[CR] รีวิวสามัญชน: ยาง Bridgestone Ecopia EP300

รีวิวนี้ เป็นรีวิวหลังการใช้งานนะครับ คือผมใช้ Bridgestone Ecopia EP300 มาได้ 15 เดือน 54,000+ กม. และได้เปลี่ยนยางชุดนี้ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (โดยตอนนี้เปลี่ยนเป็น Yokohama AdbanDB V552) จึงขอแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกที่มีต่อยางชุดนี้ครับ

ขอออกตัวก่อนว่าผมเป็นคนใช้รถใช้ถนนธรรมดา ไม่ได้อยู่ในวงการยานยนต์ ไม่ได้เป็นร้านยางหรือร้านทำรถยนต์ แต่เป็นพนักงงานออฟฟิซธรรมดาๆ ที่ได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง และอยู่กับมันทุก กม. ตั้งแต่ใหม่ๆยันเปลี่ยนออก จึงอยากแชร์ที่ได้ทดลองใช้ไปตามความรู้สึกจริง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ข้อมูลรถและเส้นทางหลัก
ยางที่จะรีวิวนี้ใช้กับรถ Toyota Altis หน้าหมู ปี 2004 วางเครื่อง 2zz-ge 6MT เครื่องขนาด 1800 ซีซี ตามสเปค 190 แรงม้า (แต่วัดไดโน่จริงลงพื้นเหลือแค่ 160+) ช่วงล่างเป็นสตรัท RSR Best-i (โมเพิ่ม) ใส่ค้ำบนหน้า XRS ตรงรุ่น ผมเป็นคนค่อนข้างขับรถเร็วและรูดหลุม ไม่ได้ค่อยๆเร่งค่อยๆเบรคเน้นประหยัดน้ำมันเหมือนคนอื่น รวมถึงการใส่สตรัท ค้ำ ที่รีดสมรรถนะของยางมากขึ้นอาจทำให้เปลืองยางมากกว่าปกติ เลยอาจทำให้ยางสึกไวขึ้น และฟีลลิ่งที่รับรู้ได้แตกต่างจากรถสแตนดาร์ดครับ ถนนเส้นที่ขับทุกวันคือรามอินทรา - พระราม 9 - นวมินทร์  ถือว่าสภาพถนนค่อนข้างขรุขระปานกลางถีงมากครับ
 
ยางที่เคยใช้ทั้งหมด
1. Maxxis MA-P1 = 195/60/15
2. Maxxis MS800 = 195/60/15
3. Yokohama A.Drive = 195/65/15
4. Bridgestone Turanza GR100 = 195/60/15
5. Michelin Primacy 3ST = 195/60/15 อ่านต่อ.. https://pantip.com/topic/37866119
6. Otani EK1000 = 195/65/15 อ่านต่อ.. https://pantip.com/topic/37890490
7. Toyo Proxes C1S (นำเข้าจากญี่ปุ่น) = 195/65/15 อ่านต่อ.. https://pantip.com/topic/39945998
8. Apollo Alnag 4G = 195/60/15 อ่านต่อ.. https://pantip.com/topic/41015836
9. Dunlop Enasave EC300 = 185/65/15 (ยางติดรถ Mazda 2)
10. Bridgestone Ecopia EP150 = 185/65/15 (ใส่ใน Mazda 2) อ่านต่อ.. https://pantip.com/topic/40811813
11. Otani KC2000 = 205/60/15 อ่านต่อ.. https://pantip.com/topic/41718656
12. Bridgestone Ecopia EP300 <------- ตัวที่กำลังรีวิวอยู่



ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับยาง
ยี่ห้อ/รุ่น : Bridgestone Ecopia EP300
ขนาด : 195/60/15
ประเภท : ยางประหยัดน้ำมัน (แต่หลายคนเห็นตรงกันว่าจัดเป็นยางนุ่มเงียบ)
ดีชนีย์น้ำหนัก : 88 (560 กก./เส้น)
ดีชนีย์ความเร็ว : V (240 กม./ชม.)
Treadwear : (ไม่มีค่าบอก)
Traction : (ไม่มีค่าบอก)
Tempurature : (ไม่มีค่าบอก)
ราคา/เส้น: 4000 (ราคาจากร้านแถวหทัยราษฎร์ที่ผมไปเปลี่ยนมา)

