
กลับมาต่อจากกระทู้ก่อนหน้ากันดีกว่า ตอนนี้เรายังคงอยู่ที่เกียวโต ลุยที่นี่ให้จบแล้วกระทู้หน้าไปต่อที่โอซาก้ากัน
กระทู้ก่อนนี้ จิ้มได้เลย
อ่านตอน 1 การเดินทางและเกียวโตกันเถอะ
Tofuku-ji Temple วัดโทฟุคุจิ (ค่าเข้าวัด 900 เยน)
บริเวณวัดแห่งนี้ ก็ไม่ได้กว้างมาก เมื่อเทียบกับปริมาณคนที่มา วันที่ไป ถึงขนาดต้องต่อคิวรอและทยอยกันเข้า และค่าเข้าที่แพงมากจริงๆ 900 เยน แพงสุดของทุกวัดแล้ว และที่มันติดขัดก็ตรงที่ทุกคนหยุดถ่ายรูปกันตั้งแต่เดินเข้าไปในเขตวัดเลย ใบไม้แดงที่นี่ ส้มแดงสุดยอดเลย ตรงทางเดินเป็นวงกลมเล็กๆตรงนั้น ที่หยุดแวะถ่ายรูปกันล่ะ ไฮไลท์ของที่นี่ ก็ตรงจุดที่มองไปจะเห็นใบไม้แดง จากอีกฝั่งของสะพานที่อยู่ในวัด และเป็นจุดที่มีความสวยงามของใบเมเปิ้ลปกคลุมตามแนวสะพานยาวถึง 100 เมตร
(คะแนน 5/5)
ย่าน อิชิโจจิ Ichijoji
ย่านที่พักอาศัยอิชิโจจิ แนว Local ที่มีร้านค้าไอเดียเก๋
ชื่อย่านโลคอลแห่งหนึ่งในจังหวัดเกียวโต อยู่ห่างจากเกียวโตใช้เวลาราวๆ 30 นาทีโดยรถไฟ มาลงที่สถานีอิชิโจจิ (Ichijoji Station) สถานีเล็กๆ ชานเมือง แม้จะไม่ได้สวยงามเป็นพิเศษไม่ได้หวือหวาจนต้องร้องว้าว แต่เป็นความธรรมดาที่เรียกรอยยิ้มน้อยๆ สำหรับคนชอบแถบชานเมืองเงียบๆ
ที่นี่ จุด Highlight ของย่านนี้ คงไม่พ้นร้านหนังสือ KEIBUNSHA BOOKS, GIFTS and SOMETHING FOR LIFE ที่คงสไตล์กลิ่นอายของ Local ที่มัดใจขาอาร์ต สายหนังสือให้เดินทางเข้ามาเรื่อยๆ ร้านนี้ เป็นร้านหนังสือที่ดีที่สุดในเกียวโต และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 10 ร้านหนังสือที่ดีที่สุดในโลก (The World’s 10 Best Bookshops) ภายในร้านจะถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน ที่สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันไดหมด คือ Keibunsha Bookstore, Keibusha Ichijoji Shop, Keibunsha Cottage และ Keibunsha Gallery Enfer
ตอนแรกก็ไม่ทันเห็นโซนหนังสือ เพราะไปเดินเข้าอีกประตู ก็ยังคิดว่ามันอยู่ตรงไหน ทำไมไม่เห็นโซนนั้นเลย เพราะที่เข้ามาดูก็แคโซน shop และ Gallery โดยรวมร้านน่ารัก แนวอาร์ตๆ โซนหนังสือก็ดูเป็นแนวอาร์ตดี แต่พอดีถ้าจะถ่ายรูปต้องขออนุญาติก่อน นี่เลยขี้เกียจงัย เพราะเด่วเค้ารู้ว่ามาแค่เดินเล่น ถ่ายรูป เพราะยังไงเราก็อ่านไม่ออก หนังสือเกือบทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นจ้า
(คะแนน 4/5)
ส่วนร้านของคุณตา Coffee House Parrot ร้านกาแฟโบราณและร้านอาหารขนาดกะทัดรัด ที่ตั้งใจอยากไปกิน ก็ปิดไป ไม่แน่ใจ ปิดถาวร หรือชั่วคราวช่วงโควิค
