สวัสดีค่ะ พวกเราได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จังหวัดกระบี่ เป็นระยะเวลา 3 วัน 2 คืน การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาเสรีที่พวกเราลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัย หลังจากประชุมร่วมกันเพื่อเลือกจุดหมายปลายทาง ผลสรุปที่ได้คือ “เกาะปอ อ่าวนาง คลองหรูด จังหวัดกระบี่” ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีทั้งธรรมชาติสวยงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ
เมื่อได้สถานที่แล้ว พวกเราก็รีบจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วเครื่องบิน โฮมสเตย์ และการวางแผนการเดินทาง โดยเราเดินทางกันในวันที่ 5–7 ตุลาคม 2568 ซึ่งตรงกับช่วง Low Season ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่อนข้างประหยัด ตั๋วเครื่องบินไป–กลับมีราคาเพียงประมาณ 1,600 บาทต่อคน
ในวันเดินทาง พวกเรานัดรวมตัวกันตั้งแต่ตี 3 ที่หน้ามหาวิทยาลัย ก่อนเรียกแกรปเพื่อเดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 100 บาท (รวมทั้งหมด 600 บาท) เครื่องบินออกจากกรุงเทพฯ เวลา 06.25 น. และใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ พวกเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติกระบี่อย่างเรียบร้อย
จากสนามบิน พวกเรานั่งรถตู้เดินทางต่อไปยัง
ชุมชนเมืองเก่าเกาะลันตา โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 200 บาท ก่อนจะข้ามไปยังเกาะปอ พวกเราแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน
ครัวลันตาใหญ่ บนเกาะลันตาใหญ่
และด้วยความตั้งใจที่อยากซึมซับบรรยากาศของชุมชนเมืองเก่าเกาะลันตา พวกเราจึงเลือกเดินเที่ยวชมสองฝั่งถนนแทนการนั่งรถ ระหว่างทางเต็มไปด้วยร้านค้าท้องถิ่นหลากหลายประเภท ทั้งร้านขายของฝาก เสื้อผ้า สินค้าพื้นเมือง ไปจนถึงร้านอาหารที่ชาวบ้านนำมาจำหน่ายบริเวณหน้าบ้าน ทำให้พวกเราได้สัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนอย่างใกล้ชิด
จากนั้นพวกเราเดินทางข้ามไปยังเกาะปอด้วยเรือของคุณลุงเจ้าของโฮมสเตย์ เมื่อถึงที่พัก ทุกคนได้พักผ่อนและรับประทานอาหารกลางวันตามอัธยาศัย หลังจากนั้นจึงแยกย้ายกันพัก
จนถึงเวลา 14.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเรานัดกันออกทัวร์รอบเกาะปอ เพื่อชมวิถีชีวิตและบรรยากาศของชุมชนท้องถิ่น พวกเรามีโอกาสได้ขี่ซาเล้ง เป็นการเปิดประสบการณ์ของเพื่อนหลาย ๆ คนทีเดียว
ต่อมาในเวลา 16.00 น. คุณลุงพาพวกเราออกเรือไปตกปลา วันนั้นเราตกปลาได้ทั้งหมดสี่ตัว เนื่องจากเป็นวันน้ำนิ่งจึงไม่ค่อยได้ปลามากนัก
เมื่อกลับถึงโฮมสเตย์ พวกเราก็รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน พร้อมชมวิวทะเลและลมเย็น ๆ อย่างผ่อนคลาย ก่อนจะแยกย้ายเข้านอนในเวลาประมาณสองทุ่ม
เช้าวันถัดมา พวกเราตื่นกันตอน 06.00 น. เพื่อเตรียมออกไปดึงหมึกสายในเวลา 07.00 น.
เราได้ลองจับหมึกกันแบบสด ๆ นอกจากนี้ยังได้ลองบังคับเรืออีกด้วย ถือว่าได้ลองเรียนรู้วิถีชีวิตชาวประมงไปอีกขั้น
หลังจากจับหมึกเสร็จ พวกเรากลับมาพายเรือคายัคเล่นรอบเกาะอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางออกจากเกาะปอไปยังทุ่งหยีเพ็งในเวลา 10.00 น.
พวกเราจะเดินทางไปที่ ทุ่งหยีเพ็งด้วยรถสองแถวกันนะคะ เมื่อเราเดินทางมาถึงที่ทุ่งหยีเพ็ง พวกเราได้มีการสอบถามและพูดคุยกับคุณลุงเจ้าของบ้านที่ให้ใช้สถานที่สำหรับทำ workshop และคุณลุง นราธร หงษ์ทอง ผู้ประสานงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน
หลังการพูดคุยได้ความรู้เกี่ยวกับทุ่งหยีเพ็งแล้ว พวกเราก็จะไปทำ workshop ชาลำเพ็งและข้าวสองดังกันนะคะ ในส่วนการทำworkshop เราก็จะมีพี่เจ้าบุ๋มและคุณแม่ มาคอยให้ความรู้ค่ะ
ทำข้าวสองดังโดยสอนตั้งแต่ขั้นตอนเลือกวัตถุดิบ การผสมส่วนผสมไปจนถึงการจัดจาน
ข้วสองดังนั้นจะมีรสชาติมัน ๆ หวาน ๆ หอมกลิ่นข้าว กินกับมะพร้าวอ่อนและน้ำตาลอร่อยไปอีกแบบ
ในส่วนของ workshop ชาลำเพ็ง ทางพี่เจ้าบุ๋มและคุณแม่จะพาพวกเราทำตั้งแต่การเก็บใบชาว่าควรเก็บใบแบบไหน การหั่นใบชา การคั่วชา และยังมีการชงชาแบบร้อน และการชงชาแบบเย็น คือชาลำเพ็งผสมน้ำผึ้งมะนาว อร่อยมากเลยค่ะ
ไปเก็บใบชาลำเพ็งที่สวนหน้าบ้านพี่เจ้าบุ๋ม
ลองหั่นเตรียมใบชาเพื่อไปคั่ว

ลองคั่วใบชาลำเพ็ง

ลองทำชาลำเพ็งเย็นทานคู่กับข้างสองดัง

พอเราทำworkshop กันเรียบร้อย แล้ว เราก็จะไปทานอาหารกลางวันที่ทาง workshop เตรียมไว้ให้พวกเรานะคะ อยากจะบอกว่าอาหารหน้าตาน่าทานและรสชาติอร่อยมากเลยค่ะ
หลังจากที่พวกเราทานอาหารกลางวันเรียบร้อยนะคะ พวกเราก็จะเดินไปที่อ่าวนางโดยรถสองแถวจะไปส่งพวกเราขึ้นรถตู้ที่สะพานสิริลันตาค่ะ
หลังจากที่พวกเราถึงอ่าวนางนะคะ พวกเราก็ไปเช็คอินที่ อนันตรบุรินทร์ รีสอร์ทค่ะ พวกเราก็แยกย้ายพักผ่อนกันอยากจะบอกว่าโรงแรมดีมากเลยค่ะ มีสวนน้ำให้เล่น ที่นอนนุ่มมาก นอนทีคือหลับจนไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกเลยค่ะ
พอถึงมื้อเย็น พวกเราได้เดินทางไปที่ อ่าวนางแลนด์มาร์คไนท์มาร์เก็ต เพื่อที่จะทานข้าวเย็นกัน แต่พอเดินตลาดแล้วรู้สึกของมีให้เลือกทานน้อย พวกเราเลยตกลงกันไปทานร้านส้มตำกันค่ะ ร้านชื่อว่า อีสานส้มตำ รสชาติเด็ดสุดๆ แล้วแม่ค้าถามว่าเอาเผ็ดไหม เพื่อนที่ไปด้วยดันตอบว่าเอาเผ็ดอร่อย เผ็ดถึงทรวงเลยแหละค่ะ หลังจากที่เราทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยพวกเราก็ไปถ่ายรูปเล่นที่ริมชายหาดอ่าวนางและเดินทางกลับที่พักเพื่อพักผ่อนค่ะ
สายวันต่อมาหลังจากเช็คเอ้าท์ แล้ว พวกเราเลือกทานอาหารกันที่ร้าน The Brightde Bistro ค่ะ อาหารเป็นสไตล์ Breakfast และ spaghetti พวกเราเลยสั่งมาแบบแชร์ๆกันค่ะ อาหารอร่อยมากเลยค่ะ
พอพวกเราทานอาหารเสร็จก็ไปเดินเล่นรับลมและถ่ายรูปเล่นที่ชายหาดอ่าวนางก่อนที่พวกเราจะเดินทางไปพายเรือคายัด ที่คลองหรูดกันต่อค่ะ
เป้าหมายต่อไปของเราคือ คลองหนองทะเล หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อว่า
“คลองหรูด” สายน้ำใสสีฟ้าอมเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแนวป่าร่มครึ้มของอำเภอเมืองกระบี่ คลองแห่งนี้มีเอกลักษณ์ตรงน้ำที่ใสราวกระจกจนสามารถมองเห็นพื้นทรายและพืชน้ำที่ไหวตามกระแสน้ำได้อย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อแสงแดดตกกระทบ ผิวน้ำจะสะท้อนประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในป่า
เราเดินทางจากอ่าวนางมายังคลองหรูดด้วย
Grab ใช้เวลาไม่นาน เมื่อมาถึงสามารถให้คนขับไปจอดที่ลานจอดรถได้เลย หากขับรถมาเองอาจมีค่าจอดเพิ่มเติม แต่ถ้ามาด้วย Grab สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เมื่อถึงแล้วสามารถฝากกระเป๋าไว้กับเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ที่นี่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.
