อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (บทที่๑๔)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๔ บัตด็อมบองกันอีกครั้ง

ทิ้งระยะนับสิบปีทีเดียว กระทั่งเพื่อนผมมีลูกสาวเรียนปอห้าปอหกแล้วนั่นแหละ กว่าที่ผมจะได้ไปเยือนเมืองแขมร์ เยือนสะนึง จ็อมการ์ละมุต และบัตด็อมบองกันอีกครั้ง

ครั้งนี้เราไปงานแต่งของญาติฝ่ายภรรยาเพื่อนผมกัน ซึ่งหนนี้แม้จะผ่านด่านตรวจฅนเข้าเมือง แต่ผมยังคงต้องใช้วิธีเสี่ยงหรือผิดกฎหมายในการข้ามประเทศอีกเช่นเคย...

.
จากการติดต่อกับแม่ยาย หรือญาติฝ่ายภรรยาของเพื่อนผมอยู่ตลอด เราจึงรู้ว่าสามารถข้ามแดนแบบไม่ต้องข้ามเขากันได้ โดยผ่านช่องทางชายแดนด้านจันทบุรีเข้าไป แม้จะต้องเดินทางแบบอ้อมโลกแต่ก็ยังดีกว่าต้องปีนเขากัน (เส้นทางที่เราใช้ถูกน้ำท่วมไปแล้วด้วย)

ก่อนที่เราจะไปกันนั้นเพื่อนผมได้เคยส่งลูกสาวสองฅนให้ไปอยู่กับแม่ยายช่วงปิดเทอมมาแล้วด้วย พอดีคราวนี้มีงานแต่งเราจึงลองเข้าไปกันบ้าง 

ซึ่งปกติด่านถาวรนั้นจะใช้พาสปอร์ตเป็นหลักฐานในการเดินทางเข้าออก ซึ่งเรายังไม่มีพาสปอร์ตกันเลย เพียงแต่รู้วิธีเข้าไปโดยไม่ต้องใช้เอกสารอะไร นอกจากลูกเล่นนิดหน่อย เท่านั่น ซึ่งคงต้องขอข้ามจุดนี้นะครับเพราะอาจไปกระทบผู้อื่นได้ แต่ผมเชื่อว่าผู้ที่ได้ข้ามแดนด้านนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะชาวกัมปุเจียจะรู้จุดอ่อนนี้ดี ซึ่งปัจจุบันไม่แน่ใจว่ายังทำแบบนั้นได้อีกไหม

.
เอาเป็นว่าในที่สุดเราก็ข้ามแดนกันได้ด้วยวิธีไม่ถูกต้องนัก รถโดยสารซึ่งญาติฝ่ายภรรยาเพื่อนผมเป็นฅนจัดการหามาจอดรอเราตรงข้ามด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งขแมร์ ห่างออกไปไม่มากนักคือตึกคาสิโนซึ่งกำลังก่อสร้าง ทั้งโรงแรมและคาสิโนที่นี่จะมีอยู่หลายแห่งหรือจะเรียกว่ามากมายก็ได้ 

ส่วนรถโดยสารตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นรถเก๋ง ผิดกับสมัยก่อนที่จะเป็นกระบะไม่มีหลังคามากกว่า (แต่ทางหาดเล็กนั้นมีการใช้รถเก๋งวิ่งโดยสารมานานแล้วนะครับ) 

ซึ่งรถโดยสารที่นี่นั้นต้องเรียกว่าใช้งานได้คุ้มค่ามาก กระโปรงหลังใส่ของเต็มจนล้นปิดฝาไม่ลง ต้องใช้เชือกดึงรั้งกันไว้ และนอกจากจะนั่งอัดนั่งเบียดกันแล้วยังต้องซ้อนตักกันไปอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ ขณะกำลังจะออกเดินทางนั้นเอง ได้มีผู้หญิงฅนหนึ่งมาขอโดยสารไปกับเราด้วย ตอนนี้ลำพังพวกเราก็ไม่มีที่นั่งจนต้องซ้อนตักกันอย่างที่บอก เพียงแต่ว่า…

“นั่งตักผมไปก็ได้” ฅนขับรถบอกกับหญิงฅนนั้น ไม่ทราบว่าด้วยเห็นใจไม่อยากให้รอรถนาน หรือเสียดายค่าโดยสาร หรือจะคิดอย่างอื่นมากกว่านี้ก็สุดจะเดา แฮ่ 

แต่โชคดีที่เธอปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นคงได้ทุลักทุเลกันตลอดทาง ฮ่า

