เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 3


ตอนที่  3  ห้าง Foodland Supermarket

                หลังจากที่ผมเรียนจบก็ต้องรีบตระเวนหางานทำก็ยื่นใบสมัครงานไว้หลายแห่ง  ผมยังหงุดหงิดใจไม่หายโชคชะตาทำไมช่างใจร้ายนักตามความเป็นจริงสถาบันการศึกษาที่ผมเรียนเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ  สังกัดกรมปศุสัตว์  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ซึ่งนักศึกษาที่เรียนจบจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการในตำแหน่งสัตวแพทย์  ระดับ 2 สังกัดกรมปศุสัตว์ โดยอัตโนมัติ  ในกลุ่มของพวกเราที่สนิทสนมกันต่างก็วาดฝันไว้ว่าอยากจะบรรจุลงที่ไหนกันบ้างส่วนใหญ่ก็อยากบรรจุลงใกล้ๆภูมิลำเนาของตนเองกันทั้งนั้น  แต่ที่ไหนได้เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้น  ก่อนที่จะเรียนจบ  ทางสถานศึกษาแจ้งว่า  ณ  ปัจจุบันเนื่องจากกรมปศุสัตว์มีงบประมาณไม่เพียงพอจึงยังไม่สามารถจะทำการบรรจุนักศึกษาสัตวแพทย์ที่เรียนจบใหม่ได้  จึงขอให้นักศึกษาทุกคนไปประกอบอาชีพอื่นๆก่อนเพื่อหาประสบการณ์  โดยให้บันทึกที่อยู่ที่ติดต่อได้ของแต่ละคนไว้  ถ้ากรมปศุสัตว์พร้อมจะรับการบรรจุแต่งตั้งเมื่อไหร่ทางกรมฯจะแจ้วให้ทราบตามที่อยู่นั้นภายในระยะเวลา  4  ปี  นักศึกษาทุกคนได้ยินตามนั้นก็เกิดอาการไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงเกิดการประท้วงหวุดหวิดเกิดเหตุจาราจน  เรื่องนี้ร้อนถึงอธิบดีกรมปศุสัตว์จึงส่งรองอธิบดีฯ  มาพูดคุยเจรจากับกลุ่มนักศึกษาเรื่องราวจึงยุติ  นักศึกษาก็จำเป็นต้องยอมโดยทางกรมปศุสัตว์ให้การรับรองว่าจะดำเนินการให้ภายในระยะเวลา  4  ปี  นักศึกษาทุกคนต่างคนก็ต่างฝันสลายจำเป็นต้องไปเผชิญชีวิตของแต่ละคนเอาเอง....ยิ้มเอ๊ย!!!...นี่กูตกงานหรือวะนี่

                ในกลุ่มเพื่อนสนิทที่เรียกตัวเองว่าแก๊งเด็กเหนือเพราะมีภูมิลำเนามาจากภาคเหนือกันทั้งสิ้น  ต่างก็น้อยใจ  เศร้าใจ  จึงปรึกษาหารือกันว่าจะเอายังไงกันต่อจะอยู่หางานในเมืองหลวงหรือจะกลับไปตั้งหลักที่ภูมิลำเนา  แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลของตนเอง  โดยฝ่ายแรกจะขออยู่เผชิญชะตากรรมในเมืองหลวงต่อเพราะกลับบ้านไปก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรที่บ้านฐานะไม่ค่อยดี  และฝ่ายที่สองเลือกที่จะกลับไปตั้งหลักที่บ้านนอกเพราะที่บ้านมีฐานะพอสมควร  ส่วนผมเหรออยู่ในฝ่ายแรกจะขอสู้ชีวิตในนครหลวงถึงกลับบ้านที่ลำพูนก็ไม่รู้จะไปทำอะไร  จะให้ไปทำไร่  ทำสวนหรือเลี้ยงสัตว์รึที่ทางก็ไม่มีที่สำคัญไม่มีเงินทุนจึงต้องตัดสินใจเผชิญชะตากรรมหางานทำในนครหลวงที่ชื่อ  “กรุงเทพมหานครฯ”  ต่อไป

