ตอนที่ 3 ห้าง Foodland Supermarket
หลังจากที่ผมเรียนจบก็ต้องรีบตระเวนหางานทำก็ยื่นใบสมัครงานไว้หลายแห่ง ผมยังหงุดหงิดใจไม่หายโชคชะตาทำไมช่างใจร้ายนักตามความเป็นจริงสถาบันการศึกษาที่ผมเรียนเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ สังกัดกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งนักศึกษาที่เรียนจบจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการในตำแหน่งสัตวแพทย์ ระดับ 2 สังกัดกรมปศุสัตว์ โดยอัตโนมัติ ในกลุ่มของพวกเราที่สนิทสนมกันต่างก็วาดฝันไว้ว่าอยากจะบรรจุลงที่ไหนกันบ้างส่วนใหญ่ก็อยากบรรจุลงใกล้ๆภูมิลำเนาของตนเองกันทั้งนั้น แต่ที่ไหนได้เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้น ก่อนที่จะเรียนจบ ทางสถานศึกษาแจ้งว่า ณ ปัจจุบันเนื่องจากกรมปศุสัตว์มีงบประมาณไม่เพียงพอจึงยังไม่สามารถจะทำการบรรจุนักศึกษาสัตวแพทย์ที่เรียนจบใหม่ได้ จึงขอให้นักศึกษาทุกคนไปประกอบอาชีพอื่นๆก่อนเพื่อหาประสบการณ์ โดยให้บันทึกที่อยู่ที่ติดต่อได้ของแต่ละคนไว้ ถ้ากรมปศุสัตว์พร้อมจะรับการบรรจุแต่งตั้งเมื่อไหร่ทางกรมฯจะแจ้วให้ทราบตามที่อยู่นั้นภายในระยะเวลา 4 ปี นักศึกษาทุกคนได้ยินตามนั้นก็เกิดอาการไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงเกิดการประท้วงหวุดหวิดเกิดเหตุจาราจน เรื่องนี้ร้อนถึงอธิบดีกรมปศุสัตว์จึงส่งรองอธิบดีฯ มาพูดคุยเจรจากับกลุ่มนักศึกษาเรื่องราวจึงยุติ นักศึกษาก็จำเป็นต้องยอมโดยทางกรมปศุสัตว์ให้การรับรองว่าจะดำเนินการให้ภายในระยะเวลา 4 ปี นักศึกษาทุกคนต่างคนก็ต่างฝันสลายจำเป็นต้องไปเผชิญชีวิตของแต่ละคนเอาเอง....

เอ๊ย!!!...นี่กูตกงานหรือวะนี่
ในกลุ่มเพื่อนสนิทที่เรียกตัวเองว่าแก๊งเด็กเหนือเพราะมีภูมิลำเนามาจากภาคเหนือกันทั้งสิ้น ต่างก็น้อยใจ เศร้าใจ จึงปรึกษาหารือกันว่าจะเอายังไงกันต่อจะอยู่หางานในเมืองหลวงหรือจะกลับไปตั้งหลักที่ภูมิลำเนา แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลของตนเอง โดยฝ่ายแรกจะขออยู่เผชิญชะตากรรมในเมืองหลวงต่อเพราะกลับบ้านไปก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรที่บ้านฐานะไม่ค่อยดี และฝ่ายที่สองเลือกที่จะกลับไปตั้งหลักที่บ้านนอกเพราะที่บ้านมีฐานะพอสมควร ส่วนผมเหรออยู่ในฝ่ายแรกจะขอสู้ชีวิตในนครหลวงถึงกลับบ้านที่ลำพูนก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จะให้ไปทำไร่ ทำสวนหรือเลี้ยงสัตว์รึที่ทางก็ไม่มีที่สำคัญไม่มีเงินทุนจึงต้องตัดสินใจเผชิญชะตากรรมหางานทำในนครหลวงที่ชื่อ “กรุงเทพมหานครฯ” ต่อไป
เรียนจบแล้วผมก็ยังทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดไผ่ตันคอยรับใช้หลวงพ่อตามปกติ เสร็จหน้าที่ที่วัดแล้วก็ออกตระเวนหางานทำ ยื่นใบสมัครงานไปตามบริษัท ห้างร้านต่างๆที่เขาประกาศรับสมัครพนักงานตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ฟังตามข่าววิทยุบ้างเป็นเวลาหลายสัปดาห์จนแทบหมดกำลังใจนี่ถ้าผมไม่โชคดีได้เป็นเด็กวัดละก็ยังนึกถึงชะตากรรมของผมว่าจะเป็นยังบ้างก็ไม่รู้เพราะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้ที่พัก ได้กินข้าวก้นบาตรเลยทำให้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอันมาก ทำให้ผมอดคิดถึงเพื่อนๆที่ตัดสินใจแบบผมไม่ได้ป่านนี้พวกมันจะเป็นยังไงกันบ้างนะคิดแล้วก็หดหู่ใจ และในที่สุดผมก็ได้รับข่าวดีได้เข้าทำงานในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมดีใจมาก... “เฮ้อ!...โคตรหายเหนื่อยเลย...กูมีงานทำงานแล้วดีใจจังโว้ย!!!”