การใช้งานโดยรวม
โดยส่วนตัวเคยใช้ยาง Bridgestone ก่อนหน้านี้มา 2 รุ่น คือ GR100 กับ EP150 ครับ ความรู้สึกโดยรวมต่อยางยี่ห้อนี้คือ ทนทายาทมากๆ ดอกยางทนต่อถนนพังๆดีมาก ใช้งานในถนนแย่ๆใน กทม สภาพหน้ายางยังดูสวยงามเป็นอันดับต้นๆเลยครับ ส่วนในเรื่องฟีลลิ่งของการขับขี่ เป็นยี่ห้อที่ติดสปอร์ทหน่อย คือจะไม่ค่อยเน้นความนุ่มนวลมากเหมือนมิชลินและโยโกฮาม่า แต่ฟีลลิ่งจะออกแน่นๆเฟิร์มๆ ซึ่งบางคน (แบบผม) ก็จะรู้สึกว่ามันกระด้าง ถ้านำไปเทียบกับยี่ห้อที่นุ่มกว่านั่นเองครับ

ช่วงที่ยางใหม่ๆ 1 หมื่น กม. แรกผมรู้สึกถึงความขับแล้วรถโหวงๆ ความรู้สึกเหมือนลื่นแต่ไม่ลื่น เข้าใจว่ามันเป็นคุณสมบัติลดแรงเสียดทานของยางประหยัดน้ำมันครับ และพอผมออกทริปยาวๆออก ตจว ระยะทางเกิน 500 กม. ก็ลองจับอัตราการบริโภคพลังงาน ผลก็ออกมาว่ารุ่นนี้ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้นจริงครับ โดยจากตัวเลขที่จดไว้ คำนวณแล้วจะประหยัดกว่า Otani KC2000 205/60/15 (ที่หน้ากว้างกว่า 1 ซม.) ประมาณ 16.02% และประหยัดกว่า Apollo Alnag 4G 195/60/15 (ไซส์เดียวกัน) อยู่ 9.73% ครับ โดยส่วนใหญ่เป็นการขับขี่นอกเมืองนะครับ ปริมาณจราจรไกล้เคียงกันคือถนนโล่งๆรถน้อย แต่เส้นทางของแต่ละทริปอาจจะคนละแห่งกัน อาจจะมีประเด็นความเพี้ยนนิดหน่อยจากตรงนี้ ก็ถือว่าดูข้อมูลเป็นแค่แนวทางหยาบๆละกันนะครับผม ซึ่งหลังจาก 1 หมื่น กม. นี้ อาการหวิวๆโหวงๆที่เคยรู้สึกมันลดลง ผมเลยไม่ชัวร์ว่า การประหยัดน้ำมันนี้ มันประหยัดเท่าเดิมตลอดอายุยางเลย หรือว่ามันค่อยๆประหยัดลดลงทีละนิดๆนะครับ หากใครทราบข้อมูลจุดนี้ช่วยยืนยันผลทีครับ

 

หลังจากใช้งานยางนี้มาประมาณหนึ่ง ประจวบเหมาะกับช่วงที่ภรรยาผมเริ่มตั้งท้องครับ ช่วงแรกๆท้องเล็กๆก็ไม่เท่าไร พอใช้ยางได้ครบปี มันเริ่มมีอาการแข็งขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแรกๆก็ไม่ได้เป็นอะไรใช้ต่อไปได้ แต่พอภรรยาผมเริ่มท้องโตขึ้น มวลท้องเริ่มมากขึ้น ขับผ่านสันหรือคอสะพานจุดเดิมพยายามหยอดช้าสุดๆด้วยความเร็วเพียง 5+- กม./ชม. ก็แล้ว แต่ยางที่ใช้มานานประมาณนึง มันเริ่มยุบซับแรงกระแทกน้อยลงบวกกับท้องที่หนักขึ้น เลยทำให้มีแรงเขย่ามากขึ้นจนแฟนเริ่มมีอาการจุกท้องอยู่บ้างครับ เป็นเหตุให้ผมสงสารแฟนเลยรีบหายางนุ่มๆกว่าเดิมเปลี่ยนใหม่โดยไวครับ (และหวยก็มาออกที่ Yokohama AdvanDB V552)