ในส่วนร้านที่เราเลือกเป็นมื้อกลางวัน ร้าน Aikamu ร้านอาหารญี่ปุ่นโฮมเมดที่เมื่อก่อนเห็นว่ามีจุดเด่นที่มีหนังสือการ์ตูนในร้านเยอะมาก สามารถเดินเข้าร้านแล้วไปเลือกหนังสือมาอ่าน แทนการหยิบมือถือมาเล่นระหว่างรออาหารนั้น ช่วงที่ไปถึง คนเยอะมาเรื่อยๆ เลย บน shelf ก็ไม่เห็นว่ามีการ์ตูนอยู่ น่าจะเพราะโควิด ร้านแถวนั้นเลยปิดไปบ้างล่ะ ร้านนี้คนเลยเยอะอยู่ แต่เราก็ได้ที่ริมกระจกหน้าร้านเลย อาหารก็ใช้ได้อยู่
หลังจากเดินเล่นย่อย ไปสักพัก ก็มาแวะกินขนมหวานร้านดังที่นี่ ร้าน Mushiyashinai (648471)
ต้องสังเกตุชื่อร้านที่เป็นตัวเลขล่ะ แปะไว้หน้าร้านเลย ร้านขนมหวานที่นี่ ทำจากนมถั่วเหลือง เพราะเจ้าของร้านเห็นว่ามีคนที่แพ้นมวัวอยู่จำนวนไม่น้อย และคงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าถ้าคนเราจะไม่ได้กินเค้กเพียงเพราะแพ้นมวัว เลยคิดทำเค้กที่ไม่มีส่วนผสมของแป้งสาลี ไข่ และนมวัว แต่ใช้นมถั่วเหลืองแทน ซึ่งนั้นคงเป็นกิมมิคของร้านที่จะสร้างความแตกต่างจากที่อื่นๆล่ะ ส่วนตัวว่าราคาเค้กแรงไปหน่อย รสชาติพอใช้ได้ ส่วนกาแฟเฉยๆ ถ้าไม่ใส่นม เหมือนจะกินโอเลี้ยง แต่มาถึงก็คงต้องลองล่ะ ร้าน recommended ของที่นี่เลยนะ
และท้ายสุด ก่อนกลับจริงๆ บังเอิญได้เดินผ่านร้านขายขนมปัง homemade แบบ local เล็กๆ กระทัดรัด และขนมก็ดูน่าทานดี เพราะก็เบื่อขนมปัง 7-11, Family mart แถวที่พักล่ะ เลยซื้อกลับบ้านไปกินดีก่า รสชาติถือว่าใช้ได้อยู่น้า และเราก็ชอบร้านเล็กๆ แบบ homemade เป็นทุนเดิมอยู๋
โดยสรุป เมืองเล็กๆแห่งนี้ ส่วนตัวคิดว่าเงียบไปหน่อย ขนาดเราที่ไม่ได้ชอบวุ่นวายยังรู้สึกว่าเงียบ เพราะมันสร้างให้มีอารมณ์เหงาๆ เกิดขึ้นในใจ ดีว่ามาหลายคน ถ้ามาคนเดียว เหมือนอยู่ในโหมดอารมณ์ sad อยู่ ร้านค้าที่เป็นอาหาร ขนม ค่อนข้างน้อย มีแค่ที่ highlight และถือว่าไปหมด เพราะเมืองไม่ได้กว้างมาก แค่เดิน 2-3 กิโล คิดว่าครบอยู่ สำหรับคนขี้เหงา ก็ไม่แนะนำมา เด่วจะเหงาไปกันใหญ่ สำหรับคนเหงาไม่มากอย่างเรา ถ้าไม่มีเวลาพอ ก็ไม่จำเป็นต้องมา
(คะแนน 3/5)
Kibune Town (เข้าศาลเจ้าฟรี)
เป็นเมืองขนาดเล็กในหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต (Kyoto City) เมืองแห่งนี้ก่อตัวขึ้นโดยมีศาลเจ้าคิบูเนะ (Kibune Shrine) เป็นศูนย์กลาง ตามตำนานกล่าวว่า มีเทพธิดาเดินทางด้วยเรือสีเหลืองหรือคิบูเนะ จากโอซาก้า (Osaka) ขึ้นไปตามแม่น้ำจนไปถึงหุบเขาทางตอนเหนือของเกียวโต และสิ้นสุดการเดินทางที่จุดนี้ จึงได้เกิดเป็นศาลเจ้าคิบูเนะ (Kibune Shrine)
