ผู้ไม่ใช่มุสลิม และสังคมที่หลากหลาย คือของขวัญของผู้เป็นมุสลิม
บทความโดย เยาฮารี แหละตี
เมื่อพินิจพิเคราะห์ ความคิดเกี่ยวกับ ศาสนาอิสลามแล้ว ได้ข้อสรุปดังนี้คือ
มุสลิมนั้นคือผู้ยอมจำนนต่อความเป็นระเบียบสมดุลสันติต่างๆตั้งแต่อวัยวะภายใน การทำงานอย่างเป็นระเบียบของหัวใจ ตับไต ที่เราควบคุมไม่ได้ ตลอดจนสากลจักรวาลไปจนถึงความว่างไร้ขอบเขต ที่หลอมรวมกันอย่างสมดุล ในขณะที่สิ่งที่เป็นระเบียบนี้ยังมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดว่า ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีที่มาจากการถูกสร้างจากสภาวะที่เป็นอนันต์ ไม่มีจุดเริ่ม ไม่จุดสิ้นสุดว่า นั่นคือ อัลลอฮ์(ซ.บ.)
และ พระองค์นั้นคือผู้ให้คุณและให้โทษแต่เพียงผู้เดียว ในรูปแบบการทดสอบ และวัตถุประสงค์อื่นๆที่มนุษย์เราไม่สามารถเข้าถึง
มุสลิมเรียนรู้ศาสนาอิสลาม ว่าคือการทำ ตามคำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของ พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)
และเมื่อพิจารณา พบว่า คำสั่งใช้และคำสั่งห้ามเหล่านั้น
คือการ ทำดีต่อตัวเอง ต่อผู้คนรอบข้างในทุกชาติพันธ์ศาสนา ต่อครอบครัวแม้จะแตกต่างทางศาสนา ต่อสัตว์เลี้ยงสภาพแวดล้อม
และต่อสังคมที่เราอยู่ ดังอายะห์อัลกุรอาน และฮะดิษบางส่วนที่ว่า
"และพวกเจ้าจงทำความดี แท้จริง อัลลอฮ์ ทรงรักบรรดาผู้ทำความดี" (อัลบะเกาะเราะฮ์ /195)
"แท้จริง อัลลอ์ ทรงใช้ให้มีความยุติธรรม และการทำความดี" (อันนะหล์ / 90)
"และพวกเจ้าจงพูดดีแก่ผู้คนทั้งหลาย " (อัลบะเกาะเราะฮ์ /83)
"และพวกเจ้าจงปฏิบัติดี ต่อพ่อแม่ ญาติที่ใกล้ชิด บรรดาเด็กกำพร้า ผู้ขัดสน เพื่นบ้านที่ใกล้ชิด
เพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เพื่อนร่วมเดินทาง ผู้เดินทาง และพวกทาสของพวกเจ้า" (อันนิซาอ์ / 36)
ฮะดิษเกี่ยวกับความหมายของมุสลิม “มุสลิมที่สมบูรณ์นั้นคือผู้ที่มุสลิมทั้งหลายปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา
และผู้ศรัทธาที่สมบูรณ์นั้นคือผู้ที่เลือดเนื้อและทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ปลอดภัยจากการกระทำของเขา”
ในช่วงการประกาศศาสนานั้น
คำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามนั้น ถูกนำมาเปลี่ยนแปลงสังคม ชาย และ ผู้หญิงเป็นสิ่งของไร้ค่า ใหญ่ในยุคศตวรรษที่ 7
ซึ่งในยุคนั้น เด็กผู้หญิงถูกฝังดิน การมีภรรยาโดยไม่แต่งงาน การกระทำลามกกับทาสโดยไม่ต้องรับผิดชอบ การมีภรรยา
ไม่จำกัด การที่หญิงไม่สามารถถือครองทรัพย์สิน การที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิหย่าร้าง การที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิประกอบอาชีพหรือการศึกษา การฆ่าฟันที่ไร้เหตุผล การยึดครองมรกดกของเด็กกำพร้า และทรัพย์สินของผู้อื่น และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเป็นแนวคิดกระแสหลักที่ ทั่วโลกทุกวัฒนธรรมในศตรวรรษนั้น
(การฝั่งดินลูกสาว มีมาถึงยุคปัจจุบันในบางภูมิภาค และ การได้รับสิทธิหย่าร้างพึ่งเป็นที่ยอมรับไม่ถึง 200 ปี)
การเผยแพร่ศาสนาในยุคนั้น เป็นการพูดคุย
ระหว่างผู้เป็นมุสลิม และ ผู้สนใจอิสลาม
ผู้สนใจอิสลามถามว่า พระเจ้าของท่าน สอนอะไร?
