นกกระเรียนเหยียบบนกระดองเต่า
ตำนานรูปปั้นนกกระเรียนเหยียบบนกระดองเต่าเฝ้าปากถ้ำมหาสมบัติเป็นนิทานธรรมะเชิงอุปมาอุปมัยของชาวจีนฮั่นจากเมืองซือเหมาหรือเมืองผูเอ่อร์ปัจจุบัน ชาวจีนฮั่นเชื่อว่า นกกระเรียนมีอายุขัยพันปี และเต่ามีอายุขัยหมื่นปี หลังจากยุคของพระโคตมพุทธเจ้า ทุก 100 ปี อายุขัยของมนุษย์จะสั้นลงเรื่อยๆ จนมนุษย์มีอายุขัยเพียง 10 ปี แต่หลังจากนั้นมนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุก 100 ปี เมื่อมนุษย์มีช่วงอายุขัยระหว่างนกกระเรียนกับเต่า เหล่าเทวดาที่รักษาถ้ำมหาสมบัติจะเปิดทางให้ปุถุชนเข้าไปเก็บสิ่งของมีค่าภายในถ้ำมหาสมบัติ
เมืองจันทวชิรคาม
แคว้นจันทคามเป็นแคว้นโบราณซึ่งเคยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของดินแดนไทย บ้านเมืองซึ่งเคยเป็นเขตอิทธิพลของแคว้นจันทคามมักจะมีตำนานถ้ำเก็บสมบัติที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยรักษา เมื่อบ้านเมืองไร้ศีลธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาสมบัติในถ้ำจึงบันดาลให้ปากถ้ำถล่ม และจะไม่มีใครได้เห็นสมบัติจนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม แต่หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและบันทึกอย่างมีระเบียบแบบแผนอยู่ที่เมืองเชียงตุงของชาวไทเขินในประเทศพม่า ตำนานเมืองเชียงตุงเรียกเมืองหลวงของแคว้นจันทคามว่า "จันทวชิรคาม" เป็นบ้านเมืองสมัยก่อนพุทธกาล มีกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ "พญาจันทวชิระ" แต่กษัตริย์สวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทสืบบัลลังก์ เหล่าเสนาจึงเก็บพระศพไว้ และจะไม่ถวายพระเพลิงจนกว่าจะหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นกษัตริย์
พญากาหาม
เมื่อฝูงนกกาได้ข่าวการสวรรคตของพญาจันทวชิระจึงประชุมกันว่า หากพวกตนนำ "โคปาละ" ซึ่งเป็นคนเลี้ยงวัวที่คอยให้อาหารฝูงกาไปครองเมืองจันทวชิรคาม พวกตนคงจะอยู่สุขสบาย โคปาละให้สัญญากับฝูงกาว่า หากตนได้เป็นเจ้าเมืองจะล้มควายเลี้ยงวันละตัว พวกกาจึงให้โคปาละสานตะกร้าขนาดใหญ่เพื่อเป็นพาหนะลอยฟ้าไปเมืองจันทวชิรคามโดยมีพวกกาช่วยกันพยุง พวกเสนาเชื่อว่าโคปาละเป็นผู้มีบุญญาธิการจึงตั้งโคปาละขึ้นเป็น "พญากาหาม" ปกครองเมืองจันทวชิรคาม ต่อมาชาวเมืองอดอยากไม่มีข้าวกินเพราะควายช่วยไถนามีน้อย พญากาหามจึงไม่ล้มควายเลี้ยงฝูงกาวันละตัวจนฝูงกาแค้นใจที่พญากาหามผิดสัญญาที่ให้กับกาจึงคิดอุบายว่า จะพาพญากาหามไปครองเมืองแห่งหนึ่งซึ่งมีทรัพย์สมบัติมากมาย ด้วยความโลภพญากาหามจึงยอมถูกฝูงกาหลอกพาไปปล่อยเกาะร้างกลางทะเลจนอดตายและกลายเป็นเปรต เมื่อพ้นจากเปรตภูมิจึงไปเกิดเป็นปูทองยักษ์ อีกร้อยปีต่อมาหลังจากราชาภิเษกพญากาหาม เกิดฝนตกหนัก 7 วัน 7 คืนจนน้ำท่วมที่ราบกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ชื่อ "หนองทมิฬะ" เหลือเพียงเกาะดอนที่น้ำท่วมไม่ถึง 7 แห่ง ปูทองยักษ์จึงมาอาศัยอยู่ในหนองทมิฬะ