                เรียนจบแล้วผมก็ยังทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดไผ่ตันคอยรับใช้หลวงพ่อตามปกติ  เสร็จหน้าที่ที่วัดแล้วก็ออกตระเวนหางานทำ  ยื่นใบสมัครงานไปตามบริษัท  ห้างร้านต่างๆที่เขาประกาศรับสมัครพนักงานตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง  ฟังตามข่าววิทยุบ้างเป็นเวลาหลายสัปดาห์จนแทบหมดกำลังใจนี่ถ้าผมไม่โชคดีได้เป็นเด็กวัดละก็ยังนึกถึงชะตากรรมของผมว่าจะเป็นยังบ้างก็ไม่รู้เพราะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้ที่พัก  ได้กินข้าวก้นบาตรเลยทำให้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอันมาก  ทำให้ผมอดคิดถึงเพื่อนๆที่ตัดสินใจแบบผมไม่ได้ป่านนี้พวกมันจะเป็นยังไงกันบ้างนะคิดแล้วก็หดหู่ใจ  และในที่สุดผมก็ได้รับข่าวดีได้เข้าทำงานในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง  ผมดีใจมาก...  “เฮ้อ!...โคตรหายเหนื่อยเลย...กูมีงานทำงานแล้วดีใจจังโว้ย!!!”

                ผมได้งานทำที่ห้างสรรพสินค้า  Foodland  Supermarket   ในตำแหน่งพนักงาน Packing  รายได้วันละ  149  บาท  ซึ่งเป็นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของกรุงเทพฯในขณะนั้นทำงานวันละ  8  ชั่วโมง  แค่นี้ก็พอใจแล้ว  หลายคนคงสงสัยซินะว่าพนักงานแผนก Packing  คืออะไรทำงานยังไง  หน้าที่ของพวกเราก็คือ  ประจำที่อยู่กับพนักงานเก็บเงินหรือ Cashier  ตรงช่องชำระค่าสินค้า  หลังจากลูกค้าชำระค่าสินค้ากับพนักงานเก็บเงินแล้ว  พวกเรามีหน้าที่รวบรวมและแยกประเภทสินค้าต่างๆ  เช่น  ของกินได้แยกไว้และของกินไม่ได้ก็แยกต่างหากเป็นต้น  แล้วนำส่งให้ลูกค้าถึงที่รถ  ถ้าโชคดีก็จะได้รับทิปจากลูกค้าใจดีบ้างเป็นบางครั้ง  พนักงาน Packing จะต้องหมุนเวียนไปตามช่องชำระเงินต่างๆทำให้ได้รู้จัก Cashier มากหน้าหลายตา  บางคนอัธยาศัยดี  น่ารักแต่บางคนทำตัวน่ากระทืบจริงๆ...!!!  คงกลัวเราไปพูดแทะโลมละมั้ง...อีเว้นเอ้ยอย่างกับมันสวยตายห่า...เฮ้อ...นานาจิตตังไม่ถือสาให้เมื่อยกบาลหรอก  แล้ววันหนึ่งทางห้างได้รับพนักงาน Cashier รุ่นใหม่เข้ามาทำงานเพื่อทดแทนรุ่นเก่าที่บางคนได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นหรือบางคนที่ลาออก  ไอ้หนุ่ม Packing น้อยใหญ่ทั้งหลายต่างตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจกันไปทั่ว  เหมือนปลาได้กระแสน้ำใหม่หลังจากที่อยู่กับน้ำเน่ามานานแสนนาน  ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีคนมาสะกิด

                “ไอ้หนึ่ง...เห็นนางฟ้าเหมือนที่กูเห็นรึป่าววะ...ยิ้มโคตรแจ่มทั้งนั้นเลยแต่ละนางสุดยอดเลยหวะ”  ไอ้แห้วเพื่อนสนิทผมมันพูดแล้วยังจ้องสายตาไปยังCashier รุ่นใหม่ที่พึ่งเข้ามาทำงานวันแรกแบบหื่นกระหาย
                “เออ!..กูเห็นแล้วก็แค่พนักงานใหม่หนะจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนาวะไอ้แห้ว” ผมตอบ
                “ตื่นเต้นซิวะ  แต่ละนางสาวๆสวยๆกันทั้งนั้น...โอ้แม่เจ้าขอแห้วจีบได้เป็นแฟนซักคนเถอะเจ้าประคุณเอ๊ย”  มันเพ้อเจ้อของมันไปเรื่อยผมมองเห็นแล้วส่ายหน้า

                หลังจากการเปลี่ยนถ่ายCashier รุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงานแล้วพวกหนุ่มๆ Packing น้อยใหญ่ต่างกระชุ่มกระชาย  ทำงานกันแบบยิ้มแย้มแจ่มใสหัวใจเบิกบานผมเองก็เช่นกันจิตใจเพลิดเพลินกับการทำงานเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับสาวคนนี้

                “สวัสดีครับ...” ผมทักทาย  “สวัสดีค่ะ” เธอทักทายตอบ  
                “พึ่งมาทำงานที่นี่เป็นที่แรกรึป่าวครับ” ผมถามต่อ 
                “ค่ะ...พอกุ๊กไก่เรียนจบก็ได้งานทำที่นี่เลยค่ะถือว่าโชคดีมากเลยค่ะเอ่อ...แล้วคุณ?”  ผมสะดุ้งเล็กน้อย  
                “อ๋อ...ผมชื่อหนึ่งครับขอโทษด้วยครับที่ผมลืมแนะนำตัวไปครับ...คุณกุ๊กไก่...แฮ่ๆๆ”  เธอยิ้มอายๆ (ฮั่นแน่คิดจะจีบเค้าละซิ...อิๆๆๆ - อย่ามายุ่งได้ไหมไอ้สติมันเรื่องของกู)  กุ๊กไก่เธอเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ  ผิวขาวหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาบาบี้รึป่าว...ไม่รู้สิผมเป็นผู้ชายไม่ชอบเล่นตุ๊กตาแต่เอาเป็นว่าน่ารักก็แล้วกัน  อัธยาศัยดีพูดเก่งยิ้มเก่งนิสัยร่าเริง  แล้วผมก็สะดุ้ง!
                “พี่หนึ่งคะ...เป็นอะไรรึป่าวคะเห็นยืนเหม่อแล้วยิ้มๆด้วยตลกจริงเลย” บ้าไปแล้วกูทำอะไรเห่ยๆต่อหน้าสาวรึนี่เป็นเพราะคนเดียวเลยไอ้สติแตกเอ๊ย!!!ไปไกลๆตีนกูเลย...ไอ้เวร.
                 “อ๋อ...ไม่เป็นไรครับแค่รู้สึกมึนหัวเล็กน้อยนะครับ...ผมไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลยนะแปลกจริงๆเลย  เอ๊ะ...รึว่าจะแพ้ความน่ารักของคุณกุ๊กไก่” ผมพูดแก้เก้อ (ว่าไปนั่นไอ้เด็กวัดแถเอาจนได้นะ...อิๆๆๆ  -  อยู่เฉยๆกูจัดการเรื่องของกูเองได้โว้ย...ไปไกลๆเลยไอ้สติแตก)