ผู้เป็นมุสลิมบอกว่า สอนไม่ให้นำเด็กผู้หญิงฝังดิน
และถ้าเจ้า ปราถนาในหญิงใด จงแต่งงาน และ มอบทรัพย์สินเป็นหลักประกันให้ฝ่ายหญิงในชีวิตคู่
และถ้าจะหย่าร้างจงหย่าร้างด้วยดีเป็นต้น และอื่นๆอีกมากมายที่ ทำลายชุดความคิดเดิมของ ศตรรวษที่ 7 ที่ชายเป็นใหญ่และบ้าคลั่ง
คำสั่งใช้ของพระเจ้านั้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ เช่นการให้ นับว่า มนุษย์ผู้หญิงคือมนุษย์คนหนึ่งที่เท่าเทียมกับฝ่ายชาย
ในสิทธิการดำรงค์ชีวิต ตลอดจนสิ่งต่างๆที่นำไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้นของผู้หญิงและเด็ก ความสงบลงของผู้ชาย
ความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัว และ พัฒนาต่อเป็นความเข็มแข็งของสังคมและกระบวนการอิสลามในยุคนั้น
นั่นคือ มุสลิมสามารถนำการทำตามศาสนาอิสลามมาปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้นได้ในโลกนี้ ไม่ใช่เพียงโลกหน้า
หลังจากยุคสิ้นศาสดา
รูปแบบของการเล่าเรื่องศาสนา กลายเป็น ลักษณะ
พ่อแม่ --> ลูก
คือการสร้างภาพแวดล้อมให้ลูกอยู่ในศาสนาอิสลาม อย่างเข้มข้น มีชุดความคิดหลายอย่างที่เป็นลักษณะ
การสื่อสารระหว่างพ่อแม่ และ ลูก การห้ามสงสัย ห้ามถามได้ เริ่มก่อเกิดขึ้นในยุคนี้
การเผยแพร่ศษสนา การเป็ฯเรื่องในสถาบันครอบครัว ซึ่งแต่ละครอบครัวก็มีชุดความคิดของตัวเอง
ที่อาจจะเหมือนหรือแตกต่างจากครอบครัวอื่นๆ ชุดความคิดเกี่ยวกับลูกซอและ ลูกซีนา
ถูกนำมาใช้และกดดัน ต่อบุตร หรือความสัมพันธ์ชายหญิง
และ เมื่อหลายร้อยปีต่อมา
เมื่อรัฐที่ตั้งธงเป็นการเมืองศาสนาตามหลักการอิสลาม ได้รับชัยชนะหลายพื้นที่โลก
รูปแบบการเล่าเรื่องศาสนา กลายเป็น ลักษณะ
ผู้ปกครองรัฐ--> ผู้ใต้การปกครอง
และชุดความคิดลักษณะ ชาติพันธ์ การปกครอง การถูกปกครองก็เข้มข้นขึ้น
การกล่าวโทษผู้เปลี่ยนศาสนา เป็นกบฏ เพื่อรักษาฐานอำนาจการเมือง
ความแปลกแยกทางความคิดในเรื่องศาสนา ถือว่าหลุดออกจากเผ่า จากชาติพันธ์เป็นต้น
ชุดความคิดประเภทตามผู้รู้ปลอดภัยกว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรซึ่งขัดกับหลักการอิสลามนั้น
แพร่หลายในยุคสมัยนี้
และทั้งนี้ห่างจากจุดเดิมที่ว่า พระเจ้าของท่านสอนอะไร
และทำให้ชีวิตเราคนหนึ่งดีได้อย่างไร?