ผมได้งานทำที่ห้างสรรพสินค้า Foodland Supermarket ในตำแหน่งพนักงาน Packing รายได้วันละ 149 บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของกรุงเทพฯในขณะนั้นทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แค่นี้ก็พอใจแล้ว หลายคนคงสงสัยซินะว่าพนักงานแผนก Packing คืออะไรทำงานยังไง หน้าที่ของพวกเราก็คือ ประจำที่อยู่กับพนักงานเก็บเงินหรือ Cashier ตรงช่องชำระค่าสินค้า หลังจากลูกค้าชำระค่าสินค้ากับพนักงานเก็บเงินแล้ว พวกเรามีหน้าที่รวบรวมและแยกประเภทสินค้าต่างๆ เช่น ของกินได้แยกไว้และของกินไม่ได้ก็แยกต่างหากเป็นต้น แล้วนำส่งให้ลูกค้าถึงที่รถ ถ้าโชคดีก็จะได้รับทิปจากลูกค้าใจดีบ้างเป็นบางครั้ง พนักงาน Packing จะต้องหมุนเวียนไปตามช่องชำระเงินต่างๆทำให้ได้รู้จัก Cashier มากหน้าหลายตา บางคนอัธยาศัยดี น่ารักแต่บางคนทำตัวน่ากระทืบจริงๆ...!!! คงกลัวเราไปพูดแทะโลมละมั้ง...อีเว้นเอ้ยอย่างกับมันสวยตายห่า...เฮ้อ...นานาจิตตังไม่ถือสาให้เมื่อยกบาลหรอก แล้ววันหนึ่งทางห้างได้รับพนักงาน Cashier รุ่นใหม่เข้ามาทำงานเพื่อทดแทนรุ่นเก่าที่บางคนได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นหรือบางคนที่ลาออก ไอ้หนุ่ม Packing น้อยใหญ่ทั้งหลายต่างตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจกันไปทั่ว เหมือนปลาได้กระแสน้ำใหม่หลังจากที่อยู่กับน้ำเน่ามานานแสนนาน ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีคนมาสะกิด
“ไอ้หนึ่ง...เห็นนางฟ้าเหมือนที่กูเห็นรึป่าววะ...

โคตรแจ่มทั้งนั้นเลยแต่ละนางสุดยอดเลยหวะ” ไอ้แห้วเพื่อนสนิทผมมันพูดแล้วยังจ้องสายตาไปยังCashier รุ่นใหม่ที่พึ่งเข้ามาทำงานวันแรกแบบหื่นกระหาย
“เออ!..กูเห็นแล้วก็แค่พนักงานใหม่หนะจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนาวะไอ้แห้ว” ผมตอบ
“ตื่นเต้นซิวะ แต่ละนางสาวๆสวยๆกันทั้งนั้น...โอ้แม่เจ้าขอแห้วจีบได้เป็นแฟนซักคนเถอะเจ้าประคุณเอ๊ย” มันเพ้อเจ้อของมันไปเรื่อยผมมองเห็นแล้วส่ายหน้า
หลังจากการเปลี่ยนถ่ายCashier รุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงานแล้วพวกหนุ่มๆ Packing น้อยใหญ่ต่างกระชุ่มกระชาย ทำงานกันแบบยิ้มแย้มแจ่มใสหัวใจเบิกบานผมเองก็เช่นกันจิตใจเพลิดเพลินกับการทำงานเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับสาวคนนี้
“สวัสดีครับ...” ผมทักทาย “สวัสดีค่ะ” เธอทักทายตอบ
“พึ่งมาทำงานที่นี่เป็นที่แรกรึป่าวครับ” ผมถามต่อ
“ค่ะ...พอกุ๊กไก่เรียนจบก็ได้งานทำที่นี่เลยค่ะถือว่าโชคดีมากเลยค่ะเอ่อ...แล้วคุณ?” ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“อ๋อ...ผมชื่อหนึ่งครับขอโทษด้วยครับที่ผมลืมแนะนำตัวไปครับ...คุณกุ๊กไก่...แฮ่ๆๆ” เธอยิ้มอายๆ (ฮั่นแน่คิดจะจีบเค้าละซิ...อิๆๆๆ - อย่ามายุ่งได้ไหมไอ้สติมันเรื่องของกู) กุ๊กไก่เธอเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ผิวขาวหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาบาบี้รึป่าว...ไม่รู้สิผมเป็นผู้ชายไม่ชอบเล่นตุ๊กตาแต่เอาเป็นว่าน่ารักก็แล้วกัน อัธยาศัยดีพูดเก่งยิ้มเก่งนิสัยร่าเริง แล้วผมก็สะดุ้ง!
