วันดับสูญ บทที่ 1 วิวัฒน์

กระทู้สนทนา
1. วิวัฒน์
 
         แสงสุดท้ายของวันที่ทั้งงดงามชวนอบอุ่นผ่อนคลาย แต่ก็ให้ความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวในเวลาเดียวกัน ถักทออาบย้อมผืนฟ้าและทั่วทั้งบริเวณจนกลายเป็นสีทองสุกสกาว

         ดวงตะวันสีส้มปลั่งลูกโตที่ขยันขันแข็งทำหน้าที่มาตลอดทั้งวันกำลังคล้อยต่ำลง จวนเจียนถึงเวลาที่มันจะได้หลบซ่อน พักผ่อนตัวเองอยู่ที่ตรงหลังแนวสันเขา เพื่อฟื้นฟูแรงกายแรงใจไว้สำหรับวันพรุ่งนี้เสียที

         เหล่านกกาต่างบินตัดฟ้าหวนคืนสู่รัง เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่าเด็ก ๆ เงียบจนสงบลงไปแล้ว คงเหลือไว้เพียงเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านกน้อยที่แฝงตัวเองอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ และตามซอกมุมพักพิงต่าง ๆ เท่าที่พวกมันจะสามารถสร้างรังไว้ซุกตัวอิงแอบได้

         เสียงสายลมแผ่วแว่วหวีดหวิว เสียงเสียดสีของกิ่งก้านใบ เสียงขยับเคลื่อนไหวของธรรมชาติรายล้อม คละเคล้าคลอเคลียผสมกลมกลืนกันอย่างแนบเนียน ก่อเกิดสุนทรียะและความเพลิดเพลินในอารมณ์ให้แก่ผู้ที่ได้สัมผัสรับรู้

         โรงเรียนซึ่งอาจพอจะเรียกได้ว่า อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญแห่งนี้ มีอาณาบริเวณกว้างขวางพอประมาณ นอกจากสนามหญ้าโล่งว่างเปล่าซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่แล้ว มีเพียงอาคารสองชั้นซึ่งปลูกสร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลังเพียงอาคารเดียวเท่านั้นที่ใช้สำหรับเป็นอาคารเรียน

         แต่ละชั้นถูกซอยแบ่งออกเป็นห้าห้อง ห้องแรกของทั้งสองชั้นถูกใช้สำหรับเป็นห้องพักครู ส่วนอีกแปดห้องที่เหลือใช้เป็นห้องเรียน ไล่ระดับชั้นไปตั้งแต่อนุบาลหนึ่งจนถึงประถมศึกษาปีที่หก

         ในห้องพักครูบนชั้นสอง วิวัฒน์ที่อยู่เตรียมเนื้อหาการเรียนการสอนสำหรับวันพรุ่งนี้จนเสร็จ เพิ่งรู้ตัวว่าครูสองคนที่นั่งทำงานอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้กลับกันไปหมดแล้ว เหลียวมองตรวจสอบสภาพแสงสีของบรรยากาศภายนอก จึงเริ่มลงมือเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานบ้าง

         แม้ไม่ได้ไกลปืนเที่ยงจนถึงกับขนาดไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าหากเลือกได้ ส่วนใหญ่คงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ทำให้สุขสบายมากกว่านี้ และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ครูในโรงเรียนนี้มีค่อนข้างน้อย

         ครูแต่ละคนต้องรับผิดชอบการสอนหลายวิชา ต้องเตรียมเนื้อหาการสอนกันจนเย็นย่ำดึกดื่นอยู่เสมอเป็นประจำ ทว่าครูที่เลือกจะมาอยู่ที่นี่ย่อมรู้เรื่องพวกนี้ดี และยินดีเต็มใจที่จะเสียสละกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