กิจกรรมยอดนิยมของที่นี่คือ การพายเรือคายักชมความงามของคลองหรูด โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 300 บาทต่อลำ หากต้องการให้มีคนพายนำทางจะเพิ่มอีกเพียง 150 บาท ซึ่งพี่คนพายจะคอยบอกเส้นทาง แนะนำมุมถ่ายรูปสวย ๆ และช่วยควบคุมทิศทางให้ปลอดภัย แต่พวกเราเลือกที่จะพายกันเอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสนุกท้าทายให้ทริปนี้อีกหน่อย
ช่วงแรกของการพายจะรู้สึกค่อนข้างร้อน เพราะแสงแดดแรงในช่วงเที่ยงและต้องออกแรงพายอยู่ตลอด แต่เมื่อพายลึกเข้าไปถึงแนวป่าที่มุ่งหน้าไปยัง บ่อน้ำผุด อากาศจะเริ่มเย็นลงอย่างชัดเจน ต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายรอบคลองช่วยบังแสงแดดจนกลายเป็นร่มเงาธรรมชาติ บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงไม้พายกระทบผืนน้ำใสที่เย็นสดชื่นตลอดทาง
น้ำในคลองใสมากจนเห็นตอไม้และหินใต้น้ำได้อย่างชัดเจน บางช่วงจะเห็นภูเขาโอบล้อมอยู่รอบ ๆ ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม เป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย มี จุดให้ลงเล่นน้ำ อยู่บางบริเวณที่ทางเจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ ซึ่งปลอดภัยและไม่กระทบระบบนิเวศ แต่หากมีป้ายห้ามลงเล่นน้ำก็ควรเคารพกติกา เพื่อช่วยกันรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ระหว่างพายเรือคายักควรระมัดระวัง ตอไม้ใต้น้ำ ที่มีอยู่ค่อนข้างมาก บางส่วนโผล่พ้นผิวน้ำ อาจทำให้เรือไปติดได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการพายคายักอาจต้องอาศัยแรงและความสามัคคีของทีมเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์สนุก ๆ ที่ได้ทั้งเหงื่อและเสียงหัวเราะท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามจนยากจะลืม
หลังจากที่พวกเราพายเรือจนหนำใจแล้ว ก็ขึ้นมาพัก เปลี่ยนชุด และเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยที่คลองหรูดมีบริการห้องน้ำฟรี แต่หากต้องการอาบน้ำจะมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเพียง 10 บาท เท่านั้น
ก่อนกลับ พวกเราแวะเติมพลังกันที่ร้าน “มากันตำแซ่บ” ร้านอาหารชื่อดังที่ผสมผสานความอร่อยของ ส้มตำ อาหารอิตาเลียน และอาหารใต้ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว แถมยังเป็นร้านอาหาร ฮาลาล ที่มีเมนูให้เลือกหลากหลาย รวมถึง ติ่มซำร้อน ๆ อีกด้วย วันนั้นพวกเราสั่งกันอย่างจุใจ ทั้งหอยแครงนึ่ง สเต๊กไก่ ข้าวผัดรวมมิตรไข่ดาว ซีซาร์สลัด และติ่มซำกว่า 50 เข่ง! เรียกได้ว่ามื้อสุดท้ายของทริปนี้อร่อยจนหายเหนื่อยกันไปเลย
ถือเป็นการปิดท้ายทริปกระบี่ 3 วัน 2 คืนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความทรงจำดี ๆ และความงดงามของธรรมชาติที่ยากจะลืมเลือน
สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป พวกเราเดินทางทั้งหมด 7 คน โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ประมาณ
ห้าพันกว่าบาท ครอบคลุมทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าการเดินทาง กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงเวิร์กช็อป ตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน เรียกได้ว่าเป็นทริปที่คุ้มค่าและเต็มไปด้วยประสบการณ์จริง ๆ
หากใครสนใจรายละเอียดการเดินทางแบบเต็ม ๆ สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ที่ยูทูบของพวกเรา:
https://youtu.be/6WBfBlV2pwg?feature=shared
[CR] 3 วัน 2 คืนตามรอยคลื่นและเขา จากเกาะปอสู่ลันตา ผ่านอ่าวนางสู่คลองหรูด
เมื่อได้สถานที่แล้ว พวกเราก็รีบจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วเครื่องบิน โฮมสเตย์ และการวางแผนการเดินทาง โดยเราเดินทางกันในวันที่ 5–7 ตุลาคม 2568 ซึ่งตรงกับช่วง Low Season ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่อนข้างประหยัด ตั๋วเครื่องบินไป–กลับมีราคาเพียงประมาณ 1,600 บาทต่อคน