“พี่หนึ่งคะ...เป็นอะไรรึป่าวคะเห็นยืนเหม่อแล้วยิ้มๆด้วยตลกจริงเลย” บ้าไปแล้วกูทำอะไรเห่ยๆต่อหน้าสาวรึนี่เป็นเพราะคนเดียวเลยไอ้สติแตกเอ๊ย!!!ไปไกลๆตีนกูเลย...ไอ้เวร.
“อ๋อ...ไม่เป็นไรครับแค่รู้สึกมึนหัวเล็กน้อยนะครับ...ผมไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลยนะแปลกจริงๆเลย เอ๊ะ...รึว่าจะแพ้ความน่ารักของคุณกุ๊กไก่” ผมพูดแก้เก้อ (ว่าไปนั่นไอ้เด็กวัดแถเอาจนได้นะ...อิๆๆๆ - อยู่เฉยๆกูจัดการเรื่องของกูเองได้โว้ย...ไปไกลๆเลยไอ้สติแตก)
การทำงานของผมก็เป็นปกติดีทุกอย่าง ผมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนแถมค่อนข้างขี้อายอีกตางหาก จนเพื่อนๆบางคนล้อว่าผมเป็น “ไอ้ทิ่ม” ก็ว่ากันไปผมไม่โกธรหรอก แต่สำหรับกุ๊กไก่ไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอคอยเป็นห่วงเป็นใยในตัวผมเป็นอย่างมาก ผมเป็นโรคกระดูกทับเส้นซึ่งเป็นผลพวงมาจากเรื่องการเรียน ตอนที่ผมไปฝึกงานที่ด่านกักสัตว์ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ผมขึ้นไปฉีดวัคซีนให้วัวบนรถบรรทุกวัวแต่ผมดันพลาดโดนวัวเตะตกรถโคตรเจ็บเลยพวกรุ่นพี่เห็นเหตุการณ์ก็รีบนำตัวผมส่งโรงพยาบาลที่ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา หมอบอกว่าเป็นผลจากการกระแทกเลยเป็นอาการของกระดูกทับเส้นถ้าจะให้หายขาดต้องผ่าตัดหรือไม่ก็เอายาไปกิน ผมเลือกเอายาไปกินผมจะผ่าตัดได้ยังไงเงินก็ไม่มีแล้วอีกไม่กี่วันผมก็จะเรียนจบแล้ว อาการนี้มันติดตัวผมมาตลอดผมต้องกินยาแก้ปวดทุกๆ 4 ชั่วโมง กุ๊กไก่เป็นคนชอบสังเกตว่าทำไมผมต้องไปร้านขายยาในห้างบ่อยๆ เธอเลยถามตรงๆว่า
“พี่หนึ่งไปร้านขายยาทุกวันเลยเป็นอะไรรึเปล่าบอกไก่มาตามตรงนะห้ามโกหก” เจอมุกนี้ผมไปไม่เป็นเลย...ก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างให้กุ๊กไก่ฟังทั้งหมด
“เรื่องก็เป็นอย่างแหละจ้ะกุ๊กไก่” ผมบอก เธอหัวเราะเลิกน้อยแล้วก็ทำงานต่อไป วันต่อมาผมเจอกุ๊กไก่เธอยื่นกระปุกยามาให้ใหญ่มากเลยแล้วพูดว่า
“เอ๊า...เอาไปยาแก้ปวดคราวหลังไม่ต้องไปซื้อย่อยอีกแล้วนะมันเปลือง”
“กระปุกใหญ่จังเลยพี่ไม่มีเงินซื้อหรอกนะ” ผมบอก
“แล้วใครให้พี่ซื้อกันล่ะไก่เอาจากบ้านเองเตี่ยของไก่ท่านเปิดร้านขายยาไก่ก็เลยขอมาให้พี่ไง” ไก่อธิบาย
“แล้วเตี่ยไม่ว่าเอาเหรอว่าเอาไปให้ใคร” ผมถาม
“จะว่าได้เหรอแค่ไก่บอกว่าจะเอาไปบริจาคให้คนพิการก็แค่นั้นแหละ...เอารับไปซิ” ผมยื่นมือไปรับแบบเขินๆเห็นกูเป็นคนพิการซะแล้ว