         วิวัฒน์ยอมรับกับตัวเองอย่างซื่อตรงว่าเขาไม่เคยสนใจในอาชีพครู ไม่เคยสักครั้งที่คิดจะประกอบอาชีพพ่อพิมพ์ของชาติอาชีพนี้ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็เพียงแค่อยากหลีกหนีออกมาให้ไกลจากอะไรต่าง ๆ มากมาย ที่พร้อมใจรุมเร้าประเดประดังเข้ามาใส่ชีวิต อย่างไม่ทันให้ได้หยุดพักหรือให้เวลาเขาตั้งสติเลยสักนิด

         ถอนตัวออกมาจากเรื่องวุ่นวาย ใช้ชีวิตเงียบ ๆ อย่างสุขสงบ หาอะไรทำไปสักพัก แล้วค่อยตั้งหลักกลับมาคิดอีกหนว่าจะเอาอย่างไรต่อไป...ก็เท่านั้น

         จนกระทั่งความใสซื่อไร้เดียงสาของเหล่าเด็กน้อยที่เขาได้สัมผัส ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป

         เขาได้ค้นพบด้วยตัวเองแล้วว่าครูนั้นไม่ใช่อาชีพ หากแต่คือผู้ได้รับโอกาสให้ถากถางทางเดิน ปูพื้นฐานด้านต่าง ๆ ทั้งความรู้ คุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้อนาคตของเหล่าเด็กน้อยได้เดินไปในทางที่ถูกที่ควร ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยกำลังความสามารถและคุณธรรม เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ดีของสังคมต่อไป

         ถึงเวลานี้เขากลับกลายเป็นครูอีกคนหนึ่งที่ภูมิใจ และสามารถบอกกับใครต่อใครได้อย่างเต็มปากว่าตนเองรักในอาชีพนี้ขนาดไหน

         เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้ตกหล่นหลงลืมอะไรไปแล้ว ก็คว้ากระเป๋าเป้ใบเก่งใบเดียวขึ้นสะพายหลัง ตรวจสอบสภาพความเรียบร้อยของเสื้อผ้า แวะล้างหน้าล้างตา เสยสางเส้นผมหยาบหนาสีดำสนิทในทรงรองทรงสั้นให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเริ่มเดินทางกลับที่พักของตนเองบ้าง

         ที่บริเวณปากทางเข้าโรงเรียนและตลาดสดชุมชน มีมอเตอร์ไซด์รับจ้างไว้คอยให้บริการรับส่งทุกเช้าเย็นในช่วงเวลาเร่งรีบ แต่ในเวลาเช่นนี้ที่ทั้งโรงเรียนแทบจะร้างผู้คน เหล่าผู้ให้บริการจึงต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว

         ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสักนิดสำหรับวิวัฒน์ เพราะที่พักอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก ยามปกติเขาจึงชอบที่จะเดินเท้ากินลมชมวิว แวะคุยแวะซื้อของกินของใช้จากร้านค้าระหว่างทางมากกว่า

         ชายหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้ชอบที่จะใช้เวลาครู่หนึ่งไปกับการซึมซับดื่มด่ำบรรยากาศ ชมนกชมไม้และธรรมชาติของสองข้างทาง สูดรับเอาอณูอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเข้าไว้จนเต็มปอด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดเหมือนกันที่เขาเริ่มรู้สึกชื่นชอบกิจกรรมง่าย ๆ ในช่วงหลังเลิกเรียนแบบนี้ รู้ตัวอีกทีมันก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว

         เสมือนกับว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ เพื่ออยากจะชดเชยเวลาที่เคยสูญเสีย ทดแทนทุกอย่างซึ่งดูเหมือนจะสูญเปล่าและไร้ประโยชน์ เขาทำเพื่อที่จะนำความสงบสุขของช่วงชีวิตเหล่านั้นกลับคืนให้แก่ตัวเอง

         หรือไม่บางทีมันก็อาจเป็นเพียงแค่การกระทำจากจิตใต้สำนึก เพื่อเวลาที่อาจจะไม่มีภาพแห่งอนาคตเหลือให้เห็นอีกแล้วนับจากนี้