ในศาสนาอิสลามนั้น ผ่านมา 1400 ปีแล้ว
เรามีอัลกุรอาน เรามีบันทึกประวัติศาสตร์ (ฮะดิษที่มีจากหลายหลายสำนักคิด ให้ เรทความน่าเชื่อถือแตกต่างกัน)
เรามีสำนักคิด เรามีครู เรามีอิหม่ามท้องถิ่น
และสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การแตกออกทาง การชารีอะห์ของมุสลิม ที่มีดีนเดียวกัน แต่ ทำร้ายกันเองทางกายวาจาใจ
เมื่อเค้าไม่เหมือนกับเรา และพยายามยัดเยียดวิธีคิดของเราให้กับผู้คน ว่าต้องสังกัดฝ่ายไหน
แต่สิ่งที่เราหนีห่างออกไป หรือคือการเน้นย้ำว่า อิสลามทำให้ชีวิต ในตอนนี้ ดีขึ้นอย่างไร?
พระเจ้าสอนให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไร หรือเปล่า?
หรือแนวทางที่จะทำให้เรากลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง
คือการได้พูดคุยกับผู้ไม่ใช่มุสลิม เพื่อให้เค้าสอบทวนเราว่า
แนวทงที่เราทำอยู่นั้น ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับสังคม หรือ เกิดปประโยชน์อะไรกับสังคม
ถ้าเราศรัทธามั่นว่า ศาสนาอิสลามได้สอนถึงสิ่งดีงามต่อชีวิตมนุษย์นั้น
สิ่งเหล่านี้ย่อมนำสู่ผลดีของมนุษย์ในโลกนี้โดยทันที ไม่ต้องรอโลกหน้านั่นเอง
ผู้ไม่ใช่อิสลามจึงคือ มิตร ใกล้ชิดของมุสลิมที่เหมือนเป็นเครื่องสอบตัวเราเองว่า
กำลังเดินในแนวทางที่ศาสนานำความดีงามไปสู่ทุกคนได้จริงๆหรือไม่
และจะดีได้ต้องทำอย่างไร
ผู้ไม่ใช่มุสลิม และสังคมที่หลากหลาย คือของขวัญของผู้เป็นมุสลิม
บทความโดย เยาฮารี แหละตี
เมื่อพินิจพิเคราะห์ ความคิดเกี่ยวกับ ศาสนาอิสลามแล้ว ได้ข้อสรุปดังนี้คือ
มุสลิมนั้นคือผู้ยอมจำนนต่อความเป็นระเบียบสมดุลสันติต่างๆตั้งแต่อวัยวะภายใน การทำงานอย่างเป็นระเบียบของหัวใจ ตับไต ที่เราควบคุมไม่ได้ ตลอดจนสากลจักรวาลไปจนถึงความว่างไร้ขอบเขต ที่หลอมรวมกันอย่างสมดุล ในขณะที่สิ่งที่เป็นระเบียบนี้ยังมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดว่า ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีที่มาจากการถูกสร้างจากสภาวะที่เป็นอนันต์ ไม่มีจุดเริ่ม ไม่จุดสิ้นสุดว่า นั่นคือ อัลลอฮ์(ซ.บ.)