รีวิวยาง Bridgestone Ecopia EP300

- ความนุ่ม: เป็นยางที่ค่อนไปทางแน่นกระด้างนิดหน่อยครับ แต่ก็มีความย้วย เพิ่งเคยเจอฟีลลิ่งแบบนี้เหมือนกันครับ มันอาจจะนุ่มที่สุดในบริดสโตนก็ได้ แต่ถ้าไปเทียบกับยี่ห้ออื่น เท่าที่ผมเคยใช้มามันก็กระด้างที่สุดอยู่ดีครับ อาการย้วยที่เจอมันแค่พอมีอาการให้รู้สึก ไม่ได้ย้วยเยอะโคลงเสียวแบบมิชลินครับ ยังเป็นอาการย้วยที่ยังรักษาทรงในการเกาะถนน และยังมีความคมใช้ได้อยู่ โดยรวมสำหรับผมคือ เป็นยางที่กลางๆค่อนไปทางกระด้าง ไม่ได้จัดว่านุ่มครับ

- ความเงียบ: ไม่ได้เงียบมาก ถือว่ากลางๆค่อนข้างไปทางเงียบครับ แต่เป็นยางที่หอนช้ามาก คืออาการหอนเริ่มออกเบาๆตอนใช้ยางไปแล้วตั้ง 3 หมื่น 7 พัน กม. ถือว่าหอนช้ามากครับ และตั้งแต่เริ่มหอน มันก็ไม่ได้หอนบ่อย และไม่ได้หอนดังมาก ส่วนเสียงยางบดถนน พอได้ยินบ้างแต่ไม่มากครับ 

- ทางแห้ง: ถือว่าฟีลดีครับ เกาะถนนถือว่าดี ฟีลลิ่งมีความคม ขับเร็ว เข้าโค้ง โดดคอสะพานลงมา ถือว่ามั่นใจใช้ได้เลยครับ อาจจะยังไม่ได้ดีเท่า GR100 และ C1S แต่ผมรู้สึกขับมั่นใจกว่า 3ST ครับ จะมีในช่วงท้ายๆที่ยางเริ่มแข็ง ความคมและความเกาะถนนมีลดลงบ้าง ตามสภาพครับ

- ทางเปียก: ผมให้ค่อนข้างดีถึงดีเลยครับ ยังไม่ดีเท่ามิชลิน แต่ถือว่าดีตามมาตรฐานยางแบรนด์เจ้าตลาด ขับทางเปียกและลงแอ่งน้ำได้ดีกว่าแบรนด์รองและแบรนด์ยางราคาถูกทุกตัวที่ผมเคยใช้ครับ (ปกติถ้าฝนตกมีแอ่งน้ำ ผมจะขับไม่เกิน 80)

- ระยะเบรค: ผมถือว่าทำได้ค่อนข้างดีครับ เบรคแรงๆไม่เสียว ระยะเบรคถือว่าดีเลย เบรคแรงไม่มีอาการย้วยโยนให้รู้สึกเสียวครับ ตรงนี้ก็อาจจะยังไม่นิ่งหนึบเท่า GR100 เช่นกันนะครับ

- ความขับสนุก: ฟีลลิ่งยางมีทั้งแน่นและคม แต่ก็มีติดย้วยบ้างเล็กน้อยครับ โดยรวมก็ขับสนุกดี แต่ในช่วงแรกๆที่บอกว่ามีอาการเหมือนโหวงๆไหลๆ ก็เป็นความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกเสียวอยู่เหมือนกันครับ แต่พอขับได้สัก 2 พัน กม. เริ่มชิน เริ่มจับทางถูกว่ามันรู้สึกโหวงๆอยู่นะ แต่มันเกาะถนนปกติ ก็เลยปล่อยให้รู้สึกไปครับ ขับแบบไม่เสียวแล้ว