         บ้านไม้ชั้นเดียวยกใต้ถุนสูง อาคารพาณิชย์ขนาดไม่กี่คูหา แปลงเพาะไม้ดอกไม้ประดับ สวนผลไม้ขนาดย่อม ๆ นาข้าวเขียวขจีที่เวลานี้สีเพี้ยนหม่นไปตามสภาพแสง ครูหนุ่มใช้เวลาอย่างเรื่อยเฉื่อยไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งมาถึงเพิงขายอาหารตามสั่ง ที่ฝากท้องอยู่เป็นประจำ

         “กลับเย็นนะครับครู มา ๆ วันนี้รับอะไรดีครับ อร่อยทุกอย่างเหมือนเดิม”

         ลุงอ่ำ...ชายผมสั้นเกรียนสีดำแซมขาวทั้งศีรษะ ผู้ซึ่งสั่งสมประสบการณ์ชีวิตด้วยตะหลิวและกระทะมาอย่างโชกโชน ตั้งแต่หนุ่มกระทั่งอายุล่วงเลยเลยห้าสิบไปหลายปี จนได้ครอบครองฝีมือการปรุงอาหารแสนจัดจ้านถูกอกถูกใจใครต่อใคร กล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้นด้วยเสียงดัง และรอยยิ้มกว้างอย่างคนจริงใจตรงไปตรงมา

         “ขอเป็นข้าวไข่เจียวหมูสับ แล้วก็แกงน้ำใสง่าย ๆ อีกสักถ้วยก็แล้วกันครับ ลุง”

         “จัดไป รอแป๊บเดียวครับ ครู”

         เห็นอีกคนพูดไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดีแล้ว ก็ทำเอาวิวัฒน์รู้สึกเบิกบานจนอดที่จะต้องยิ้มตามออกมาด้วยไม่ได้เหมือนกัน

         ทักทายพอหอมปากหอมคอ รับสั่งออร์เดอร์กันเรียบร้อย ชายหนุ่มก็พาตัวเองไปยังโต๊ะเหล็กพับทรงสี่เหลี่ยมตัวเดิมที่เคยนั่งอยู่เป็นประจำ แล้วจึงหย่อนตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้พลาสติก ขยับร่างกายดูนิดหน่อยเพื่อให้แน่ใจว่า ขาเก้าอี้จะไม่อ่อนยวบยาบพับหักลงไปจนทำให้ก้นจ้ำเบ้าต้องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ

         มองร่องรอยกระดำกระด่าง และสนิมสีน้ำตาลแดงบนโต๊ะตรงจุดที่สีน้ำเงินหลุดร่อนไป เหลียวซ้ายแลขวาสำรวจมองเพิง ซึ่งมีเพียงเสาไม้เก่า ๆ จำนวนสี่ต้นค้ำยันคานและหลังคาสภาพเดียวกันเอาไว้ตามความเคยชิน แล้วจึงค่อยเหม่อมองไกลออกไปยังสภาพแสงสีของบรรยากาศในเวลานี้

         ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว สีแดงจัดจ้าที่อาบย้อมฟ้าทั้งผืนไว้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหม่นมืดมัวซัวลงไปถนัดตา เงามืดตามซอกมุมต่าง ๆ เริ่มคืบคลานยึดครองอาณาเขตแห่งห้วงรัตติกาลอย่างเชื่องช้าใจเย็น

         จู่ ๆ ก็รู้สึกวูบไหวในอกขึ้นมาดื้อ ๆ แววตาที่ทอดมองออกไปไกล สะท้อนอารมณ์หวั่นไหวออกมาให้ได้เห็น

         เขาไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านี้ เขาไม่เคยชอบบรรยากาศที่ดูหดหู่และสิ้นหวังอย่างนี้ ไม่เคยชอบบรรยากาศ ไม่ชอบอะไรสักอย่างในช่วงเวลาแบบนี้อีกเลย นับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้น

         วันที่ดวงใจบอบช้ำแสนสาหัส ต้องการกำลังใจ การสัมผัสและคำปลอบโยนเพื่อรักษาเยียวยา แต่สุดท้ายความเงียบเชียบว่างเปล่าที่ได้รับมาแทนนั้น ก็กลับกลายเป็นค้อนเหล็กขนาดมหึมาที่เงื้อง่าขึ้นสูงและทุบลงมาจนสุดแรง ทำลายดวงใจเปราะบางจนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีมาจนทุกวันนี้

         วิวัฒน์รีบสลัดภาพในหัวที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดทิ้งไปอย่างรู้ตัว ก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนให้เรื่องราวอันหลากหลายอื่น ๆ เลื่อนไหลเข้ามาแทน โดยหวังกลบเกลื่อนปกปิดร่องรอยแห่งอารมณ์นั้นให้หมดไป

         “มาแล้ว ๆ ครับครู” ก็พอดีกับได้เสียงของลุงอ่ำ ช่วยพลิกแก้สถานการณ์อึดอัดกระอักกระอ่วนทางใจที่กำลังรู้สึกอยู่ไว้ได้ทัน “นี่เลย ข้าวไข่เจียวหมูสับร้อน ๆ กับแกงจืดเต้าหู้ไข่ง่าย ๆ ซดคล่องคอนักแหละครับ”

         “ขอบคุณครับ ลุง” ครูหนุ่มตอบรับด้วยรอยยิ้ม ใช้ช้อนตักข้าวพร้อมไข่เจียวขนาดพอดีคำเข้าปาก แล้วจึงซดน้ำแกงตามเข้าไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำชื่นชมออกมา “อร่อยถูกปากเหมือนเดิมเลยครับ”

         “อร่อยก็กินเยอะ ๆ เลยครับ ถ้าไม่พอเดี๋ยวผมทำเพิ่มให้...ฟรีเลยเอ้า” ผู้ได้รับคำชื่นชมยิ้มไม่หุบ ยืดอกพูดไปหัวเราะร่วนไปอย่างถูกอกถูกใจ “ว่าแต่ว่า ผมว่าครูหาเมียดี ๆ สักคน แล้วลงหลักปักฐานที่นี่เสียให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือครับ มีคนคอยยิ้มต้อนรับ ปรนนิบัติพัดวี ทำกับข้าวที่อยากกินให้ทุกวัน ไม่ต้องมาฝากท้องไว้กับร้านอาหารตามสั่งแบบนี้ นี่ถ้าครูสนใจจะให้ผมแนะนำสาว ๆ ให้ก็ยังไหวนะครับ เอ...หรือว่าเกรงใจครูเจนครับ ครู”

         วิวัฒน์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ หัวเราะหึ ๆ ในลำคอส่งกลับไปให้แทนคำตอบ และเมื่อเจ้าของร้านคืนความเป็นส่วนตัวให้แล้ว เขาจึงเริ่มลงมือจัดการกับอาหารมื้อเย็นของตนเองต่อไป

         แสงสุดท้ายบนฟ้าอ่อนกำลังจนเลือนหายไปในที่สุด ความมืดมัวแห่งรัตติกาลแผ่ขยายกลืนกินบรรยากาศไปได้อย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงแสงดวงจ้อยซึ่งเกิดจากฝีมือการรังสรรค์ของมนุษย์ที่สุกสกาวขึ้นมาแทนเท่านั้น ที่พอจะยังหาญกล้าท้าสู้ ต่อต้านกับพลังอำนาจแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้นได้

         เวลาครู่หนึ่งถูกใช้ไปกับการจัดการอาหารจานโปรดจนเรียบร้อย หลังจ่ายเงินและกล่าวคำร่ำลากับลุงอ่ำ วิวัฒน์จึงเริ่มต้นเดินทางเพื่อกลับไปยังที่พักซึ่งอยู่อีกไม่ไกลมากแล้วอีกครั้ง