และ พระองค์นั้นคือผู้ให้คุณและให้โทษแต่เพียงผู้เดียว ในรูปแบบการทดสอบ และวัตถุประสงค์อื่นๆที่มนุษย์เราไม่สามารถเข้าถึง
มุสลิมเรียนรู้ศาสนาอิสลาม ว่าคือการทำ ตามคำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของ พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)
และเมื่อพิจารณา พบว่า คำสั่งใช้และคำสั่งห้ามเหล่านั้น
คือการ ทำดีต่อตัวเอง ต่อผู้คนรอบข้างในทุกชาติพันธ์ศาสนา ต่อครอบครัวแม้จะแตกต่างทางศาสนา ต่อสัตว์เลี้ยงสภาพแวดล้อม
และต่อสังคมที่เราอยู่ ดังอายะห์อัลกุรอาน และฮะดิษบางส่วนที่ว่า
"และพวกเจ้าจงทำความดี แท้จริง อัลลอฮ์ ทรงรักบรรดาผู้ทำความดี" (อัลบะเกาะเราะฮ์ /195)
"แท้จริง อัลลอ์ ทรงใช้ให้มีความยุติธรรม และการทำความดี" (อันนะหล์ / 90)
"และพวกเจ้าจงพูดดีแก่ผู้คนทั้งหลาย " (อัลบะเกาะเราะฮ์ /83)
"และพวกเจ้าจงปฏิบัติดี ต่อพ่อแม่ ญาติที่ใกล้ชิด บรรดาเด็กกำพร้า ผู้ขัดสน เพื่นบ้านที่ใกล้ชิด
เพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เพื่อนร่วมเดินทาง ผู้เดินทาง และพวกทาสของพวกเจ้า" (อันนิซาอ์ / 36)
ฮะดิษเกี่ยวกับความหมายของมุสลิม “มุสลิมที่สมบูรณ์นั้นคือผู้ที่มุสลิมทั้งหลายปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา
และผู้ศรัทธาที่สมบูรณ์นั้นคือผู้ที่เลือดเนื้อและทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ปลอดภัยจากการกระทำของเขา”
ในช่วงการประกาศศาสนานั้น
คำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามนั้น ถูกนำมาเปลี่ยนแปลงสังคม ชาย และ ผู้หญิงเป็นสิ่งของไร้ค่า ใหญ่ในยุคศตวรรษที่ 7
ซึ่งในยุคนั้น เด็กผู้หญิงถูกฝังดิน การมีภรรยาโดยไม่แต่งงาน การกระทำลามกกับทาสโดยไม่ต้องรับผิดชอบ การมีภรรยา
ไม่จำกัด การที่หญิงไม่สามารถถือครองทรัพย์สิน การที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิหย่าร้าง การที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิประกอบอาชีพหรือการศึกษา การฆ่าฟันที่ไร้เหตุผล การยึดครองมรกดกของเด็กกำพร้า และทรัพย์สินของผู้อื่น และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเป็นแนวคิดกระแสหลักที่ ทั่วโลกทุกวัฒนธรรมในศตรวรรษนั้น
(การฝั่งดินลูกสาว มีมาถึงยุคปัจจุบันในบางภูมิภาค และ การได้รับสิทธิหย่าร้างพึ่งเป็นที่ยอมรับไม่ถึง 200 ปี)
การเผยแพร่ศาสนาในยุคนั้น เป็นการพูดคุย ระหว่างผู้เป็นมุสลิม และ ผู้สนใจอิสลาม
ผู้สนใจอิสลามถามว่า พระเจ้าของท่าน สอนอะไร?
ผู้เป็นมุสลิมบอกว่า สอนไม่ให้นำเด็กผู้หญิงฝังดิน
และถ้าเจ้า ปราถนาในหญิงใด จงแต่งงาน และ มอบทรัพย์สินเป็นหลักประกันให้ฝ่ายหญิงในชีวิตคู่
และถ้าจะหย่าร้างจงหย่าร้างด้วยดีเป็นต้น และอื่นๆอีกมากมายที่ ทำลายชุดความคิดเดิมของ ศตรรวษที่ 7 ที่ชายเป็นใหญ่และบ้าคลั่ง
คำสั่งใช้ของพระเจ้านั้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ เช่นการให้ นับว่า มนุษย์ผู้หญิงคือมนุษย์คนหนึ่งที่เท่าเทียมกับฝ่ายชาย