“ขอบใจมากนะกุ๊กไก่เธอใจดีกับพี่เสมอเลยนะ” ผมขอบคุณแล้วรับกระปุกยามานึกในใจโชคดีแท้วะกูคงไม่ต้องซื้อยาไปอีกเป็นปีล่ะกู
ผมกับกุ๊กไก่เราสนิทกันมาก หลังเลิกงานเธอชอบชวนผมไปเที่ยว ช็อปปิ้ง ดูหนัง แล้วก็กินข้าว เป็นที่สนุกสนาน เวลาเดินไปด้วยกันกุ๊กไก่จะคอยเกาะแขนผมตลอดเวลาเหมือนน้องสาวกับพี่ชายยังไงยังนั้นเลยหญิงสาวตัวน้อยดูร่าเริงจริงๆ ผมเห็นแล้วน่าเอ็นดูมาก เรามีน้องสาวแล้วหรือนี่ (อย่าพึ่งดีใจไปชะตากรรมของยังไม่หมดแค่นี้ – ไอ้สติมากวนใจกูอีกแล้วนะที่พูดหมายความว่ายังไงวะ – ต่อไปเดี๋ยวก็จะรู้เองนะแหละ )
แล้วมีอยู่วันหนึ่ง มีพนักงานประชาสัมพันธ์ของห้างเข้ามาถามหาคนชื่อ นายณพฉัตร เปาชัย แจ้งว่ามีโทรศัพท์สายด่วนมาหาให้รีบไปรับด้วย ผมแปลกใจมากเบอร์โทร.ที่นี่ผมไม่ได้บอกใครนี่นอกจากหลวงพ่อ “เฮ้ย!!! หรือจะเกิดเรื่องขึ้นกับหลวงพ่อ” ผมตกใจมากรีบเข้าไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...สวัสดีครับ”
“ไอ้หนึ่งเหรอ...หลวงพ่อเองนะ” ผมได้ยินเสียงปลายสายก็ตกใจมาก
“หลวงพ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ หลวงพ่อเป็นอะไรรึเปล่า มีเรื่องด่วนอะไรหรือครับ ผมยังไม่เลิกงานเลย” ผมตกใจเลยพูดจาละล่ำละลัก
“เออ!..หลวงพ่อรู้แล้วหลวงพ่อไม่เป็นอะไรหรอก...ว่าแต่มันมีเรื่องที่หลวงพ่อจำเป็นต้องรีบบอกให้เองได้รับรู้...คือมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่เอ็งไปสมัครงานไว้ในตำแหน่งสัตวแพทย์หรือสัตวบาลอะไรซักอย่างนี่แหล่ะ เค้าโทรมาแล้วให้เอ็งติดต่อกลับโดยด่วน หลวงพ่อร้อนใจก็เลยรีบโทรมาบอกเองกลัวเองจะพลาดโอกาส ยังไงก็แล้วแต่เอ็งนะตัดสินใจให้ดีนะ หลวงพ่อก็มีเรื่องบอกให้เอ็งรู้เท่านี้แหล่ะ” แล้วหลวงพ่อก็วางสายไปผมยังอึ้งอยู่แต่พอตั้งสติได้ผมก็รีบโทรศัพท์ไปหาบริษัทตามที่หลวงพ่อให้เบอร์โทรศัพท์ไว้
“สวัสดีค่ะ...บ.อาหารสัตว์ไทย (มหาชน) จำกัดค่ะ” ผมตกใจเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกไปว่า
“ผมชื่อ ณพฉัตร เปาชัย ครับ คือว่าตอนช่วงบ่ายมีโทรศัพท์มาหาผมเรื่องที่ผมเคยไปสมัครงานกับทางบริษัทฯเอาไว้แล้วบอกให้ผมติดต่อกลับด่วน ผมเลยโทร.เข้ามาสอบถามหนะครับ” ผมอธิบายไป