         เดินเท้าไปตามแนวถนนสายหลักต่ออีกครู่เดียว ก็เลี้ยวแยกออกไปตามทางลูกรังสายย่อยเล็ก ๆ ที่ลากยาวตัดผ่านที่ดินซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ อีกทั้งยังรกชัฏไปด้วยหญ้าคาสูงท่วมหัวและวัชพืชนานาพันธุ์ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่บ้านเช่าไม้ยกใต้ถุนสูงหลังหนึ่ง ที่ปลูกอยู่ตรงเกือบจะสุดทางเดินเส้นนี้

         “ครูจะมาสอนเด็ก ๆ ที่นี่หรือคะ ดี ๆ โรงเรียนจะได้มีครูเพิ่งเสียที แล้วครูมีบ้านมีที่พักหรือยังล่ะ ถ้าไม่มีเช่าบ้านฉันได้นะ บ้านเก่าได้รับตกทอดมา ไม่มีใครอยู่แต่ยังเอี่ยมเหมือนใหม่ อยู่สบายเชียวละ ฉันคิดไม่แพงหรอก แหม คนคิดดีทำดีฉันก็ต้องช่วยเหลือ ต้องสนับสนุนนั่นแหละ จริงไหม เออ...ว่าแต่ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครู ฉันขอถามอะไรนิดเดียว ครูน่ะ กลัวผีไหม”

         นึกไปถึงคำพูดยาวเหยียดแบบไม่ยอมให้ใครแทรกได้แม้แต่คำเดียวของป้าแป้น เจ้าของบ้านพักที่เขาเช่าอยู่ในขณะนี้เมื่อครั้งแรกเจอกันแล้วก็อดขำไม่ได้

         เพราะในย่านนี้ยังคงขาดแคลนสถานที่เดินเล่นอย่างห้างสรรพสินค้า ที่นัดพบนั่งกินนั่งคุยกันเพลิน ๆ อย่างร้านอาหารหรือคาเฟ่ ยิ่งเป็นสถานบันเทิงหลากแสงหลายสีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่

         เมื่อไม่มีอะไรให้อยู่ทำ อยู่หาความสำราญที่ภายนอก พอตกเย็นต่างคนจึงต่างมุ่งหน้ากลับที่พัก ตั้งวงสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนในห้องเช่า คุยเล่นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของวันกับคนที่บ้าน หรือแม้แต่แค่จะนอนดูทีวีเฉย ๆ สบาย ๆ ก็ยังดีกว่าเที่ยวไปเตร็จเตร่มืด ๆ อยู่ข้างนอกโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร

         และก็เพราะว่าเป็นอย่างนั้น พอตะวันตกดินลงไปแล้ว ถนนสายหลักที่ใช้สัญจรก็แทบจะร้างผู้คนรถราให้ได้เห็น ถ้าขนาดถนนใหญ่ยังมีสภาพแบบนั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงทางโทหรือตามตรอกซอกซอยเล็ก ๆ อย่างที่เขากำลังเดินอยู่ในขณะนี้เลย ว่ามันไร้เงาของผู้คนและเงียบวังเวงจนน่ากลัวขนาดไหน

         ตอนที่ป้าแป้นถามเขาว่ากลัวผีไหม แกคงไม่ได้ตั้งใจที่จะขู่ให้กลัวหรือพูดหลอกให้เขาคิดมาก แต่คงถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเกรงว่าหากเขาเป็นคนขวัญอ่อนจริง ๆ จะอยู่ไม่ไหว ถ้าต้องมาเจอบรรยากาศหลอน ๆ ของบ้านไม้เก่าแก่ แถมยังทางเข้ารกร้างชวนวังเวงเสียวสันหลังอย่างนี้อีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่