อาการความสุขในสมาธิระดับฌาน 3
สำหรับผมเรียกว่า เป็นบรมสุข เหตุเพราะเป็นความสุขมากๆ พุ่งไปทั้งหัวจนเท้าทุกรูขุมขน เอาความสุขทั้งโลก เอาความสุขทั้งชีวิตมารวมกันก็ไม่เท่าความสุขในสมาธิ ขณะนั้นเอาเงินพันล้านมาแลกก็ไม่ยอม เพราะไม่สามารถหาความสุขได้ในโลกมาเทียบได้แล้ว และชีวิตหนึ่งจะพบเจอความสุขนี้ได้ ลองจินตนาการวันที่คุณเรียนจบรับปริญญา วันที่คุณถูกรางวัลที่ 1 ความสุขนั้นเทียบไม่ได้กับ 1 ใน 1000000 ของสุขในสมาธิระดับ ฌาน 3
ความเครียด ความท้อแท้ใจ ความหดหู่ใจจะมะลายหายไปหมด เกิดเป็นกำลังใจแกล้วกล้า สุขแบบไม่หิวข้าว ไม่ง่วงนอน อาการสุขจะไม่มะลายหายไปในทันที แต่จะค่อยๆเจือจาง เบาบางลงจนหายไปใน 3 วัน 7 วัน
อาการสุขในสมาธิจะเกิดขึ้นที่ ฌาน 3 เท่านั้น เมื่อเข้าสู่ฌาน 4 หรืออรูปฌาน จะไม่พบความสุข เพราะจิตแยกออกจากกาย 100% จะเป็นเอกัคตา คือ จิตตั้งมั่นและอุเบกขาแทน
สำหรับตัวผมอาการความสุขในสมาธิเกิดขึ้นไปครั้งในชีวิต แต่จำได้ทุกครั้งเพราะเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในชีวิต
ครั้งแรก ตอนอายุ 8 ขวบ เมื่อหัดนั่งสมาธิครั้งแรก โดยไม่กำหนดอะไรเลย ลมหายใจ คำบริกรรมและความคิดก็ไม่เอา ใช้สติอยู่กับความว่าง จิตดำดิ่งไปกับความว่างไร้สมมุติ ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ
ครั้งสอง ตอนอายุ 20 ปี ตอนไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุง ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ด้วยการฝึกกสิณสีแดงจนจิตรวมเป็นสมาธิระดับฌาน 4 ครั้งแรก ดวงกสิณเปลี่ยนเป็นแก้วประกายพรึกส่องสว่าง ไสว อาการสุขเกิดขึ้นก่อนและหลังออกจากสมาธิ ผู้กล่าวรับรองว่าผมได้ฌาน 4 คือ หลวงพ่อสมปอง (ท่านจิตโต) ท่านจำวัดอยู่ข้างวัดท่าซุง ตอนนั้นผมไม่รู้จักว่าฌาน 4 คืออะไร
ครั้งที่ 3 ตอนอายุ 23 ปี ตอนบวชครั้งแรกกับพระอาจารย์โสภา สมโน ที่วัดแสงธรรมวังเขาเขียว พระอาจารย์ส่งผมไปปฏิบัติบนเขาสลัดได ด้วยวิธีอานาปานสติ จนจิตรวมเป็นสมาธิระดับฌาน 4 ด้วยวิธีอานาปานสติครั้งแรก อาการสุขเกิดขึ้นก่อนและหลังออกจากสมาธิ
ครั้งที่ 4 ตอนอายุ 27 ปี จากการปฏิบัติอานาปานสติควบคู่ภาวนา พุทโธ เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิ เกิดแก้วประกายพรึก แล้วแผ่ขยายดวงแก้วออกจนครอบทั้งจักรวาล อาการสุขเกิดขึ้นหลังออกจากสมาธิ
ครั้งที่ 5 ตอนอายุ 28 ปี ลองทำสมาธิโดยไม่กำหนดอะไรเลย ลมหายใจ คำบริกรรมและความคิดก็ไม่เอาเหมือนตอน 8 ขวบ ใช้สติอยู่กับความว่าง ความคิดใดๆ เกิดขึ้นก็ใช้สติดับความคิดนั้นทันที จิตดำดิ่งไปกับความว่างไร้สมมุติ เหมือนจิตดับหายไปหมดไปความว่าง ความคิดและสัญญาความจำก็ดับหายไปไม่เหลือความมีตัวตนใดๆ ความคิด สัญญา ความรู้สึกและจิตก็ไม่มี ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ ออกจากสมาธิสัญญาความจำหายหมดขับรถไม่ได้ 3 วัน 3 คืน ความจำจึงค่อยๆกลับคืนมา
ครั้งที่ 6 ตอนอายุ 29 ปี ขณะบวชครั้ง 2 ไปปฏิบัติกับองค์หลวงปู่จันทร์เรียน ที่วัดถ้ำสหาย จากการปฏิบัติอานาปานสติควบคู่ภาวนา พุทโธ เกิดจิตรวมเป็นสมาธิ จิตหดรวมเล็กมากๆ พุ่งผ่านรูเข็มหรือรูหนอนเป็นทางยาวสว่างไสว เมื่อจิตพุ่งทะลุรูหนอน เหมือนอยู่อีกมิติหนึ่ง เหมือนเราเข้าไปอยู่ในมิตินั้น ไม่ใช่การมองเห็นแต่เข้าไปอยู่จริงๆ เป็นมิติที่ไม่รับรู้ถึงกาย ลมหายใจ ความคิดปรุงแต่ง ความจำ ความสุข ความทุกข์ ขันธ์ 5 ไม่มีในมิตินี้ เป็นความว่างไร้สมมุติบัญญัติทั้งปวง ไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้กาลเวลา
ท่ามกลางความว่างนั้นมีจิตประภัสสรส่องสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ส่องสว่างไสวและเป็นดวงปัญญา พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และโลกธาตุล้วนไม่เที่ยงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เกิดจากการประชุมของธาตุทั้ง 6 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศและธาตุรู้ เกิดความตื่นรู้ว่าวัฏสงสารและขันธ์ 5 ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิตที่มีอวิชชา เป็นโลกสมมุติ ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ เมื่อความคิดและลมหายใจปรากฏ ควาทสุขและปีติค่อยๆพุ่งออกมา
ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ ซึ่งเกิดกับผมแทบทุกครั้งที่เข้าสมาธิลึกๆได้
เหตุเพราะเวลาออกจากสมาธิจิตจะค่อยๆ ถอยออกจาก อรูปไปฌาน 4 ไป 3 ไป 2 ไป 1 และ อุปจารสมาธิ ตามลำดับ ขณะจิตถอยออกผ่าน ฌาน 3 จึงเกิดสุข ผ่านฌาน 2 จึงเกิดปีติ
เหตุเพราะว่า พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม เคยสอนให้ผมค่อยๆ ถอยออกจากสมาธิ ท่านสอนว่าถ้าออกจากสมาธิเร็วเกินไปครั้งต่อไปจะเข้าสมาธิได้ยาก ห้ามถอนออกจากสมาธิโดยทันทีเมื่อเกิดจิตรวมใหญ่
อาการความสุขในสมาธิระดับฌาน 3
สำหรับผมเรียกว่า เป็นบรมสุข เหตุเพราะเป็นความสุขมากๆ พุ่งไปทั้งหัวจนเท้าทุกรูขุมขน เอาความสุขทั้งโลก เอาความสุขทั้งชีวิตมารวมกันก็ไม่เท่าความสุขในสมาธิ ขณะนั้นเอาเงินพันล้านมาแลกก็ไม่ยอม เพราะไม่สามารถหาความสุขได้ในโลกมาเทียบได้แล้ว และชีวิตหนึ่งจะพบเจอความสุขนี้ได้ ลองจินตนาการวันที่คุณเรียนจบรับปริญญา วันที่คุณถูกรางวัลที่ 1 ความสุขนั้นเทียบไม่ได้กับ 1 ใน 1000000 ของสุขในสมาธิระดับ ฌาน 3
ความเครียด ความท้อแท้ใจ ความหดหู่ใจจะมะลายหายไปหมด เกิดเป็นกำลังใจแกล้วกล้า สุขแบบไม่หิวข้าว ไม่ง่วงนอน อาการสุขจะไม่มะลายหายไปในทันที แต่จะค่อยๆเจือจาง เบาบางลงจนหายไปใน 3 วัน 7 วัน
อาการสุขในสมาธิจะเกิดขึ้นที่ ฌาน 3 เท่านั้น เมื่อเข้าสู่ฌาน 4 หรืออรูปฌาน จะไม่พบความสุข เพราะจิตแยกออกจากกาย 100% จะเป็นเอกัคตา คือ จิตตั้งมั่นและอุเบกขาแทน
สำหรับตัวผมอาการความสุขในสมาธิเกิดขึ้นไปครั้งในชีวิต แต่จำได้ทุกครั้งเพราะเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในชีวิต
ครั้งแรก ตอนอายุ 8 ขวบ เมื่อหัดนั่งสมาธิครั้งแรก โดยไม่กำหนดอะไรเลย ลมหายใจ คำบริกรรมและความคิดก็ไม่เอา ใช้สติอยู่กับความว่าง จิตดำดิ่งไปกับความว่างไร้สมมุติ ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ
ครั้งสอง ตอนอายุ 20 ปี ตอนไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุง ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ด้วยการฝึกกสิณสีแดงจนจิตรวมเป็นสมาธิระดับฌาน 4 ครั้งแรก ดวงกสิณเปลี่ยนเป็นแก้วประกายพรึกส่องสว่าง ไสว อาการสุขเกิดขึ้นก่อนและหลังออกจากสมาธิ ผู้กล่าวรับรองว่าผมได้ฌาน 4 คือ หลวงพ่อสมปอง (ท่านจิตโต) ท่านจำวัดอยู่ข้างวัดท่าซุง ตอนนั้นผมไม่รู้จักว่าฌาน 4 คืออะไร