“ค่ะ...รอซักครู่นะคะ...คุณณพฉัตร เปาชัย นะคะ ตามที่คุณได้ยื่นสมัครงานกับทางบริษัท อาหารสัตว์ไทย (มหาชน) จำกัดของเรา ทางบริษัทฯยินดีรับคุณณพฉัตร เข้าทำงานในตำแหน่งสัตวบาลส่งเสริมการตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่ะ โดยคุณณพฉัตร จะต้องไปรายตัวกับผู้จัดการใหญ่ ที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เวลา 09.00 น. ในอีก 2 วันนะคะ สวัสดีค่ะ” ผมงงอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตั้งสติได้ มันเกิดอะไรขึ้นกับกูกันนี่ตั้งตัวไม่ทันเลย วันมะรืนเหรอก็อีก 2 วันถัดไปนะซิวะ โอ้!!! แม่เจ้าจะทำยังไงดีวะนี่!!!
(มีต่อนะครับ)
เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 3
ในกลุ่มเพื่อนสนิทที่เรียกตัวเองว่าแก๊งเด็กเหนือเพราะมีภูมิลำเนามาจากภาคเหนือกันทั้งสิ้น ต่างก็น้อยใจ เศร้าใจ จึงปรึกษาหารือกันว่าจะเอายังไงกันต่อจะอยู่หางานในเมืองหลวงหรือจะกลับไปตั้งหลักที่ภูมิลำเนา แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลของตนเอง โดยฝ่ายแรกจะขออยู่เผชิญชะตากรรมในเมืองหลวงต่อเพราะกลับบ้านไปก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรที่บ้านฐานะไม่ค่อยดี และฝ่ายที่สองเลือกที่จะกลับไปตั้งหลักที่บ้านนอกเพราะที่บ้านมีฐานะพอสมควร ส่วนผมเหรออยู่ในฝ่ายแรกจะขอสู้ชีวิตในนครหลวงถึงกลับบ้านที่ลำพูนก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จะให้ไปทำไร่ ทำสวนหรือเลี้ยงสัตว์รึที่ทางก็ไม่มีที่สำคัญไม่มีเงินทุนจึงต้องตัดสินใจเผชิญชะตากรรมหางานทำในนครหลวงที่ชื่อ “กรุงเทพมหานครฯ” ต่อไป
เรียนจบแล้วผมก็ยังทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดไผ่ตันคอยรับใช้หลวงพ่อตามปกติ เสร็จหน้าที่ที่วัดแล้วก็ออกตระเวนหางานทำ ยื่นใบสมัครงานไปตามบริษัท ห้างร้านต่างๆที่เขาประกาศรับสมัครพนักงานตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ฟังตามข่าววิทยุบ้างเป็นเวลาหลายสัปดาห์จนแทบหมดกำลังใจนี่ถ้าผมไม่โชคดีได้เป็นเด็กวัดละก็ยังนึกถึงชะตากรรมของผมว่าจะเป็นยังบ้างก็ไม่รู้เพราะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้ที่พัก ได้กินข้าวก้นบาตรเลยทำให้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอันมาก ทำให้ผมอดคิดถึงเพื่อนๆที่ตัดสินใจแบบผมไม่ได้ป่านนี้พวกมันจะเป็นยังไงกันบ้างนะคิดแล้วก็หดหู่ใจ และในที่สุดผมก็ได้รับข่าวดีได้เข้าทำงานในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมดีใจมาก... “เฮ้อ!...โคตรหายเหนื่อยเลย...กูมีงานทำงานแล้วดีใจจังโว้ย!!!”