เราเดินทางต่อกันขึ้นไปจาก Ichijoji Station ซึ่งเป็นแค่สถานีที่เล็กมากๆ โดยรีบวิ่งขึ้นมาเลย แบบไม่ได้สังเกตุว่าต้องแตะบัตรตรงหัวเสา เพราะเห็นรถไฟมาพอดี เลยรีบถามเจ้าพนักงานสถานีก่อนขึ้นไปอีกที เพราะคนบนรถค่อนข้างเยอะมาก และเราก็ยังไม่ได้สังเกตุรายละเอียดขบวนอย่างละเอียด ถ้าต้องรออีกขบวนคงจะเย็นเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าเหมือนทุกคนจะมุ่งตรงไปยังศาลเจ้าแห่งนี้เหมือนกัน เราค่อนข้างประทับใจกับวิวข้างทางมาก เหมือนรถจะค่อยๆ ไต่ขึ้นเนินไปเรื่อยๆ แบบแทบไม่รู้ว่าเรากำลังเดินทางเข้าสู่หุบเขาเล็กๆ ที่เหล่าต้นไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นส้มแดง บรรยากาศต้นไม้ ดูสดชื่นไปหมด แม้ว่าเราจะยืนอยู่บนรถไปตลอดระยะทางจนถึงสถานีป้ายเกือบสุดท้าย แถมคนขับน่ารักมาก มีชะลอความเร็ว วิ่งอย่างช้าๆ เมื่อขบวนรถผ่านดงใบไม้เปลี่ยนสีให้ผู้โดยสารได้ชื่นชมกัน จนมาถึงสถานี Kibuneguchi Station ก็ลงไปต่อรถบัสฝั่งตรงข้าม หมายเลข 33 ที่ นั่งมาลงที่ป้าย Kifune แล้วเดินต่ออีก 5-10 นาที เพราะถ้าเดินมาคงไม่ถึง ไกลเหมือนกันและถนนค่อนข้างเล็กอาจจะอันตรายไปหน่อย ช่วง10 นาทีที่เดินไปศาลเจ้า จะมีวิวธารน้ำตกเล็กๆ และใบไม้ที่เปลี่ยนสีให้รู้สึกสดชื่นไปตลอด รวมถึงร้านขายของที่ระลึกร้านนึงที่ดูอาร์ตให้แวะเข้าไปดูในช่วงขากลับ จากบริเวณทางเข้าศาลเจ้ามองไป จะเห็นจุดเด่นของที่นี่คือทางเดินขึ้นเนินของวัดที่อยู่บนเขาก็จะมีเสาเล็ก ๆ ด้านบนวางโคมไฟสามเหลี่ยมที่คล้ายศาลเจ้าเล็ก ๆ อยู่ตลอดทาง มันทำให้ศาลเจ้าดูมีความสดใส ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่ไม่มีแสงพระอาทิตย์ส่องแล้ว เรารู้สึกสดชื่นมาก แม้ว่าจะต้องเดินขึ้นเนินไป ถ่ายรูปไปด้วยก็เพลินๆ เลย ด้านบนมีอีกกิมมิคนึงก็คือ การเซียมซี ซึ่งจะเห็นข้อความก็ต้องเอากระดาษไปแช่ในน้ำ จะเห็นตัวหนังสือค่อยๆ ปรากฎให้เห็น เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่เขาสร้างสรรมาดี เราปิดทริปโปรแกรมวันนี้ที่นี่ เพราะตอนนี้แสงใกล้จะหมดแล้ว ยังต้องไปยืนรอรถบัส กลับสถานีด้วย ขากลับบนรถไฟ มืดล่ะ คนขับน่ารักเหมือนเดิมเค้าชะลอรถช้ามากๆ เมื่อรถกำลังจะผ่านดงใบไม้เปลี่ยนสี ที่ตอนนี้ติด light ประดับตามต้นไม้ให้ได้ชมกัน ตอนแรก งง นิดหน่อย เพราะจู่ๆ เค้าก็ดับไฟบนรถ อ่อ ก็เพื่อให้ผู้โดยสารชม light ใบไม้แดงให้ฟินๆ นี่เอง ใส่ใจเนอะ love เลย
(คะแนน 5/5) มานะ ประทับใจมาก
Uji เมืองชาเขียวแสนน่ารักในจังหวัดเกียวโต
อุจิ (Uji) เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของจังหวัดเกียวโต นั่งจากเกียวโตมาไม่ไกลสักครึ่ง ชม โดยรถไฟ JR สาย Nara Line เมืองนี้มีชื่อเรื่องชาเขียวที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และยังมีมรดกโลกวัดเบียวโดอิน ให้ได้ชมกันอีกด้วย มาถึงก็คุ้มนะ เพราะไม่ไกลจากเกียวโต อาหารก็ดี มีเส้นโซบะที่ผสมชาเขียวด้วย ไอติมมัทฉะชาเขียวรสเลิศ ชาเขียวร้อนก็เยี่ยม หอมด้วย มีความสุข อิ่มเอม อิ่มใจ มาแบบ slow life อย่ารีบ แล้วเราจะได้ดื่มด่ำกับความธรรมดาแบบเรื่อยๆ ที่นี่มีจุดเช็คอินหลักๆ ที่เราแวะไป
สะพานอุจิ | Ujibashi Bridgeหนึ่งในสามสะพานเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เดินชิลริมแม่น้ำเพลินๆ มองวิวได้ไกลๆ สบายตา
รูปปั้น มุราซากิ ชิคิบุ | Statue of Murasaki Shikibu เป็นรูปปั้นของ ผู้ประพันธ์วรรณกรรมเรื่อง ตำนานเก็นจิ (The Tale of Genji) ซึ่งเป็นหนึ่งในนิยายเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเฮอันและมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น
ถนนเบียวโดอิน โอโมเตะซันโด | Byodoin Omotesando
ถนนสายกินและช็อป เดินจากเส้นถนนจุดที่มีรูปปั้นนั้นเลย เป็นทางเดินเข้าสู่ด้านหน้าวัดเบียวโดอิน เพลินกับไอติมชาเขียว ร้านขายอาหาร และสินค้าของฝากต่างๆ หลักๆ เลยก็มีชาเขียวเป็นส่วนประกอบนั่นล่ะ
วัดเบียวโดอิน |
Byodoin Temple (600 Yen)
เป็นวัดที่ได้รับคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่น สร้างราวๆ 1,000 ปีมาแล้ว ไฮไลท์ของวัดเบียวโดอินคือ Amida-do Hall หรือ Phoenix Hall วิหารไม้สีแดงสดตั้งอยู่ตรงใจกลางวัดซึ่งตัววิหารเป็นโครงสร้างดั้งเดิมตั้งแต่อดีต วิหารแห่งนี้ก็คือวิหารที่ปรากฏอยู่บนเหรียญสิบเยนของญี่ปุ่นด้วย

อีกร้านที่พลาดไป เพราะตอนนั้นลืม อยากกินกลางวัน เพราะหิวแล้ว พอเจอร้านที่น่าสนใจ เลยลืมร้านที่อยากไปนี้เลยคือ ร้าน Nakamura Tokichi : คาเฟ่ชาเขียว “อูจิ” บรรยากาศโบราณริมแม่น้ำ ณ ใจกลางเมือง Uji
ร้านคาเฟ่ชาเขียวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองนั้น ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางเข้าวัด Byodo-in ริมแม่น้ำ Uji (มี 2 สาขา สาขาแรกอยู่ใกล้สถานี ทั้ง 2 สาขามีคิวยาว) คราวหน้ามาอีกคงต้องลอง
ภาพรวมที่ Uji ดีงาม ชอบมาก คนไม่พลุกพล่านมากเกินไป เดินสบายๆ อาหาร ขนม ชาเขียวคือดีคะแนน 5/5 ประทับใจ
จิ้มลิ้งนี่แล้วไปต่อกันค่า ตอนสุดท้ายแล้ว
ไปต่อโอซาก้า โกเบกันค่า
[CR] I love Japan - โอซาก้า เกียวโต ในวันที่เปลี่ยนสี
กระทู้ก่อนนี้ จิ้มได้เลย อ่านตอน 1 การเดินทางและเกียวโตกันเถอะ
Tofuku-ji Temple วัดโทฟุคุจิ (ค่าเข้าวัด 900 เยน)
บริเวณวัดแห่งนี้ ก็ไม่ได้กว้างมาก เมื่อเทียบกับปริมาณคนที่มา วันที่ไป ถึงขนาดต้องต่อคิวรอและทยอยกันเข้า และค่าเข้าที่แพงมากจริงๆ 900 เยน แพงสุดของทุกวัดแล้ว และที่มันติดขัดก็ตรงที่ทุกคนหยุดถ่ายรูปกันตั้งแต่เดินเข้าไปในเขตวัดเลย ใบไม้แดงที่นี่ ส้มแดงสุดยอดเลย ตรงทางเดินเป็นวงกลมเล็กๆตรงนั้น ที่หยุดแวะถ่ายรูปกันล่ะ ไฮไลท์ของที่นี่ ก็ตรงจุดที่มองไปจะเห็นใบไม้แดง จากอีกฝั่งของสะพานที่อยู่ในวัด และเป็นจุดที่มีความสวยงามของใบเมเปิ้ลปกคลุมตามแนวสะพานยาวถึง 100 เมตร
(คะแนน 5/5)
ย่าน อิชิโจจิ Ichijoji
ย่านที่พักอาศัยอิชิโจจิ แนว Local ที่มีร้านค้าไอเดียเก๋
ชื่อย่านโลคอลแห่งหนึ่งในจังหวัดเกียวโต อยู่ห่างจากเกียวโตใช้เวลาราวๆ 30 นาทีโดยรถไฟ มาลงที่สถานีอิชิโจจิ (Ichijoji Station) สถานีเล็กๆ ชานเมือง แม้จะไม่ได้สวยงามเป็นพิเศษไม่ได้หวือหวาจนต้องร้องว้าว แต่เป็นความธรรมดาที่เรียกรอยยิ้มน้อยๆ สำหรับคนชอบแถบชานเมืองเงียบๆ
ที่นี่ จุด Highlight ของย่านนี้ คงไม่พ้นร้านหนังสือ KEIBUNSHA BOOKS, GIFTS and SOMETHING FOR LIFE ที่คงสไตล์กลิ่นอายของ Local ที่มัดใจขาอาร์ต สายหนังสือให้เดินทางเข้ามาเรื่อยๆ ร้านนี้ เป็นร้านหนังสือที่ดีที่สุดในเกียวโต และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 10 ร้านหนังสือที่ดีที่สุดในโลก (The World’s 10 Best Bookshops) ภายในร้านจะถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน ที่สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันไดหมด คือ Keibunsha Bookstore, Keibusha Ichijoji Shop, Keibunsha Cottage และ Keibunsha Gallery Enfer
ตอนแรกก็ไม่ทันเห็นโซนหนังสือ เพราะไปเดินเข้าอีกประตู ก็ยังคิดว่ามันอยู่ตรงไหน ทำไมไม่เห็นโซนนั้นเลย เพราะที่เข้ามาดูก็แคโซน shop และ Gallery โดยรวมร้านน่ารัก แนวอาร์ตๆ โซนหนังสือก็ดูเป็นแนวอาร์ตดี แต่พอดีถ้าจะถ่ายรูปต้องขออนุญาติก่อน นี่เลยขี้เกียจงัย เพราะเด่วเค้ารู้ว่ามาแค่เดินเล่น ถ่ายรูป เพราะยังไงเราก็อ่านไม่ออก หนังสือเกือบทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นจ้า
(คะแนน 4/5)
ส่วนร้านของคุณตา Coffee House Parrot ร้านกาแฟโบราณและร้านอาหารขนาดกะทัดรัด ที่ตั้งใจอยากไปกิน ก็ปิดไป ไม่แน่ใจ ปิดถาวร หรือชั่วคราวช่วงโควิค
ในส่วนร้านที่เราเลือกเป็นมื้อกลางวัน ร้าน Aikamu ร้านอาหารญี่ปุ่นโฮมเมดที่เมื่อก่อนเห็นว่ามีจุดเด่นที่มีหนังสือการ์ตูนในร้านเยอะมาก สามารถเดินเข้าร้านแล้วไปเลือกหนังสือมาอ่าน แทนการหยิบมือถือมาเล่นระหว่างรออาหารนั้น ช่วงที่ไปถึง คนเยอะมาเรื่อยๆ เลย บน shelf ก็ไม่เห็นว่ามีการ์ตูนอยู่ น่าจะเพราะโควิด ร้านแถวนั้นเลยปิดไปบ้างล่ะ ร้านนี้คนเลยเยอะอยู่ แต่เราก็ได้ที่ริมกระจกหน้าร้านเลย อาหารก็ใช้ได้อยู่
หลังจากเดินเล่นย่อย ไปสักพัก ก็มาแวะกินขนมหวานร้านดังที่นี่ ร้าน Mushiyashinai (648471)
ต้องสังเกตุชื่อร้านที่เป็นตัวเลขล่ะ แปะไว้หน้าร้านเลย ร้านขนมหวานที่นี่ ทำจากนมถั่วเหลือง เพราะเจ้าของร้านเห็นว่ามีคนที่แพ้นมวัวอยู่จำนวนไม่น้อย และคงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าถ้าคนเราจะไม่ได้กินเค้กเพียงเพราะแพ้นมวัว เลยคิดทำเค้กที่ไม่มีส่วนผสมของแป้งสาลี ไข่ และนมวัว แต่ใช้นมถั่วเหลืองแทน ซึ่งนั้นคงเป็นกิมมิคของร้านที่จะสร้างความแตกต่างจากที่อื่นๆล่ะ ส่วนตัวว่าราคาเค้กแรงไปหน่อย รสชาติพอใช้ได้ ส่วนกาแฟเฉยๆ ถ้าไม่ใส่นม เหมือนจะกินโอเลี้ยง แต่มาถึงก็คงต้องลองล่ะ ร้าน recommended ของที่นี่เลยนะ
และท้ายสุด ก่อนกลับจริงๆ บังเอิญได้เดินผ่านร้านขายขนมปัง homemade แบบ local เล็กๆ กระทัดรัด และขนมก็ดูน่าทานดี เพราะก็เบื่อขนมปัง 7-11, Family mart แถวที่พักล่ะ เลยซื้อกลับบ้านไปกินดีก่า รสชาติถือว่าใช้ได้อยู่น้า และเราก็ชอบร้านเล็กๆ แบบ homemade เป็นทุนเดิมอยู๋
โดยสรุป เมืองเล็กๆแห่งนี้ ส่วนตัวคิดว่าเงียบไปหน่อย ขนาดเราที่ไม่ได้ชอบวุ่นวายยังรู้สึกว่าเงียบ เพราะมันสร้างให้มีอารมณ์เหงาๆ เกิดขึ้นในใจ ดีว่ามาหลายคน ถ้ามาคนเดียว เหมือนอยู่ในโหมดอารมณ์ sad อยู่ ร้านค้าที่เป็นอาหาร ขนม ค่อนข้างน้อย มีแค่ที่ highlight และถือว่าไปหมด เพราะเมืองไม่ได้กว้างมาก แค่เดิน 2-3 กิโล คิดว่าครบอยู่ สำหรับคนขี้เหงา ก็ไม่แนะนำมา เด่วจะเหงาไปกันใหญ่ สำหรับคนเหงาไม่มากอย่างเรา ถ้าไม่มีเวลาพอ ก็ไม่จำเป็นต้องมา
(คะแนน 3/5)
Kibune Town (เข้าศาลเจ้าฟรี)
เป็นเมืองขนาดเล็กในหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต (Kyoto City) เมืองแห่งนี้ก่อตัวขึ้นโดยมีศาลเจ้าคิบูเนะ (Kibune Shrine) เป็นศูนย์กลาง ตามตำนานกล่าวว่า มีเทพธิดาเดินทางด้วยเรือสีเหลืองหรือคิบูเนะ จากโอซาก้า (Osaka) ขึ้นไปตามแม่น้ำจนไปถึงหุบเขาทางตอนเหนือของเกียวโต และสิ้นสุดการเดินทางที่จุดนี้ จึงได้เกิดเป็นศาลเจ้าคิบูเนะ (Kibune Shrine)
เราเดินทางต่อกันขึ้นไปจาก Ichijoji Station ซึ่งเป็นแค่สถานีที่เล็กมากๆ โดยรีบวิ่งขึ้นมาเลย แบบไม่ได้สังเกตุว่าต้องแตะบัตรตรงหัวเสา เพราะเห็นรถไฟมาพอดี เลยรีบถามเจ้าพนักงานสถานีก่อนขึ้นไปอีกที เพราะคนบนรถค่อนข้างเยอะมาก และเราก็ยังไม่ได้สังเกตุรายละเอียดขบวนอย่างละเอียด ถ้าต้องรออีกขบวนคงจะเย็นเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าเหมือนทุกคนจะมุ่งตรงไปยังศาลเจ้าแห่งนี้เหมือนกัน เราค่อนข้างประทับใจกับวิวข้างทางมาก เหมือนรถจะค่อยๆ ไต่ขึ้นเนินไปเรื่อยๆ แบบแทบไม่รู้ว่าเรากำลังเดินทางเข้าสู่หุบเขาเล็กๆ ที่เหล่าต้นไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นส้มแดง บรรยากาศต้นไม้ ดูสดชื่นไปหมด แม้ว่าเราจะยืนอยู่บนรถไปตลอดระยะทางจนถึงสถานีป้ายเกือบสุดท้าย แถมคนขับน่ารักมาก มีชะลอความเร็ว วิ่งอย่างช้าๆ เมื่อขบวนรถผ่านดงใบไม้เปลี่ยนสีให้ผู้โดยสารได้ชื่นชมกัน จนมาถึงสถานี Kibuneguchi Station ก็ลงไปต่อรถบัสฝั่งตรงข้าม หมายเลข 33 ที่ นั่งมาลงที่ป้าย Kifune แล้วเดินต่ออีก 5-10 นาที เพราะถ้าเดินมาคงไม่ถึง ไกลเหมือนกันและถนนค่อนข้างเล็กอาจจะอันตรายไปหน่อย ช่วง10 นาทีที่เดินไปศาลเจ้า จะมีวิวธารน้ำตกเล็กๆ และใบไม้ที่เปลี่ยนสีให้รู้สึกสดชื่นไปตลอด รวมถึงร้านขายของที่ระลึกร้านนึงที่ดูอาร์ตให้แวะเข้าไปดูในช่วงขากลับ จากบริเวณทางเข้าศาลเจ้ามองไป จะเห็นจุดเด่นของที่นี่คือทางเดินขึ้นเนินของวัดที่อยู่บนเขาก็จะมีเสาเล็ก ๆ ด้านบนวางโคมไฟสามเหลี่ยมที่คล้ายศาลเจ้าเล็ก ๆ อยู่ตลอดทาง มันทำให้ศาลเจ้าดูมีความสดใส ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่ไม่มีแสงพระอาทิตย์ส่องแล้ว เรารู้สึกสดชื่นมาก แม้ว่าจะต้องเดินขึ้นเนินไป ถ่ายรูปไปด้วยก็เพลินๆ เลย ด้านบนมีอีกกิมมิคนึงก็คือ การเซียมซี ซึ่งจะเห็นข้อความก็ต้องเอากระดาษไปแช่ในน้ำ จะเห็นตัวหนังสือค่อยๆ ปรากฎให้เห็น เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่เขาสร้างสรรมาดี เราปิดทริปโปรแกรมวันนี้ที่นี่ เพราะตอนนี้แสงใกล้จะหมดแล้ว ยังต้องไปยืนรอรถบัส กลับสถานีด้วย ขากลับบนรถไฟ มืดล่ะ คนขับน่ารักเหมือนเดิมเค้าชะลอรถช้ามากๆ เมื่อรถกำลังจะผ่านดงใบไม้เปลี่ยนสี ที่ตอนนี้ติด light ประดับตามต้นไม้ให้ได้ชมกัน ตอนแรก งง นิดหน่อย เพราะจู่ๆ เค้าก็ดับไฟบนรถ อ่อ ก็เพื่อให้ผู้โดยสารชม light ใบไม้แดงให้ฟินๆ นี่เอง ใส่ใจเนอะ love เลย
(คะแนน 5/5) มานะ ประทับใจมาก
Uji เมืองชาเขียวแสนน่ารักในจังหวัดเกียวโต
อุจิ (Uji) เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของจังหวัดเกียวโต นั่งจากเกียวโตมาไม่ไกลสักครึ่ง ชม โดยรถไฟ JR สาย Nara Line เมืองนี้มีชื่อเรื่องชาเขียวที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และยังมีมรดกโลกวัดเบียวโดอิน ให้ได้ชมกันอีกด้วย มาถึงก็คุ้มนะ เพราะไม่ไกลจากเกียวโต อาหารก็ดี มีเส้นโซบะที่ผสมชาเขียวด้วย ไอติมมัทฉะชาเขียวรสเลิศ ชาเขียวร้อนก็เยี่ยม หอมด้วย มีความสุข อิ่มเอม อิ่มใจ มาแบบ slow life อย่ารีบ แล้วเราจะได้ดื่มด่ำกับความธรรมดาแบบเรื่อยๆ ที่นี่มีจุดเช็คอินหลักๆ ที่เราแวะไป
สะพานอุจิ | Ujibashi Bridgeหนึ่งในสามสะพานเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เดินชิลริมแม่น้ำเพลินๆ มองวิวได้ไกลๆ สบายตา
รูปปั้น มุราซากิ ชิคิบุ | Statue of Murasaki Shikibu เป็นรูปปั้นของ ผู้ประพันธ์วรรณกรรมเรื่อง ตำนานเก็นจิ (The Tale of Genji) ซึ่งเป็นหนึ่งในนิยายเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเฮอันและมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น
ถนนเบียวโดอิน โอโมเตะซันโด | Byodoin Omotesando
ถนนสายกินและช็อป เดินจากเส้นถนนจุดที่มีรูปปั้นนั้นเลย เป็นทางเดินเข้าสู่ด้านหน้าวัดเบียวโดอิน เพลินกับไอติมชาเขียว ร้านขายอาหาร และสินค้าของฝากต่างๆ หลักๆ เลยก็มีชาเขียวเป็นส่วนประกอบนั่นล่ะ
Byodoin Temple (600 Yen)
เป็นวัดที่ได้รับคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่น สร้างราวๆ 1,000 ปีมาแล้ว ไฮไลท์ของวัดเบียวโดอินคือ Amida-do Hall หรือ Phoenix Hall วิหารไม้สีแดงสดตั้งอยู่ตรงใจกลางวัดซึ่งตัววิหารเป็นโครงสร้างดั้งเดิมตั้งแต่อดีต วิหารแห่งนี้ก็คือวิหารที่ปรากฏอยู่บนเหรียญสิบเยนของญี่ปุ่นด้วย
อีกร้านที่พลาดไป เพราะตอนนั้นลืม อยากกินกลางวัน เพราะหิวแล้ว พอเจอร้านที่น่าสนใจ เลยลืมร้านที่อยากไปนี้เลยคือ ร้าน Nakamura Tokichi : คาเฟ่ชาเขียว “อูจิ” บรรยากาศโบราณริมแม่น้ำ ณ ใจกลางเมือง Uji
ร้านคาเฟ่ชาเขียวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองนั้น ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางเข้าวัด Byodo-in ริมแม่น้ำ Uji (มี 2 สาขา สาขาแรกอยู่ใกล้สถานี ทั้ง 2 สาขามีคิวยาว) คราวหน้ามาอีกคงต้องลอง
ภาพรวมที่ Uji ดีงาม ชอบมาก คนไม่พลุกพล่านมากเกินไป เดินสบายๆ อาหาร ขนม ชาเขียวคือดีคะแนน 5/5 ประทับใจ
จิ้มลิ้งนี่แล้วไปต่อกันค่า ตอนสุดท้ายแล้ว ไปต่อโอซาก้า โกเบกันค่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้