- คงคุณภาพได้นาน: เป็นยางรุ่นที่คงคุณภาพได้ดีมากที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มารุ่นนึงเลยครับ คือถึงแม้ปลายทางยางทุกชุดจะแข็งเท่ากัน แต่ผมนับว่ายางชุดไหนที่ความแข็งมันเพิ่มขึ้นช้ากว่าครับ ก็คือยางรุ่นนี้ตอนใหม่ๆมันเริ่มจากแข็งหน่อยๆอยู่แล้วแต่เวลาปีกว่าที่ผ่านไปมันแข็งขึ้นมานิดเดียว แต่ยางรุ่นอื่นๆบางตัวเริ่มต้นที่นุ่มมากๆ แต่มันแข็งขึ้นทุกเดือนแบบรู้สึกได้เลย และภายในปีเดียวมันก็แข็งเท่าๆกันบริดสโตนในตอนปีกว่า ผมเลยมองว่าบริดสโตนคงคุณภาพได้นานกว่าครับผม นอกจากเรื่องแข็งแล้ว เรื่องหอน ep300 ก็หอนช้ามาก กล่าวคือ มันเริ่มหอนครั้งแรกตอน 4 หมื่น 7 พันโล ซึ่งหอนช้าที่สุดเท่าที่เคยใช้เลยครับ รุ่นอื่นๆโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ 1-2 หมื่นโลก็เริ่มหอนนิดๆ และมี Apollo ที่ไวสุด เริ่มหอนนิดๆตั้งแต่ 3 พัน กม. แรกครับ

สภาพยางในวันที่เปลี่ยนออกครับ 15 เดือน 54,000+ กม. ถ้าไม่นับเรื่องแข็ง สภาพหน้ายางถือว่ายังดีมากเลย ดอกก็ยังหนามาก ผมเทียบสภาพยางเก่ากับตอนถอดออกชัดๆอีกทีนะครับ


สรุปผลการใช้งาน
ยาง Bridgestone Ecopia EP300 เป็นยางประหยัดน้ำมันที่สมรรถนะถือว่าดีรุ่นนึงเลยครับ และเป็นรุ่นที่คุ้มค่าเพราะคงระยะประสิทธิภาพได้นานมาก ดอกสึกช้ามาก และทนทานต่อถนนพังๆได้ดีมากครับ ในเรื่องการประหยัดน้ำมันเท่าที่ผมเคยจดอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงเปรียบเทียบกับยางอื่นๆ ถ้าเป็นยางในรุ่นปกติที่ขนาดไซส์เท่ากัน มันก็ประหยัดกว่าเกือบ 10% เลยครับ

ประหยัด 10% ดูเหมือนไม่มาก แต่หากคิดให้ละเอียดแล้วก็เยอะนะครับ สมมติ รถที่ท่านใช้กินน้ำมันอยู่ที่ 4 บาท/กม. หากประหยัดได้ 10% ก็เท่ากับเหลือ 3.6 บาท ก็คือประหยัดได้ 0.4 บาท/กม. หากขับใช้งานไป 1 หมื่น กม. ก็จะประหยัดไปได้ 4 พันบาท หากขับใช้งานไป 5 หมื่น กม. ก็จะประหยัดได้ 2 หมื่นบาท ซึ่งค่ายางแค่ 12000 บาทเท่านั้น เท่ากับว่าเหมือนได้ยางฟรี แล้วยังได้ cash back อีก 8 พัน บาทเลยนะครับผม แต่บอกไว้ก่อนว่าช่วงเวลาที่ผมจดอัตราการกินน้ำมันนี้ อยู่ในช่วงประมาณ 1 หมื่น กม. แรกของการใช้ ep300 ซึ่งผมไม่ชัวร์ว่ามันจะประหยัดในอัตราเดียวกันนี้ ไปตลอดอายุของยางเป๊ะๆเลยไหมนะครับ ใครมีข้อมูลตรงนี้ช่วยคอนเฟิร์มให้ผมทีนะครับ

สุดท้ายนี้ หวังว่ารีวิวฉบับนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ ผมเป็นเพียงคนใช้รถใช้ถนนธรรมดา ไม่ได้มีความรู้ในเชิงลึก ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ..

คะแนนความถึงพอใจ:
นุ่มเงียบ: 6.5/10
ทางแห้ง: 7.5/10
ทางเปียก: 7/10
คงคุณภาพ: 9/10
ความคุ้มราคา: 8/10

ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/