แล้วรถก็พาเราออกเดินทางผ่านตัวจังหวัดไปลิน เมื่อเลี้ยวขวาออกมาเราก็ได้เห็น ‘พนมยาต’ (ភ្នំយ៉ាត) ภูเขาซึ่งมีสิ่งก่อสร้างทางศาสนาบนนั้น 

พนมยาตถือเป็นสถานที่มีชื่อเสียงของจังหวัดไปลิน เท่าที่เห็นมันดูน่าสนใจทีเดียว และเพราะทั้งคันรถจะมีแต่คณะของเรา และฅนขับรู้ว่าเราเพิ่งมาจากไทยกันด้วย จึงแวะจอดรถให้เราได้สักการะยายยาต ซึ่งเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่บนศาลาริมทางบริเวณตีนเขากัน 

ยายยาตนั้นเป็นที่มาของชื่อพนมยาตแน่นอน แต่จะเป็นอย่างไรนั้นตรงนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ


ศาลยายยาต (ภาพไม่ค่อยชัดเพราะถูกเฟซบุ๊กลดคุณภาพไปแล้วครับ)

และพนมยาตนี้ผมค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่วัด แม้จะมีพุทธรูป มีเจดีย์แบบพม่าและมีสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนวัดก็ตาม เพราะเท่าที่สอบถามเขาก็จะบอกกันว่าแค่สิ่งก่อสร้างทางศาสนาเท่านั้น แต่คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนาม ‘วัดพนมยาต’ ซึ่งตรงนี้จากความไม่มั่นใจผมจึงขอเรียกว่า ‘พนมยาต’ แต่เท่านั้นนะครับ’

ครั้งนี้เราไม่ได้ขึ้นไปดูบนเขากันหรอก ฅนขับแค่แวะจอดรถให้เราได้สักการะยายยาตสักพักก็เดินทางต่อ 

ตอนนี้จะสังเกตได้ว่าเส้นทางหลักเข้าสู่บัตด็อมบองนั้นจะเป็นทางลาดยางใหม่เอี่ยมทีเดียว ส่วนสภาพสองข้างทางก็ต้องบอกว่าสวยงามมาก ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนยอดดอยอย่างไรอย่างนั้นเลย กับสภาพที่มีแต่เนินเขาโล่งเตียน ทุกพื้นที่มีแต่ดินแดงสลับกับที่ถูกปกคลุมด้วยพืชล้มลุก มันสับปะหลัง ข้าวโพด ถั่วงา อะไรพวกนั้น 

และเนินเขาซึ่งกลายเป็นพื้นที่โล่งเตียนที่ว่านี้ไม่ใช่แค่ร้อยไร่พันไร่ หรือหมื่นไร่แสนไร่แต่เท่านั้นนะครับ คงต้องบอกว่าทั้งหมดของพื้นที่นั่นแหละที่กลายสภาพเป็นแบบนี้ เป็นความงดงามอันน่าใจหายจริง ๆ 

ปัจจุบันสภาพแบบนี้แทบไม่มีแล้วนะครับ มันกลับมารกร้างอีกครั้ง แต่คราวนี้จะเป็นรกหญ้ามากกว่า

อีกสิ่งที่จะสังเกตเห็นได้เป็นระยะสองข้างทางก็คือโรงงาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานในภาคเกษตร (ซีพีของไทยก็เข้ามาที่นี่แล้วเช่นกัน)

.
เมื่อเข้าเขตจังหวัดบัตด็อมบองสองข้างทางก็เข้าสู่สภาพคุ้นเคย ทุ่งนาและพื้นที่ราบเรียบเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น เมื่อถึงแยกเจียวผ่านวัดแตรง เท่าที่สังเกตในวันนี้ ผมว่าน่าจะมีพระมาจำพรรษากันแล้ว


(วัดแตรง)

เมื่อถึงสะเดาหลังจากแวะเข้าไปทักทายเอาของฝากให้กับฅนรู้จักและญาติของเพื่อนผมที่จ็อมการ์ละมุตแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง ‘บึงอ็อมเปิล’ (បឹងអំបិល) ซึ่งบ้านญาติของภรรยาเพื่อนผมอยู่ที่นี่ และเรากะจะพักที่นี่กัน 

แต่ด้วยความไม่คุ้นเคยผมจึงโทรศัพท์ให้เพื่อนที่จ็อมการ์ละมุตเอารถมารับ (สังเกตว่าช่วงนี้มีโทรศัพท์แล้ว)

จากนั้นผมกับน้องสาวของเพื่อนที่มาจากไทยด้วยกันจึงกลับไปพักที่จ็อมการ์ละมุต โดยฅนที่เหลือยังคงพักที่บึงอ็อมเปิล เมื่อมาถึงจ็อมการ์ละมุตผมมาพักที่บ้านเพื่อน ส่วนน้องสาวของเพื่อนจากเมืองไทยนั้นแยกไปพักกับญาติของเธอ