ในวันเดินทาง พวกเรานัดรวมตัวกันตั้งแต่ตี 3 ที่หน้ามหาวิทยาลัย ก่อนเรียกแกรปเพื่อเดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 100 บาท (รวมทั้งหมด 600 บาท) เครื่องบินออกจากกรุงเทพฯ เวลา 06.25 น. และใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ พวกเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติกระบี่อย่างเรียบร้อย
พวกเราจะเดินทางไปที่ ทุ่งหยีเพ็งด้วยรถสองแถวกันนะคะ เมื่อเราเดินทางมาถึงที่ทุ่งหยีเพ็ง พวกเราได้มีการสอบถามและพูดคุยกับคุณลุงเจ้าของบ้านที่ให้ใช้สถานที่สำหรับทำ workshop และคุณลุง นราธร หงษ์ทอง ผู้ประสานงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน
ทำข้าวสองดังโดยสอนตั้งแต่ขั้นตอนเลือกวัตถุดิบ การผสมส่วนผสมไปจนถึงการจัดจาน
เป้าหมายต่อไปของเราคือ คลองหนองทะเล หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อว่า “คลองหรูด” สายน้ำใสสีฟ้าอมเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแนวป่าร่มครึ้มของอำเภอเมืองกระบี่ คลองแห่งนี้มีเอกลักษณ์ตรงน้ำที่ใสราวกระจกจนสามารถมองเห็นพื้นทรายและพืชน้ำที่ไหวตามกระแสน้ำได้อย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อแสงแดดตกกระทบ ผิวน้ำจะสะท้อนประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในป่า
กิจกรรมยอดนิยมของที่นี่คือ การพายเรือคายักชมความงามของคลองหรูด โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 300 บาทต่อลำ หากต้องการให้มีคนพายนำทางจะเพิ่มอีกเพียง 150 บาท ซึ่งพี่คนพายจะคอยบอกเส้นทาง แนะนำมุมถ่ายรูปสวย ๆ และช่วยควบคุมทิศทางให้ปลอดภัย แต่พวกเราเลือกที่จะพายกันเอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสนุกท้าทายให้ทริปนี้อีกหน่อย
ช่วงแรกของการพายจะรู้สึกค่อนข้างร้อน เพราะแสงแดดแรงในช่วงเที่ยงและต้องออกแรงพายอยู่ตลอด แต่เมื่อพายลึกเข้าไปถึงแนวป่าที่มุ่งหน้าไปยัง บ่อน้ำผุด อากาศจะเริ่มเย็นลงอย่างชัดเจน ต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายรอบคลองช่วยบังแสงแดดจนกลายเป็นร่มเงาธรรมชาติ บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงไม้พายกระทบผืนน้ำใสที่เย็นสดชื่นตลอดทาง
อย่างไรก็ตาม ระหว่างพายเรือคายักควรระมัดระวัง ตอไม้ใต้น้ำ ที่มีอยู่ค่อนข้างมาก บางส่วนโผล่พ้นผิวน้ำ อาจทำให้เรือไปติดได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการพายคายักอาจต้องอาศัยแรงและความสามัคคีของทีมเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์สนุก ๆ ที่ได้ทั้งเหงื่อและเสียงหัวเราะท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามจนยากจะลืม
ก่อนกลับ พวกเราแวะเติมพลังกันที่ร้าน “มากันตำแซ่บ” ร้านอาหารชื่อดังที่ผสมผสานความอร่อยของ ส้มตำ อาหารอิตาเลียน และอาหารใต้ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว แถมยังเป็นร้านอาหาร ฮาลาล ที่มีเมนูให้เลือกหลากหลาย รวมถึง ติ่มซำร้อน ๆ อีกด้วย วันนั้นพวกเราสั่งกันอย่างจุใจ ทั้งหอยแครงนึ่ง สเต๊กไก่ ข้าวผัดรวมมิตรไข่ดาว ซีซาร์สลัด และติ่มซำกว่า 50 เข่ง! เรียกได้ว่ามื้อสุดท้ายของทริปนี้อร่อยจนหายเหนื่อยกันไปเลย
สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป พวกเราเดินทางทั้งหมด 7 คน โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ประมาณ ห้าพันกว่าบาท ครอบคลุมทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าการเดินทาง กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงเวิร์กช็อป ตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน เรียกได้ว่าเป็นทริปที่คุ้มค่าและเต็มไปด้วยประสบการณ์จริง ๆ
หากใครสนใจรายละเอียดการเดินทางแบบเต็ม ๆ สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ที่ยูทูบของพวกเรา:
https://youtu.be/6WBfBlV2pwg?feature=shared
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้