ครั้งที่ 3 ตอนอายุ 23 ปี ตอนบวชครั้งแรกกับพระอาจารย์โสภา สมโน ที่วัดแสงธรรมวังเขาเขียว พระอาจารย์ส่งผมไปปฏิบัติบนเขาสลัดได ด้วยวิธีอานาปานสติ จนจิตรวมเป็นสมาธิระดับฌาน 4 ด้วยวิธีอานาปานสติครั้งแรก อาการสุขเกิดขึ้นก่อนและหลังออกจากสมาธิ
ครั้งที่ 4 ตอนอายุ 27 ปี จากการปฏิบัติอานาปานสติควบคู่ภาวนา พุทโธ เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิ เกิดแก้วประกายพรึก แล้วแผ่ขยายดวงแก้วออกจนครอบทั้งจักรวาล อาการสุขเกิดขึ้นหลังออกจากสมาธิ
ครั้งที่ 5 ตอนอายุ 28 ปี ลองทำสมาธิโดยไม่กำหนดอะไรเลย ลมหายใจ คำบริกรรมและความคิดก็ไม่เอาเหมือนตอน 8 ขวบ ใช้สติอยู่กับความว่าง ความคิดใดๆ เกิดขึ้นก็ใช้สติดับความคิดนั้นทันที จิตดำดิ่งไปกับความว่างไร้สมมุติ เหมือนจิตดับหายไปหมดไปความว่าง ความคิดและสัญญาความจำก็ดับหายไปไม่เหลือความมีตัวตนใดๆ ความคิด สัญญา ความรู้สึกและจิตก็ไม่มี ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ ออกจากสมาธิสัญญาความจำหายหมดขับรถไม่ได้ 3 วัน 3 คืน ความจำจึงค่อยๆกลับคืนมา
ครั้งที่ 6 ตอนอายุ 29 ปี ขณะบวชครั้ง 2 ไปปฏิบัติกับองค์หลวงปู่จันทร์เรียน ที่วัดถ้ำสหาย จากการปฏิบัติอานาปานสติควบคู่ภาวนา พุทโธ เกิดจิตรวมเป็นสมาธิ จิตหดรวมเล็กมากๆ พุ่งผ่านรูเข็มหรือรูหนอนเป็นทางยาวสว่างไสว เมื่อจิตพุ่งทะลุรูหนอน เหมือนอยู่อีกมิติหนึ่ง เหมือนเราเข้าไปอยู่ในมิตินั้น ไม่ใช่การมองเห็นแต่เข้าไปอยู่จริงๆ เป็นมิติที่ไม่รับรู้ถึงกาย ลมหายใจ ความคิดปรุงแต่ง ความจำ ความสุข ความทุกข์ ขันธ์ 5 ไม่มีในมิตินี้ เป็นความว่างไร้สมมุติบัญญัติทั้งปวง ไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้กาลเวลา
ท่ามกลางความว่างนั้นมีจิตประภัสสรส่องสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ส่องสว่างไสวและเป็นดวงปัญญา พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และโลกธาตุล้วนไม่เที่ยงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เกิดจากการประชุมของธาตุทั้ง 6 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศและธาตุรู้ เกิดความตื่นรู้ว่าวัฏสงสารและขันธ์ 5 ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิตที่มีอวิชชา เป็นโลกสมมุติ ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ เมื่อความคิดและลมหายใจปรากฏ ควาทสุขและปีติค่อยๆพุ่งออกมา
ความสุขเกิดขึ้นหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ ซึ่งเกิดกับผมแทบทุกครั้งที่เข้าสมาธิลึกๆได้
เหตุเพราะเวลาออกจากสมาธิจิตจะค่อยๆ ถอยออกจาก อรูปไปฌาน 4 ไป 3 ไป 2 ไป 1 และ อุปจารสมาธิ ตามลำดับ ขณะจิตถอยออกผ่าน ฌาน 3 จึงเกิดสุข ผ่านฌาน 2 จึงเกิดปีติ
เหตุเพราะว่า พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม เคยสอนให้ผมค่อยๆ ถอยออกจากสมาธิ ท่านสอนว่าถ้าออกจากสมาธิเร็วเกินไปครั้งต่อไปจะเข้าสมาธิได้ยาก ห้ามถอนออกจากสมาธิโดยทันทีเมื่อเกิดจิตรวมใหญ่