข้าไปได้นี่”
อยู่ ๆ เด็ก ม.สอง ฅนหนึ่งก็เอ่ยชวน ซึ่งยังความแปลกใจให้ผมเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้ทราบข่าวคราวอะไรมาก่อนเลยว่าทางไหนเปิดให้ผ่านได้อย่างไร หลังสอบถามจึงได้รู้ว่าเป็นเส้นทางเนินสี่ร้อย ซึ่งบริเวณนั้นกำลังมีการสร้างอ่างเก็บน้ำคลองโสนกันอยู่ ส่วนไอ้เด็กฅนที่เอ่ยชวนก็เนื่องจากมันกับผมจะค่อนข้างสนิทกัน เมื่อได้ยินเรื่องเมืองแขมร์จากผมบ่อยเลยอยากลองไปบ้าง วันนั้นเราจึงตกลงใจลองไปดู โดยที่ผมเองนั้นไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้หรือเปล่า เพราะไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่ก็อย่างว่า เรื่องนี้ผมไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว
รถมอเตอร์คันเก่าของผมคือพาหนะพาเราข้ามแดน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเดินข้ามเขาแหละน่า
“ว่าจะไปเขมรแหละครับไม่ทราบว่าเข้าไปได้ไหมครับ” ผมตอบทั้งตามด้วยคำถาม เมื่อทหารซึ่งอยู่เลยบ้านมะม่วงออกมาหน่อยกั้นด่านถามเรา ไม่มีปัญหา เราสามารถผ่านเข้าไปได้
รถพาเราหัวสั่นหัวคลอนไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินบนผิวถนน มีด่านทหารข้างทางอีกแต่ไม่ได้เรียกเราตรวจแต่อย่างใด สองข้างทางกำลังมีการสร้างอ่างเก็บน้ำมองเห็นได้ในบางช่วง เส้นทางที่ผมเคยเดินผ่านตอนข้ามเขาคราวก่อนกำลังจะถูกน้ำท่วม แอบเสียดายอดีตไม่ได้เหมือนกัน
เมื่อเราไปกันเรื่อย ๆ สองข้างทางก็ดูจะมีแต่ป่า เรามาจนถึงด่านตรวจฅนเข้าเมืองซึ่งดูเหมือนสร้างไว้ชั่วคราวมากกว่า ผมตอบคำถามแบบเดิม คือลงท้ายด้วยการถามว่าผมสามารถเข้าไปได้ไหม (ยังไม่แน่ใจนี่ครับ) และไม่มีปัญหาอะไรเช่นเคย เขาแค่ขอยึดบัตรประจำตัวกับเอกสารเกี่ยวกับรถไว้ก่อนปล่อยให้เราไปต่อ
เส้นทางช่วงนี้ถึงเป็นการขึ้นเขาแต่ไม่ได้ลาดชันอะไรนัก เราผ่านด่านทหารทั้งไทยและแขมร์ตรงเนินสี่ร้อยได้ไม่อยากอีกเช่นเคย แล้วเราก็วิ่งรถลงเขาสู่เมืองแขมร์ ต้องเปลี่ยนมาอยู่เลนขวาตามหลักสากล ก็มีงงกันบ้างเหมือนกันตรงจุดนี้
เส้นทางฝั่งแขมร์เพิ่งได้รับการปรับปรุง แม้จะเป็นทางลูกรังแต่ก็อัดแน่นเป็นอย่างดี รถวิ่งได้สะดวกกว่าฝั่งไทยมากทีเดียว ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้ข้ามแดนแบบไม่ได้คิดฝันอีกเช่นเคย
.