                การทำงานของผมก็เป็นปกติดีทุกอย่าง  ผมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนแถมค่อนข้างขี้อายอีกตางหาก  จนเพื่อนๆบางคนล้อว่าผมเป็น “ไอ้ทิ่ม” ก็ว่ากันไปผมไม่โกธรหรอก  แต่สำหรับกุ๊กไก่ไม่ได้เป็นแบบนั้น  เธอคอยเป็นห่วงเป็นใยในตัวผมเป็นอย่างมาก  ผมเป็นโรคกระดูกทับเส้นซึ่งเป็นผลพวงมาจากเรื่องการเรียน  ตอนที่ผมไปฝึกงานที่ด่านกักสัตว์  อ.ด่านขุนทด  จ.นครราชสีมา  ผมขึ้นไปฉีดวัคซีนให้วัวบนรถบรรทุกวัวแต่ผมดันพลาดโดนวัวเตะตกรถโคตรเจ็บเลยพวกรุ่นพี่เห็นเหตุการณ์ก็รีบนำตัวผมส่งโรงพยาบาลที่ด่านขุนทด  จ.นครราชสีมา  หมอบอกว่าเป็นผลจากการกระแทกเลยเป็นอาการของกระดูกทับเส้นถ้าจะให้หายขาดต้องผ่าตัดหรือไม่ก็เอายาไปกิน  ผมเลือกเอายาไปกินผมจะผ่าตัดได้ยังไงเงินก็ไม่มีแล้วอีกไม่กี่วันผมก็จะเรียนจบแล้ว  อาการนี้มันติดตัวผมมาตลอดผมต้องกินยาแก้ปวดทุกๆ 4 ชั่วโมง   กุ๊กไก่เป็นคนชอบสังเกตว่าทำไมผมต้องไปร้านขายยาในห้างบ่อยๆ  เธอเลยถามตรงๆว่า  
                “พี่หนึ่งไปร้านขายยาทุกวันเลยเป็นอะไรรึเปล่าบอกไก่มาตามตรงนะห้ามโกหก”  เจอมุกนี้ผมไปไม่เป็นเลย...ก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างให้กุ๊กไก่ฟังทั้งหมด  
                “เรื่องก็เป็นอย่างแหละจ้ะกุ๊กไก่”  ผมบอก  เธอหัวเราะเลิกน้อยแล้วก็ทำงานต่อไป  วันต่อมาผมเจอกุ๊กไก่เธอยื่นกระปุกยามาให้ใหญ่มากเลยแล้วพูดว่า  
                “เอ๊า...เอาไปยาแก้ปวดคราวหลังไม่ต้องไปซื้อย่อยอีกแล้วนะมันเปลือง”  
                “กระปุกใหญ่จังเลยพี่ไม่มีเงินซื้อหรอกนะ”  ผมบอก  
                “แล้วใครให้พี่ซื้อกันล่ะไก่เอาจากบ้านเองเตี่ยของไก่ท่านเปิดร้านขายยาไก่ก็เลยขอมาให้พี่ไง” ไก่อธิบาย  
                “แล้วเตี่ยไม่ว่าเอาเหรอว่าเอาไปให้ใคร”  ผมถาม  
                “จะว่าได้เหรอแค่ไก่บอกว่าจะเอาไปบริจาคให้คนพิการก็แค่นั้นแหละ...เอารับไปซิ”  ผมยื่นมือไปรับแบบเขินๆเห็นกูเป็นคนพิการซะแล้ว 
                “ขอบใจมากนะกุ๊กไก่เธอใจดีกับพี่เสมอเลยนะ”  ผมขอบคุณแล้วรับกระปุกยามานึกในใจโชคดีแท้วะกูคงไม่ต้องซื้อยาไปอีกเป็นปีล่ะกู
  
                ผมกับกุ๊กไก่เราสนิทกันมาก  หลังเลิกงานเธอชอบชวนผมไปเที่ยว      ช็อปปิ้ง  ดูหนัง  แล้วก็กินข้าว  เป็นที่สนุกสนาน  เวลาเดินไปด้วยกันกุ๊กไก่จะคอยเกาะแขนผมตลอดเวลาเหมือนน้องสาวกับพี่ชายยังไงยังนั้นเลยหญิงสาวตัวน้อยดูร่าเริงจริงๆ  ผมเห็นแล้วน่าเอ็นดูมาก  เรามีน้องสาวแล้วหรือนี่  (อย่าพึ่งดีใจไปชะตากรรมของยังไม่หมดแค่นี้ – ไอ้สติมากวนใจกูอีกแล้วนะที่พูดหมายความว่ายังไงวะ – ต่อไปเดี๋ยวก็จะรู้เองนะแหละ ) 
 
