[CR] No.79 La Chimera : ล่าขุมทรัพย์ รับเชื่อมจิต


-  ดูยากกว่าที่คิดแต่ก็มีสารบางอย่างที่จับใจความได้อยู่ ถึงแม้จะอ่านเรื่องย่อมาก่อนแล้วก็ตาม ด้วยความที่หนังยุโรปมีสไตล์การเล่าที่ให้อิสระตามใจฉันของผู้กำกับได้อย่างสะดวกโยธินจึงทำให้เราสามารถเลือกเสพหรือหยิบจับสารที่ไหลผ่านตาพอให้กลายเป็นประเด็นได้ไม่มากไม่น้อยโดยไม่มีเพดานกั้น ถ้าเปรียบเทียบการดูหนังประเภทนี้ก็เหมือนกับการทำข้อสอบอัตนัยของมหาลัยที่ไม่ได้เน้นถูกต้องหรือผิดเพียงแค่คำตัดสินจากมุมมองของตัวอาจารย์แต่อยากรู้ว่าสิ่งที่เราดูมาตั้งแต่ต้นจนจบ เราได้อะไรจากเรื่องนี้กันบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน แน่นอนว่าพอไม่ได้มีเพดานกำหนด ความตึงเครียดระหว่างดูค่อย ๆ ลดหย่อนลง ไม่ต้องนั่งกังวลกลัวว่าไอ้ที่พรรณนาไปจะเข้าหูหรือถูกใจอาจารย์หรือผู้กำกับหรือเปล่า ? ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นได้ชัดขึ้นคือ ความบันเทิงก็ถูกลดบทบาทลงไปด้วยแล้วให้พื้นที่ในการใส่นัยยะสัญญะที่มาพร้อมกับ Details ตามเจตนารมย์ของตัวผู้กำกับหรือการอิงจากตัวนิยายจึงทำให้ระหว่างดูไปเราต้องคิดตามอยู่ตลอดด้วยความสงสัยใคร่รู้ ไม่แปลกใจที่จะรู้สึกวูบหลับตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นอย่างนี้เป็นระยะไปจนจะจบเรื่อง

-  รู้สึกว่ากว่าจะจูนติดก็ปาเข้าไปกลางเรื่อง เพราะเริ่มเรื่องมาหนังก็ไม่ได้บอกอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากนำเสนอด้วยภาพตามวิวข้างทางผ่านมุมมองของพระเอกที่เป็นคนนอกแต่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศอื่นที่ไม่ใช่บ้านของตนเองแล้วตัดข้ามไปอีกฉากแถมทิ้งปมบางอย่างของตัวละครสาวปริศนาคนหนึ่งในลักษณะของการ Flashback ให้เราสงสัยอีกกระทงโดยไม่ทันให้เราได้เสพ Moment ใน Scene นั้นให้เสร็จเรียบร้อยก็หนีไปฉากใหม่ทันที นี้ยังไม่รวมบรรดาตัวละครสมทบหลายคนที่พาเหรดกันเข้ามาด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่พึงไม่น่าไว้ใจ บางคนก็มีความจำเป็นกับบทบางคนก็ไม่รู้จะใส่มาเพื่ออะไร ? ก็เลยจับความสัมพันธ์ได้บ้างไม่ได้บ้างว่าคนนั้นคนนี้มี Something อะไรกับพระเอก ยกเว้นตัวสาวใช้ลูกอ่อนนี่แหล่ะที่จับต้องง่ายสุด 

-  แถมโทนของหนังไม่ว่าจะเป็น Part ผจญภัยนอกสถานที่เพื่อตามหาวัตถุ จะเป็น Fantasy ที่พระเอกมีญาณวิเศษที่สามารถเชื่อมจิตกับสมบัติที่ซ่อนอยู่ตามใต้ดิน หรือ จะเล่า Drama ความสัมพันธ์ของพระเอกกับพวกสาว ๆ ในคฤหาสน์และพวกโจรไทบ้านก็ใส่เข้ามาตรง ๆ โดยที่ไม่ทำให้เราอินซะเท่าไหร่ ภาพรวมมัน Worldwide ไปจนแก่นสารที่เราอยากจะจับจึงลอยตามน้ำไปคนละทิศละทางอย่างสะเปะสะปะแถมเกิดอาการสตั๊นท์เป็นระยะ ไม่รู้จะจับอันไหนก่อนดีทั้งที่สารที่สื่อนำเสนอแต่ละอย่างน่าสนใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะ Part โจรกรรมวัตถุโบราณที่ผมรู้สึกว่ามันจับต้องได้แล้วไป Link กับประเด็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมระหว่างคนชายขอบที่ขโมยเพื่อเงินและปากท้องกับฝั่งนายทุนที่ทำเพื่อชื่อเสียงและอำนาจทางธุรกิจอีกทีนึง แต่พอผู้กำกับเลือกที่จะลดบทบาทความ Entertain ลงแน่นอนว่า Part ผจญภัยและการโจรกรรมที่เราถูกผูกขาดกับความสนุกในหนังแนวนี้ไปแล้วจึงทำให้การเล่าเรื่องมันจืดชืดและง่ายไปหมด ที่จริงถ้าผู้กำกับเลือกตีประเด็นในส่วนตรงนี้ให้ละเอียดกว่านี้จะทำให้แก่นสารมีมิติที่แข็งแรงขึ้นและซื้อใจคนรากหญ้าอย่างผมหลงรักความซื่อของหนังมากกว่านี้แน่นอน