ผมได้งานทำที่ห้างสรรพสินค้า Foodland Supermarket ในตำแหน่งพนักงาน Packing รายได้วันละ 149 บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของกรุงเทพฯในขณะนั้นทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แค่นี้ก็พอใจแล้ว หลายคนคงสงสัยซินะว่าพนักงานแผนก Packing คืออะไรทำงานยังไง หน้าที่ของพวกเราก็คือ ประจำที่อยู่กับพนักงานเก็บเงินหรือ Cashier ตรงช่องชำระค่าสินค้า หลังจากลูกค้าชำระค่าสินค้ากับพนักงานเก็บเงินแล้ว พวกเรามีหน้าที่รวบรวมและแยกประเภทสินค้าต่างๆ เช่น ของกินได้แยกไว้และของกินไม่ได้ก็แยกต่างหากเป็นต้น แล้วนำส่งให้ลูกค้าถึงที่รถ ถ้าโชคดีก็จะได้รับทิปจากลูกค้าใจดีบ้างเป็นบางครั้ง พนักงาน Packing จะต้องหมุนเวียนไปตามช่องชำระเงินต่างๆทำให้ได้รู้จัก Cashier มากหน้าหลายตา บางคนอัธยาศัยดี น่ารักแต่บางคนทำตัวน่ากระทืบจริงๆ...!!! คงกลัวเราไปพูดแทะโลมละมั้ง...อีเว้นเอ้ยอย่างกับมันสวยตายห่า...เฮ้อ...นานาจิตตังไม่ถือสาให้เมื่อยกบาลหรอก แล้ววันหนึ่งทางห้างได้รับพนักงาน Cashier รุ่นใหม่เข้ามาทำงานเพื่อทดแทนรุ่นเก่าที่บางคนได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นหรือบางคนที่ลาออก ไอ้หนุ่ม Packing น้อยใหญ่ทั้งหลายต่างตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจกันไปทั่ว เหมือนปลาได้กระแสน้ำใหม่หลังจากที่อยู่กับน้ำเน่ามานานแสนนาน ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีคนมาสะกิด
“ไอ้หนึ่ง...เห็นนางฟ้าเหมือนที่กูเห็นรึป่าววะ...
“เออ!..กูเห็นแล้วก็แค่พนักงานใหม่หนะจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนาวะไอ้แห้ว” ผมตอบ
“ตื่นเต้นซิวะ แต่ละนางสาวๆสวยๆกันทั้งนั้น...โอ้แม่เจ้าขอแห้วจีบได้เป็นแฟนซักคนเถอะเจ้าประคุณเอ๊ย” มันเพ้อเจ้อของมันไปเรื่อยผมมองเห็นแล้วส่ายหน้า
หลังจากการเปลี่ยนถ่ายCashier รุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงานแล้วพวกหนุ่มๆ Packing น้อยใหญ่ต่างกระชุ่มกระชาย ทำงานกันแบบยิ้มแย้มแจ่มใสหัวใจเบิกบานผมเองก็เช่นกันจิตใจเพลิดเพลินกับการทำงานเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับสาวคนนี้
“สวัสดีครับ...” ผมทักทาย “สวัสดีค่ะ” เธอทักทายตอบ
“พึ่งมาทำงานที่นี่เป็นที่แรกรึป่าวครับ” ผมถามต่อ
“ค่ะ...พอกุ๊กไก่เรียนจบก็ได้งานทำที่นี่เลยค่ะถือว่าโชคดีมากเลยค่ะเอ่อ...แล้วคุณ?” ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“อ๋อ...ผมชื่อหนึ่งครับขอโทษด้วยครับที่ผมลืมแนะนำตัวไปครับ...คุณกุ๊กไก่...แฮ่ๆๆ” เธอยิ้มอายๆ (ฮั่นแน่คิดจะจีบเค้าละซิ...อิๆๆๆ - อย่ามายุ่งได้ไหมไอ้สติมันเรื่องของกู) กุ๊กไก่เธอเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ผิวขาวหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาบาบี้รึป่าว...ไม่รู้สิผมเป็นผู้ชายไม่ชอบเล่นตุ๊กตาแต่เอาเป็นว่าน่ารักก็แล้วกัน อัธยาศัยดีพูดเก่งยิ้มเก่งนิสัยร่าเริง แล้วผมก็สะดุ้ง!
“พี่หนึ่งคะ...เป็นอะไรรึป่าวคะเห็นยืนเหม่อแล้วยิ้มๆด้วยตลกจริงเลย” บ้าไปแล้วกูทำอะไรเห่ยๆต่อหน้าสาวรึนี่เป็นเพราะคนเดียวเลยไอ้สติแตกเอ๊ย!!!ไปไกลๆตีนกูเลย...ไอ้เวร.