                แล้วมีอยู่วันหนึ่ง  มีพนักงานประชาสัมพันธ์ของห้างเข้ามาถามหาคนชื่อ  นายณพฉัตร  เปาชัย  แจ้งว่ามีโทรศัพท์สายด่วนมาหาให้รีบไปรับด้วย  ผมแปลกใจมากเบอร์โทร.ที่นี่ผมไม่ได้บอกใครนี่นอกจากหลวงพ่อ  “เฮ้ย!!!  หรือจะเกิดเรื่องขึ้นกับหลวงพ่อ”  ผมตกใจมากรีบเข้าไปรับโทรศัพท์
  
                “ฮัลโหล...สวัสดีครับ”  
                “ไอ้หนึ่งเหรอ...หลวงพ่อเองนะ”  ผมได้ยินเสียงปลายสายก็ตกใจมาก 
                “หลวงพ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ  หลวงพ่อเป็นอะไรรึเปล่า  มีเรื่องด่วนอะไรหรือครับ  ผมยังไม่เลิกงานเลย”  ผมตกใจเลยพูดจาละล่ำละลัก  
                “เออ!..หลวงพ่อรู้แล้วหลวงพ่อไม่เป็นอะไรหรอก...ว่าแต่มันมีเรื่องที่หลวงพ่อจำเป็นต้องรีบบอกให้เองได้รับรู้...คือมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่เอ็งไปสมัครงานไว้ในตำแหน่งสัตวแพทย์หรือสัตวบาลอะไรซักอย่างนี่แหล่ะ  เค้าโทรมาแล้วให้เอ็งติดต่อกลับโดยด่วน  หลวงพ่อร้อนใจก็เลยรีบโทรมาบอกเองกลัวเองจะพลาดโอกาส  ยังไงก็แล้วแต่เอ็งนะตัดสินใจให้ดีนะ  หลวงพ่อก็มีเรื่องบอกให้เอ็งรู้เท่านี้แหล่ะ”  แล้วหลวงพ่อก็วางสายไปผมยังอึ้งอยู่แต่พอตั้งสติได้ผมก็รีบโทรศัพท์ไปหาบริษัทตามที่หลวงพ่อให้เบอร์โทรศัพท์ไว้

                “สวัสดีค่ะ...บ.อาหารสัตว์ไทย  (มหาชน)  จำกัดค่ะ”  ผมตกใจเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกไปว่า  
                “ผมชื่อ  ณพฉัตร  เปาชัย  ครับ  คือว่าตอนช่วงบ่ายมีโทรศัพท์มาหาผมเรื่องที่ผมเคยไปสมัครงานกับทางบริษัทฯเอาไว้แล้วบอกให้ผมติดต่อกลับด่วน  ผมเลยโทร.เข้ามาสอบถามหนะครับ”  ผมอธิบายไป  
                “ค่ะ...รอซักครู่นะคะ...คุณณพฉัตร  เปาชัย  นะคะ  ตามที่คุณได้ยื่นสมัครงานกับทางบริษัท  อาหารสัตว์ไทย  (มหาชน)  จำกัดของเรา  ทางบริษัทฯยินดีรับคุณณพฉัตร  เข้าทำงานในตำแหน่งสัตวบาลส่งเสริมการตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่ะ  โดยคุณณพฉัตร  จะต้องไปรายตัวกับผู้จัดการใหญ่  ที่คณะเกษตรศาสตร์  มหาวิทยาลัยขอนแก่น  เวลา  09.00 น.  ในอีก 2 วันนะคะ  สวัสดีค่ะ”  ผมงงอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตั้งสติได้  มันเกิดอะไรขึ้นกับกูกันนี่ตั้งตัวไม่ทันเลย  วันมะรืนเหรอก็อีก  2  วันถัดไปนะซิวะ  โอ้!!!  แม่เจ้าจะทำยังไงดีวะนี่!!!

                (มีต่อนะครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่