โอวร็อธเกราะวันนี้ต่างจากที่ผมเคยเห็นจนจำไม่ได้ จากที่เป็นเพียงหมู่บ้านกลางป่า วันนี้โดยรอบค่อนข้างโล่งเตียนและมีตลาดแล้ว แม้จะเป็นตลาดบ้านนอกแต่ก็มีสินค้ามากพอควร เพียงแต่สินค้าที่วางขายนั้นดูเหมือนจะเก่าเก็บกันสักหน่อย ตรงนี้เป็นเพราะสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกสักเท่าไร การซื้อสินค้ามาขายจึงต้องซื้อทีให้พอขายกันเป็นเดือนเป็นปีไปเลย มันจึงเก่าเก็บเป็นธรรมดา อีกอย่างก็คือสภาพถนนลูกรังแบบนี้ฝุ่นจะมีมากจนปัดกันไม่หวาดไม่ไหวด้วย สินค้าต่าง ๆ ที่นี่จึงจะถูกเคลือบด้วยฝุ่นกันเสียเป็นส่วนใหญ่
บ้านเรือนร้านค้าต่าง ๆ ก็จะมองออกว่าเป็นชุมชนที่เพิ่งเกิดใหม่ แบบนี้แหละถูกใจผมเลย มันสัมผัสถึงอารมณ์ของยุคบุกเบิกได้เป็นอย่างดีทีเดียว แฮ่ม
ที่นี่ยังไม่ค่อยมีฅนไทยมากันเท่าไร พวกเขาจึงดูสนใจเราอยู่เหมือนกัน แต่หนแรกนี้เราอยู่กันแค่คลองรถถังหรือโอวร็อธเกราะนี่เท่านั้น เพราะไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย นึกอยากมาก็มากันอย่างที่บอก ดังนั้นหลังจากหาอะไรกินนิดหน่อย เดินเที่ยวซึมซับบรรยากาศโดยรอบแล้วเราก็พากันกลับ
.
“หนังสือล่ะ” ทหารที่ด่านแขมร์ถามเราตอนขากลับ งงกันล่ะสิ หนังสืออะไรหว่า กว่าจะรู้ว่าก่อนเข้าโอวร็อธเกราะนั้น ผมต้องแวะที่ ต.ม. ขแมร์เพื่อขอหนังสือผ่านแดนที่นั่น ซึ่งจะต้องจ่ายเงินกันฅนละยี่สิบบาท แต่ด่านนี้จะอยู่ห่างทางสักหน่อย ผมเห็นนั่นแหละแต่ไม่ได้สนใจจึงวิ่งเลยไปเสียอย่างนั้น ครั้งนี้เราเลยเข้าแขมร์โดยไม่ต้องเสียค่าผ่านด่านผ่านแดนกันแต่อย่างใด ทหารแค่บอกเราว่าคราวหลังให้แวะไปด้วยก่อนปล่อยเราออกมา
.
หลังจากนั้นไม่กี่วัน จากการที่ชักติดใจการเดินทางข้ามแดนที่ดูง่ายดายแบบนี้ เราจึงได้เข้าไปกันอีกครั้ง คราวนี้พากันวิ่งรถเลยโอวร็อธเกราะออกไป สองข้างทางมองเห็นผืนป่าที่ถูกบุกเบิกเป็นแหล่งทำกินชัดขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นพืชล้มลุก และนอกจากขนุนมะม่วงแล้วยังเห็นสวนทุเรียนสวนเงาะอยู่บ้างเหมือนกัน บ้านเรือนเห็นได้ประปรายตลอดทาง เราวิ่งกันมาจนถึงชุมชนที่น่าจะเป็นตลาดซ็อมโลต (សំឡូត) แม้ที่นี่จะเป็นตัวอำเภอแต่ก็ดูจะเป็นชุมชนที่เพิ่งบุกเบิก หรือคงจะเพิ่งขยายตัวเช่นกัน
.
จากซ็อมโลตเราวิ่งเลยออกไปอีก โดยไม่รู้หรอกว่าเขาอนุญาตให้เข้ามากันได้แค่ซ็อมโลตเท่านั้น… เส้นทางช่วงนี้จะแตกต่างกับช่วงที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะดูจะไม่ได้รับการปรับปรุงแต่อย่างใด จึงมีทั้งแอ่งหลุมและหินลอยบนผิวถนนอยู่ทั่วไป
ผมมักจะถามทางไปตลอดหากเจอใครที่พอถามได้ มันเป็นการหาเรื่องคุยและอยากลองพูดแขมร์ด้วยมากกว่า ถึงจะเข้าแขมร์หลายหนแต่ส่วนใหญ่ผมจะใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ภาษาแขมร์ของผมจึงไม่ค่อยพัฒนาสักเท่าไร เลยต้องหาทางใช้ ซึ่งคำถามที่ว่าก็มีไม่กี่คำ ผมท่องจำในหัวไว้แล้วด้วย ‘ที่นี่คือที่ไหน’ ‘ทางนี้ไปถึงไหน’ อะไรแค่นั้นแหละ
.