ในสิทธิการดำรงค์ชีวิต ตลอดจนสิ่งต่างๆที่นำไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้นของผู้หญิงและเด็ก ความสงบลงของผู้ชาย
ความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัว และ พัฒนาต่อเป็นความเข็มแข็งของสังคมและกระบวนการอิสลามในยุคนั้น
นั่นคือ มุสลิมสามารถนำการทำตามศาสนาอิสลามมาปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้นได้ในโลกนี้ ไม่ใช่เพียงโลกหน้า
หลังจากยุคสิ้นศาสดา
รูปแบบของการเล่าเรื่องศาสนา กลายเป็น ลักษณะ พ่อแม่ --> ลูก
คือการสร้างภาพแวดล้อมให้ลูกอยู่ในศาสนาอิสลาม อย่างเข้มข้น มีชุดความคิดหลายอย่างที่เป็นลักษณะ
การสื่อสารระหว่างพ่อแม่ และ ลูก การห้ามสงสัย ห้ามถามได้ เริ่มก่อเกิดขึ้นในยุคนี้
การเผยแพร่ศษสนา การเป็ฯเรื่องในสถาบันครอบครัว ซึ่งแต่ละครอบครัวก็มีชุดความคิดของตัวเอง
ที่อาจจะเหมือนหรือแตกต่างจากครอบครัวอื่นๆ ชุดความคิดเกี่ยวกับลูกซอและ ลูกซีนา
ถูกนำมาใช้และกดดัน ต่อบุตร หรือความสัมพันธ์ชายหญิง
และ เมื่อหลายร้อยปีต่อมา
เมื่อรัฐที่ตั้งธงเป็นการเมืองศาสนาตามหลักการอิสลาม ได้รับชัยชนะหลายพื้นที่โลก
รูปแบบการเล่าเรื่องศาสนา กลายเป็น ลักษณะ ผู้ปกครองรัฐ--> ผู้ใต้การปกครอง
และชุดความคิดลักษณะ ชาติพันธ์ การปกครอง การถูกปกครองก็เข้มข้นขึ้น
การกล่าวโทษผู้เปลี่ยนศาสนา เป็นกบฏ เพื่อรักษาฐานอำนาจการเมือง
ความแปลกแยกทางความคิดในเรื่องศาสนา ถือว่าหลุดออกจากเผ่า จากชาติพันธ์เป็นต้น
ชุดความคิดประเภทตามผู้รู้ปลอดภัยกว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรซึ่งขัดกับหลักการอิสลามนั้น
แพร่หลายในยุคสมัยนี้
และทั้งนี้ห่างจากจุดเดิมที่ว่า พระเจ้าของท่านสอนอะไร
และทำให้ชีวิตเราคนหนึ่งดีได้อย่างไร?
ในศาสนาอิสลามนั้น ผ่านมา 1400 ปีแล้ว
เรามีอัลกุรอาน เรามีบันทึกประวัติศาสตร์ (ฮะดิษที่มีจากหลายหลายสำนักคิด ให้ เรทความน่าเชื่อถือแตกต่างกัน)
เรามีสำนักคิด เรามีครู เรามีอิหม่ามท้องถิ่น
และสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การแตกออกทาง การชารีอะห์ของมุสลิม ที่มีดีนเดียวกัน แต่ ทำร้ายกันเองทางกายวาจาใจ
เมื่อเค้าไม่เหมือนกับเรา และพยายามยัดเยียดวิธีคิดของเราให้กับผู้คน ว่าต้องสังกัดฝ่ายไหน
แต่สิ่งที่เราหนีห่างออกไป หรือคือการเน้นย้ำว่า อิสลามทำให้ชีวิต ในตอนนี้ ดีขึ้นอย่างไร?
พระเจ้าสอนให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไร หรือเปล่า?
หรือแนวทางที่จะทำให้เรากลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง
คือการได้พูดคุยกับผู้ไม่ใช่มุสลิม เพื่อให้เค้าสอบทวนเราว่า
แนวทงที่เราทำอยู่นั้น ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับสังคม หรือ เกิดปประโยชน์อะไรกับสังคม
ถ้าเราศรัทธามั่นว่า ศาสนาอิสลามได้สอนถึงสิ่งดีงามต่อชีวิตมนุษย์นั้น
สิ่งเหล่านี้ย่อมนำสู่ผลดีของมนุษย์ในโลกนี้โดยทันที ไม่ต้องรอโลกหน้านั่นเอง
ผู้ไม่ใช่อิสลามจึงคือ มิตร ใกล้ชิดของมุสลิมที่เหมือนเป็นเครื่องสอบตัวเราเองว่า
กำลังเดินในแนวทางที่ศาสนานำความดีงามไปสู่ทุกคนได้จริงๆหรือไม่
และจะดีได้ต้องทำอย่างไร