“อ๋อ...ไม่เป็นไรครับแค่รู้สึกมึนหัวเล็กน้อยนะครับ...ผมไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลยนะแปลกจริงๆเลย เอ๊ะ...รึว่าจะแพ้ความน่ารักของคุณกุ๊กไก่” ผมพูดแก้เก้อ (ว่าไปนั่นไอ้เด็กวัดแถเอาจนได้นะ...อิๆๆๆ - อยู่เฉยๆกูจัดการเรื่องของกูเองได้โว้ย...ไปไกลๆเลยไอ้สติแตก)
การทำงานของผมก็เป็นปกติดีทุกอย่าง ผมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนแถมค่อนข้างขี้อายอีกตางหาก จนเพื่อนๆบางคนล้อว่าผมเป็น “ไอ้ทิ่ม” ก็ว่ากันไปผมไม่โกธรหรอก แต่สำหรับกุ๊กไก่ไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอคอยเป็นห่วงเป็นใยในตัวผมเป็นอย่างมาก ผมเป็นโรคกระดูกทับเส้นซึ่งเป็นผลพวงมาจากเรื่องการเรียน ตอนที่ผมไปฝึกงานที่ด่านกักสัตว์ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ผมขึ้นไปฉีดวัคซีนให้วัวบนรถบรรทุกวัวแต่ผมดันพลาดโดนวัวเตะตกรถโคตรเจ็บเลยพวกรุ่นพี่เห็นเหตุการณ์ก็รีบนำตัวผมส่งโรงพยาบาลที่ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา หมอบอกว่าเป็นผลจากการกระแทกเลยเป็นอาการของกระดูกทับเส้นถ้าจะให้หายขาดต้องผ่าตัดหรือไม่ก็เอายาไปกิน ผมเลือกเอายาไปกินผมจะผ่าตัดได้ยังไงเงินก็ไม่มีแล้วอีกไม่กี่วันผมก็จะเรียนจบแล้ว อาการนี้มันติดตัวผมมาตลอดผมต้องกินยาแก้ปวดทุกๆ 4 ชั่วโมง กุ๊กไก่เป็นคนชอบสังเกตว่าทำไมผมต้องไปร้านขายยาในห้างบ่อยๆ เธอเลยถามตรงๆว่า
“พี่หนึ่งไปร้านขายยาทุกวันเลยเป็นอะไรรึเปล่าบอกไก่มาตามตรงนะห้ามโกหก” เจอมุกนี้ผมไปไม่เป็นเลย...ก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างให้กุ๊กไก่ฟังทั้งหมด
“เรื่องก็เป็นอย่างแหละจ้ะกุ๊กไก่” ผมบอก เธอหัวเราะเลิกน้อยแล้วก็ทำงานต่อไป วันต่อมาผมเจอกุ๊กไก่เธอยื่นกระปุกยามาให้ใหญ่มากเลยแล้วพูดว่า
“เอ๊า...เอาไปยาแก้ปวดคราวหลังไม่ต้องไปซื้อย่อยอีกแล้วนะมันเปลือง”
“กระปุกใหญ่จังเลยพี่ไม่มีเงินซื้อหรอกนะ” ผมบอก
“แล้วใครให้พี่ซื้อกันล่ะไก่เอาจากบ้านเองเตี่ยของไก่ท่านเปิดร้านขายยาไก่ก็เลยขอมาให้พี่ไง” ไก่อธิบาย
“แล้วเตี่ยไม่ว่าเอาเหรอว่าเอาไปให้ใคร” ผมถาม
“จะว่าได้เหรอแค่ไก่บอกว่าจะเอาไปบริจาคให้คนพิการก็แค่นั้นแหละ...เอารับไปซิ” ผมยื่นมือไปรับแบบเขินๆเห็นกูเป็นคนพิการซะแล้ว
“ขอบใจมากนะกุ๊กไก่เธอใจดีกับพี่เสมอเลยนะ” ผมขอบคุณแล้วรับกระปุกยามานึกในใจโชคดีแท้วะกูคงไม่ต้องซื้อยาไปอีกเป็นปีล่ะกู