ความตั้งใจของผมนั้นอยากไปให้ถึงที่ที่เราเรียกกันว่าแยกไพลิน หรือ เจียว หรือแตรง นั่นเลย เพราะจะได้รู้ว่าใกล้ไกลแค่ไหน เผื่อวันหน้าจะได้ดันทุรังไปถึงสะเดากันได้
แต่เราไปกันถึง อ็องแรแดก (สากเหล็ก) ก็รู้สึกว่ามากันตั้งนานแล้วไม่ถึงสักที แถมทางก็ลำบากด้วย หลังจากนั่งกินไส้กรอกย่างที่อ็องแรแดกกันแล้วเราจึงหันหัวรถกลับ โดยไม่ได้รู้เลยว่า หากไปต่ออีกหน่อยเดียวก็จะถึงสามแยกที่ผมต้องการจะไปให้ถึงนั้นแล้ว
เราแวะที่ซ็อมโลตช่วงขากลับ กินก๋วยเตี๋ยวกันฅนละชาม เดินดูสินค้าหาซื้ออะไรกันสักพักจึงกลับไทย
.
หลังจากนั้นผมได้ข้ามแดนทางนี้อีกครั้ง คราวนี้มีหลานปอหกเป็นเพื่อนนั่งซ้อนท้ายไปด้วย ผมเลิกล้มความคิดที่จะไปให้ถึงแยกเจียวนั่นแล้ว (เพราะยังไม่รู้ว่าใกล้ไกลแค่ไหน) เราจึงไปกันแค่ซ็อมโลต ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก แต่ครั้งนี้ช่วงเดินทางกลับนั่นเอง ขณะขับรถลุยเลนในแอ่งก่อนขึ้นเขา อยู่ ๆ รถก็ดับกลางแอ่งกะทันหัน ตกใจแล้วสิ เพราะความที่ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์ และรถของผมมันก็ไม่มีเครื่องมืออะไรสักอย่างติดมาด้วยเลย แม้แต่บล็อกถอดหัวเทียนยังไม่มี และเท่าที่เคยได้ยินมานั้น หากเครื่องดับขณะลุยน้ำแบบนี้ ส่วนใหญ่รถจะพังแน่นอน ทำอย่างไรดี ผมเข็นรถขึ้นมาจากแอ่งและลองสตาร์ต มันไม่ติด เอาล่ะสิ แม้จะลองดูอีกสักกี่ครั้งก็ไม่ติด เย็นมากแล้วด้วย
.
ตอนนี้ผมมีสองทางเลือก หนึ่งคือเข็นรถกลับหลังเพื่อหาใครช่วยดูให้ที สองคือเข็นรถขึ้นเขา ซึ่งแน่นอนว่าอาจต้องเข็นกันจนค่ำมืดดึกดื่นกว่าจะถึงชายแดน คงไม่มีใครทำแบบนั้นแน่ แต่ผมเลือกทางที่สอง นิสัยดันทุรังนั่นแหละผมจึงเลือกทำแบบนั้น ต้องพาหลานเดินเข็นรถขึ้นเขากลับไทยทั้งคืนเสียละมัง ผมคิดในใจ
หลังจากขึ้นเนินแรกมาได้ผมก็ลองสตาร์ตดูอีกครั้ง โชคดีที่ทำได้สำเร็จ มันติดในที่สุด เราจึงได้กลับไทยอย่างโล่งอกกันเสียที
.
หลังจากนั้นเส้นทางสายนี้ก็ไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปผ่านเข้าออกได้เหมือนเคย เป็นเพียงเส้นทางจุดผ่อนปรนอย่างที่บอก แต่หลังจากสิบกว่าปีผ่านไปผมก็ได้เดินทางผ่านถนนสายนี้อีกครั้ง ซึ่งจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรคงได้นำมาเล่าสู่กันฟังอีก โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.