.
สิบกว่าปีที่ผ่านไปนั้นจ็อมการ์ละมุดดูจะเปลี่ยนแปลงน้อยมากทีเดียว วันนี้ที่นี่มีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่ยังคงมีใช้เพียงบางหลังเท่านั้น ที่นี่ค่าไฟจะแพงมากเพราะต้องซื้อมาจากประเทศอื่นเช่นไทยและเวียดนาม และบ้านที่มีไฟฟ้าใช้นั้นส่วนใหญ่จะใช้เพียงให้แสงสว่างกับดูทีวี และอาจมีสำหรับเครื่องใช้จำเป็นอื่น ๆ บ้าง ในขณะที่หม้อหุงข้าวไฟฟ้ายังไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไรนัก

.
รุ่งเช้าเพื่อนแขมร์ชวนไปเที่ยวตัวจังหวัดบัตด็อมบองกัน แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว น้องสาวเพื่อนจากไทยไปกับเราด้วย โดยเพื่อนแขมร์ขับรถจักรยานยนต์พาเราซ้อนสามไปด้วยกัน 

ตอนนี้ผมจึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างของที่นี่ รถราบนท้องถนนดูจะมีเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก วิ่งเปิดแตรเสียงลั่นจนอดแซวเพื่อนไม่ได้ว่า 

‘รถที่นี่หากไม่มีแตรคงขับขี่กันไม่ได้แน่นอน’ 

เขาแทบจะใช้แตรเป็นหลักกันเลยทีเดียว เรียกว่ากฎจราจรไม่สำคัญเท่ากดแตรนั่นแหละ และไม่ใช่กดกันแค่พอรู้แบบบ้านเรานะครับ กดแต่ละทีเขาจะรัวถี่ยาวกันเลย ถึงขนาดที่ว่าตามหน้าโรงเรียนต้องมีป้ายห้ามใช้เสียงกันนั่นแหละครับ แฮ่
.

ระหว่างทางเมื่อผ่านเขาสำเภาผมบอกเพื่อนว่าขากลับอย่าลืมพาแวะด้วย เพราะตั้งใจมาสิบกว่าปีแล้วยังไม่ได้ขึ้นสักทีนั่นแหละ 

ก่อนเข้าบัตด็อมบองเพื่อนได้พาเราแวะไปหาพี่สาวของเขาก่อน 

ผมลืมบอกไปว่าเพื่อนผมฅนนี้ก็คือน้องชายของ ฮ้ง หลานเขยยายที่เคยกล่าวถึงในตอนก่อนนั่นแหละครับ ดังนั้นพี่สาวของเขาที่ว่านี้ก็คือฅนเดียวกันกับที่ผมบอกว่ามีอาชีพเลี้ยงเป็ด แต่คราวนี้พวกเขาเปลี่ยนมาเลี้ยงนกกระทาขายเนื้อกัน เพื่อนผมบอกว่าพี่สาวของเขานั้นจะเปลี่ยนการเลี้ยงไปเรื่อย ไม่เป็ดก็ไก่ หรือไม่ก็นกกระทาอย่างที่เห็น ซึ่งก็คงอยู่แต่กับสัตว์ปีกกันนี่แหละ 

ถึงตรงนี้หากใครจำได้ที่บทก่อนผมได้บอกว่า ครอบครัวของเขานั้นอาศัยอยู่กับเพิงพักในเล้าเป็ดแล้วล่ะก็ ให้ลืมภาพนั้นไปได้เลย เพราะวันนี้ครอบครัวของเขามีบ้านหลังใหญ่โต มีรถสิบล้อรถบรรทุก มีลูกน้องมีฅนงานหลายฅน ยังมีที่ดินมีเล้านกที่จ็อมการ์ละมุด และยังมีที่ดินอีกแปลงเลยออกไปทางไปลินซึ่งให้น้องชายหรือฮ้งดูแลปลูกอ้อย และอาจมีที่ผมไม่ทราบอีกด้วยเช่นกัน 

ตรงนี้คงได้แต่ชื่นชมและอดหันมองตัวเองไม่ได้ ในขณะที่เขาเข้าขั้นเศรษฐี ทำไมเราถึงมีแต่จนลงจนลง แต่คำถามนี้คงตอบได้ไม่ยากหรอก เราไม่ขยันเท่าเขานั่นเอง แฮ่

หลังจากทักทายกันสักพักเพื่อนก็พาเราเข้าตัวจังหวัดบัตด็อมบองเสียที ซึ่งบัตด็อมบองวันนี้จะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องขอให้ติดตามตอนต่อไปครับ.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่