-  จุดเด่นคือการถ่ายทำด้วย Films เก่า ๆ ตลอดทั้งเรื่อง โทนสีที่มีความเหลือง ๆ ซีด ๆ ก็เข้ากับ Location ในชานเมืองผสมสลัมของประเทศอิตาลีที่เราไม่เคยเห็นในมุมนี้ทำให้เรานึกถึงเรื่อง Where is the Friend’s House ? (1987) เข้าหัวอยู่อีกทั้งมีอารมณ์ขันของมุกตลกจากตรรกะกความเชื่อบ้าน ๆ ของบรรดาตัวละครสมทบที่ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของชนชั้นล่างและเสียงดนตรีแนวคันทรี่ที่บรรเลงแทรกมาเป็นระยะเพื่อช่วยตัดความเงียบของบรรยากาศอึมครึมสับสนในตัวเองเป็นอย่างดี ต่างกันคือขนาดความยาวแต่ละสัดส่วนมีไม่เท่ากัน ระหว่างดูจึงสัมผัสถึงกลิ่นอายของความ Old Classic ให้อารมณ์ Nostalgia หรือ กระแสหนัง French New Wave ยุครุ่งเรือง กระทั่งบางช่วงก็ทำให้นึกถึงหนังเงียบในยุค 20-30 ‘s เหมือนเรื่อง Charlie Chaplin อีกด้วย แถม Character พระเอกในตอนเปิดเรื่องที่ตื่นขึ้นมาจากเสียงปลุกของพนักงานรถไฟด้วยอาการมึน ๆ ในขณะนั่งรถไฟไปอิตาลีโดยที่ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ไปเพื่ออะไร ? ก็นึกถึงเรื่อง Paris,Texas (1984) อีกเช่นกัน เพียงแต่การกระทำไม่ได้เชี้ยกว่าแค่นั้น

- บทสรุปยืดเยื้อไปหน่อย แต่การถ่ายภาพที่สวยงามมีวิจิตรศิลป์แบบผู้ดีช่วยสนับสนุนการออกแบบอุปนิสัยตัวละครที่มีความพิลึกเลิกลักอยู่ตลอดเวลากระทั่งการแฝงนัยยะสัญญะสามารถดึงความเป็นวัฒนธรรมอิตาลีให้โดดเด่นและมีชีวิตจิตใจเหมือนดวงถูกผูกชะตาไว้กับไพ่ยิปซีในโปสเตอร์หนังไว้อย่างเร้นลับ ถึงแม้การกระทำบางอย่างจะดูตลกหยั่งกะ Sit-Com อย่าง ตอนที่แก๊งค์ไทบ้านกับพระเอกวิ่งขึ้นจากใต้ดินหนีพวกตำรวจที่จอดเรืออยู่หน้าชายหาดแต่กลับไม่วิ่งตามไปจับซะอย่างนั้น ส่วนตัวผมคงคิดว่าผู้กำกับอยากจะเสียดสีสภาพสังคมที่เป็นอยู่แหล่ะมั้งแต่คงมองข้ามถึงความเป็นจริงจนดูออกว่าจงใจใส่ให้มันตลกอย่างไม่สมเหตุสมผล มันเลยจึงเกิดความอิหยังวะขึ้นมาดื้อ ๆ ใจจริงอยากให้จบลงตรงที่พระเอกกลับไปหาสาวใช้ลูกอ่อนแค่นั้นก็พอ ซึ่งคิดว่าจบแบบนี้ดีแล้ว อีกอย่างคือหมดแรงที่จะติดตามต่อจนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกดูดพลังงานไปซะเยอะ แต่พอหนังมันไหลต่อไปอีกสักพักก็เห็นว่าผู้กำกับยังมีแรงปล่อยของได้อยู่แถมช่วยยื้อความอ่อนล้าของเราให้ตั้งสติแล้วดูต่อไปด้วยความอยากรู้พอมาถึงช่วง climax จริง ๆ ก็รู้สึกว่าจบแบบนี้แหล่ะดีแล้ว ดู Impact กับสิ่งที่สื่อมาตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงแม้จะตามสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้แต่เรายังรู้สึกมึนงงกับการพยายามตีความอยู่ไม่จางหาย เพราะระหว่างทางที่จะถึงช่วงนี้มันช่างยาวนานซะเหลือเกิน

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ  Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่