๗. วัตถูปมสูตร
ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยผ้า(บางส่วน)
[๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๙๒] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับ
ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้น
พึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมไม่ดี มีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตอะไร?
เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์
ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมอแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.
ผ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมดี มีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร?
เพราะผ้าเป็นขอบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.
อุปกิเลส ๑๖
[๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่าไหน เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต [คือ]
อภิชฌาวิสมโลภะ [ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่เล็ง]
พยาบาท [ปองร้ายเขา]
โกธะ [โกรธ]
อุปนาหะ [ผูกโกรไว้]
มักขะ [ลบหลู่คุณท่าน]
ปลาสะ [ยกตนเทียบเท่า]
อิสสา [ริษยา]
มัจฉริยะ [ตระหนี่]
มายา [มารยา]
สาเฐยยะ [โอ้อวด]
ถัมภะ [หัวดื้อ]
สารัมภะ [แข่งดี]
มานะ [ถือตัว]
อติมานะ [ดูหมิ่ท่าน]
มทะ [มัวเมา]
ปมาทะ [เลินเล่อ]
เหล่านี้เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต.
[๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นรู้ชัดว่า
อภิชฌาวิสมโลถะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตด้วยประการ
ฉะนี้แล้ว ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ ถัมภะ สารัมภะ
มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ อันเป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตเสีย.
สำรวจจิต
ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยผ้า(บางส่วน)
[๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๙๒] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับ
ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้น
พึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมไม่ดี มีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตอะไร?
เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์
ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมอแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.
ผ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมดี มีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร?
เพราะผ้าเป็นขอบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.
อุปกิเลส ๑๖
[๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่าไหน เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต [คือ]
อภิชฌาวิสมโลภะ [ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่เล็ง]
พยาบาท [ปองร้ายเขา]
โกธะ [โกรธ]
อุปนาหะ [ผูกโกรไว้]
มักขะ [ลบหลู่คุณท่าน]
ปลาสะ [ยกตนเทียบเท่า]
อิสสา [ริษยา]
มัจฉริยะ [ตระหนี่]
มายา [มารยา]
สาเฐยยะ [โอ้อวด]
ถัมภะ [หัวดื้อ]
สารัมภะ [แข่งดี]
มานะ [ถือตัว]
อติมานะ [ดูหมิ่ท่าน]
มทะ [มัวเมา]
ปมาทะ [เลินเล่อ]
เหล่านี้เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต.
[๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นรู้ชัดว่า
อภิชฌาวิสมโลถะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตด้วยประการ
ฉะนี้แล้ว ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ ถัมภะ สารัมภะ
มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ อันเป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตเสีย.