คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
การเรียนภาษาแบบเอาโครงสร้างภาษา syntax, grammar, หลักการต่างๆ มาก่อน ทีมักให้ครูนำ หรือตำรานำ ร่ายยาวออกมาเยอะๆ
เหมือนบอกโครงสร้างประดยค แล้วค่อยใส่ตัวอย่าง
หรือศัพท์ไปเรียนลึกถึงขั้นที่มา affix (prefix/suffix) และ root เพื่อหาหลักการ โครงสร้างตัวศัพท์
เรียก Deductive Learning ครับ
การเรียนแบบไปเรื่อยๆ ซึมซับเองทีละนิด แล้วให้สมองตีความออกมาเองทีหลัง ปกติไม่ได้รับการศึกษา เรียนรู้ภาษาแม่ของตัวเองก็คือวิธีนี้
เรียก Inductive Learning
คือเห็นตัวอย่างการใช้งาน ประสบพบเจอเยอะ แล้วจึงค่อยๆ เก็ทในหลักการในหัวเอง
หรือศัพท์นี่ เจอในชีวิตประจำวันเยอะๆ แล้วเข้าใจตีความเองในสมอง
affix (prefix/suffix), root เริ่มเข้าใจเอง
อย่างเช่น เห็นคำลงท้ายด้วย -tion เห็นเยอะๆ ต่อมาก็เริ่มเก็ทเอง ว่าศัพท์นี้คือคำนาม โดยไม่มีใครบอก
ลงท้ายด้วย -land ชื่อประเทศ ลงท้ายด้วย -nesia ประเทศเกาะ ฯลฯ
เจอคำว่า inductive, induction, inductivity ก็เริ่มเข้าใจได้เอง ว่ามาจากรากคำเดียวกัน induct ที่ถูกแปลงนำไปใช้คนละหน้าที่
แต่ปกติ เรื่องการเรียนรู้ภาษาต่างชาติ ใช้ผสมกันทั้ง 2 วิธี จะได้ผลดีกว่าไปยึดมั้นถือมั่นในวิธีเดียว
ยิ่งคนที่มีโอกาส ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมในการใช้ภาษาน้อยด้วย ต้องหาทางผสมการเรียรู้เอง จำลองสถานการณ์การใช้เพิ่ม
ดูหนัง ฟังเพลง ภาษาที่ต้องการเรียน นี่ก็ช่วย inductive ได้
ตำราแกรมม่าบางเล่ม ผสมกันระหว่าง deductive + inductive
deductive/inductive ถ้าจะแปลเป้ฯคำไทย มีศัพท์ที่นักวิชาการใช้
แต่มั่นใจว่าบอกแล้วงง ต้องไปเปิดพจนานุกรมไทยเป็นไทยอีก 555 แต่เอาไว้อ้างอิงละกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เหมือนบอกโครงสร้างประดยค แล้วค่อยใส่ตัวอย่าง
หรือศัพท์ไปเรียนลึกถึงขั้นที่มา affix (prefix/suffix) และ root เพื่อหาหลักการ โครงสร้างตัวศัพท์
เรียก Deductive Learning ครับ
การเรียนแบบไปเรื่อยๆ ซึมซับเองทีละนิด แล้วให้สมองตีความออกมาเองทีหลัง ปกติไม่ได้รับการศึกษา เรียนรู้ภาษาแม่ของตัวเองก็คือวิธีนี้
เรียก Inductive Learning
คือเห็นตัวอย่างการใช้งาน ประสบพบเจอเยอะ แล้วจึงค่อยๆ เก็ทในหลักการในหัวเอง
หรือศัพท์นี่ เจอในชีวิตประจำวันเยอะๆ แล้วเข้าใจตีความเองในสมอง
affix (prefix/suffix), root เริ่มเข้าใจเอง
อย่างเช่น เห็นคำลงท้ายด้วย -tion เห็นเยอะๆ ต่อมาก็เริ่มเก็ทเอง ว่าศัพท์นี้คือคำนาม โดยไม่มีใครบอก
ลงท้ายด้วย -land ชื่อประเทศ ลงท้ายด้วย -nesia ประเทศเกาะ ฯลฯ
เจอคำว่า inductive, induction, inductivity ก็เริ่มเข้าใจได้เอง ว่ามาจากรากคำเดียวกัน induct ที่ถูกแปลงนำไปใช้คนละหน้าที่
แต่ปกติ เรื่องการเรียนรู้ภาษาต่างชาติ ใช้ผสมกันทั้ง 2 วิธี จะได้ผลดีกว่าไปยึดมั้นถือมั่นในวิธีเดียว
ยิ่งคนที่มีโอกาส ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมในการใช้ภาษาน้อยด้วย ต้องหาทางผสมการเรียรู้เอง จำลองสถานการณ์การใช้เพิ่ม
ดูหนัง ฟังเพลง ภาษาที่ต้องการเรียน นี่ก็ช่วย inductive ได้
ตำราแกรมม่าบางเล่ม ผสมกันระหว่าง deductive + inductive
deductive/inductive ถ้าจะแปลเป้ฯคำไทย มีศัพท์ที่นักวิชาการใช้
แต่มั่นใจว่าบอกแล้วงง ต้องไปเปิดพจนานุกรมไทยเป็นไทยอีก 555 แต่เอาไว้อ้างอิงละกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
พวกนี้ชอบเรียนทฤษฎีหรือโครงสร้างประโยคในการเรียนภาษา เขาเรียกว่าอะไรครับ
โครงสร้างภาษา และถนัดเรียนทฤษฎี ทำให้แต่งประโยคเร็ว เขียนภาษาเร็ว (ไม่ได้เรียนแบบ
ดูหนังดูทีวีไปเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ แบบนี้ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอะไรครับ)
วิชาอื่น ๆ ก็เป็น เรียนพวกระเบียบวิธีวิจัย อะไรแบบนี้ก็ไปไว ขนาดเรียนการตลาดหรือจิตวิทยายังเรียนทฤษฎีโมเดลก่อนเลย.