ผมกับกุ๊กไก่เราสนิทกันมาก หลังเลิกงานเธอชอบชวนผมไปเที่ยว ช็อปปิ้ง ดูหนัง แล้วก็กินข้าว เป็นที่สนุกสนาน เวลาเดินไปด้วยกันกุ๊กไก่จะคอยเกาะแขนผมตลอดเวลาเหมือนน้องสาวกับพี่ชายยังไงยังนั้นเลยหญิงสาวตัวน้อยดูร่าเริงจริงๆ ผมเห็นแล้วน่าเอ็นดูมาก เรามีน้องสาวแล้วหรือนี่ (อย่าพึ่งดีใจไปชะตากรรมของยังไม่หมดแค่นี้ – ไอ้สติมากวนใจกูอีกแล้วนะที่พูดหมายความว่ายังไงวะ – ต่อไปเดี๋ยวก็จะรู้เองนะแหละ )
แล้วมีอยู่วันหนึ่ง มีพนักงานประชาสัมพันธ์ของห้างเข้ามาถามหาคนชื่อ นายณพฉัตร เปาชัย แจ้งว่ามีโทรศัพท์สายด่วนมาหาให้รีบไปรับด้วย ผมแปลกใจมากเบอร์โทร.ที่นี่ผมไม่ได้บอกใครนี่นอกจากหลวงพ่อ “เฮ้ย!!! หรือจะเกิดเรื่องขึ้นกับหลวงพ่อ” ผมตกใจมากรีบเข้าไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...สวัสดีครับ”
“ไอ้หนึ่งเหรอ...หลวงพ่อเองนะ” ผมได้ยินเสียงปลายสายก็ตกใจมาก
“หลวงพ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ หลวงพ่อเป็นอะไรรึเปล่า มีเรื่องด่วนอะไรหรือครับ ผมยังไม่เลิกงานเลย” ผมตกใจเลยพูดจาละล่ำละลัก
“เออ!..หลวงพ่อรู้แล้วหลวงพ่อไม่เป็นอะไรหรอก...ว่าแต่มันมีเรื่องที่หลวงพ่อจำเป็นต้องรีบบอกให้เองได้รับรู้...คือมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่เอ็งไปสมัครงานไว้ในตำแหน่งสัตวแพทย์หรือสัตวบาลอะไรซักอย่างนี่แหล่ะ เค้าโทรมาแล้วให้เอ็งติดต่อกลับโดยด่วน หลวงพ่อร้อนใจก็เลยรีบโทรมาบอกเองกลัวเองจะพลาดโอกาส ยังไงก็แล้วแต่เอ็งนะตัดสินใจให้ดีนะ หลวงพ่อก็มีเรื่องบอกให้เอ็งรู้เท่านี้แหล่ะ” แล้วหลวงพ่อก็วางสายไปผมยังอึ้งอยู่แต่พอตั้งสติได้ผมก็รีบโทรศัพท์ไปหาบริษัทตามที่หลวงพ่อให้เบอร์โทรศัพท์ไว้
“สวัสดีค่ะ...บ.อาหารสัตว์ไทย (มหาชน) จำกัดค่ะ” ผมตกใจเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกไปว่า
“ผมชื่อ ณพฉัตร เปาชัย ครับ คือว่าตอนช่วงบ่ายมีโทรศัพท์มาหาผมเรื่องที่ผมเคยไปสมัครงานกับทางบริษัทฯเอาไว้แล้วบอกให้ผมติดต่อกลับด่วน ผมเลยโทร.เข้ามาสอบถามหนะครับ” ผมอธิบายไป
“ค่ะ...รอซักครู่นะคะ...คุณณพฉัตร เปาชัย นะคะ ตามที่คุณได้ยื่นสมัครงานกับทางบริษัท อาหารสัตว์ไทย (มหาชน) จำกัดของเรา ทางบริษัทฯยินดีรับคุณณพฉัตร เข้าทำงานในตำแหน่งสัตวบาลส่งเสริมการตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่ะ โดยคุณณพฉัตร จะต้องไปรายตัวกับผู้จัดการใหญ่ ที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เวลา 09.00 น. ในอีก 2 วันนะคะ สวัสดีค่ะ” ผมงงอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตั้งสติได้ มันเกิดอะไรขึ้นกับกูกันนี่ตั้งตัวไม่ทันเลย วันมะรืนเหรอก็อีก 2 วันถัดไปนะซิวะ โอ้!!! แม่เจ้าจะทำยังไงดีวะนี่!!!
(มีต่อนะครับ)