ฤๅษีสี่พี่น้อง
บรรดาเกาะดอนในหนองทมิฬะกลายเป็นบ้านเมืองของชาวทมิฬหลายชั่วอายุจนถึงสมัยพุทธกาล พระโคตมพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรดปูทองยักษ์ และทำนายว่า ภายภาคหน้าจะมีฤๅษีมาสูบน้ำออกจากหนอง ให้ปูทองยักษ์ไปตามน้ำที่ไหลออกจากหนองและคอยดูแลบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข พระอานนท์จึงสลักหินพยากรณ์พุทธทำนายให้ฤๅษีอ่าน หลังจากพระโคตมพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว 150 ปี พญาว้องตีฟางเจ้าเมืองฮ่อสั่งจองจำโอรสทั้ง 4 องค์ เพราะไม่เป็นที่โปรดปรานเหมือนโอรสอีก 100 องค์ เจ้าชายทั้ง 4 องค์ จึงหลบหนีออกจากเมืองไปบวชเป็นฤๅษีชื่อ สุจันทนฤๅษี บลิกฤๅษี สุบพานฤๅษี และตุงคฤๅษี ต่อมาเหล่าพี่น้องฤๅษีได้ขึ้นไปบนภูเขาดอยช้างและเห็นลำแสงของพระธาตุจึงชวน "ฤๅษีวาสุเทพ" ซึ่งมีอายุ 250 ปี จาก "ป่าทวาราวดี" ช่วยกันนำเปลือกหอยยักษ์ทั้ง 5 ฝา จากมหาสมุทรไปสร้างเจดีย์ครอบพระธาตุ เมื่อพี่น้องฤๅษีผ่านหนองทมิฬะและเจอจารึกหินพยากรณ์พุทธทำนาย ตุงคฤๅษีจึงสูบน้ำจากหนองทมิฬะจนเกือบแห้ง นางนาคในหนองทมิฬะนำพระเกศาของพระพุทธเจ้าไปมอบให้ตุงคฤๅษีและกลายเป็นอารักษ์เมืองฝ่ายใต้ ปูทองยักษ์ซึ่งเคยเป็นพญากาหามในอดีตชาติจึงขึ้นเหนือไปขุดถ้ำอาศัยอยู่ที่ภูเขาดอยปูเข้าและกลายเป็นอารักษ์เมืองฝ่ายเหนือ หนองทมิฬะขนาดใหญ่จึงกลายเป็นหนองน้ำขนาดเล็กชื่อ "หนองตุง" ตามชื่อตุงคฤๅษี เมื่อพญาว้องตีฟางทราบว่าโอรสของตนยังมีชีวิตอยู่จึงส่งไพร่พลชาวจีนมากมายมาช่วยสร้างเมืองอองปูและอยู่อาศัยโดยมีเจ้าเมืองเชื้อสายจีนชื่อ "เจ้ากว้านเดื่อ" แต่ชาวจีนอยู่ได้ไม่กี่ชั่วอายุก็ทนกับโรคไข้ป่าไม่ไหวจึงอพยพกลับเมืองฮ่อไปหมดและได้ทิ้งขวดน้ำเต้าเอาไว้ซึ่งต่อมามีฝูงชนออกมาจากขวดน้ำเต้า และกลายเป็นบรรพชนของชาวลัวะ
ฤๅษีวาสุเทพ
ตำนานดอยปางตีนตกกล่าวต่างออกไปว่า ฤๅษี 4 พี่น้องได้เห็นลำแสงของพระธาตุบนยอดเขาจึงปีนเขาขึ้นไปอัญเชิญพระธาตุ แต่มีบุญวาสนาไม่ถึงจึงพลัดตกหน้าผาตายหมด เทวดาซึ่งดูแลพระธาตุจึงไปบอกฤๅษีวาสุเทพให้ขึ้นไปอัญเชิญพระธาตุแทน ตำนานจามเทวีวงศ์กล่าวว่า ฤๅษีวาสุเทพ ฤๅษีพรหมิสิ ฤๅษีสัชชนาไลย และฤๅษีสุกทันตะ ต่างเป็นสหายกัน ต่อมาฤๅษีวาสุเทพรับเด็กชายหญิง 4 คู่ ซึ่งเกิดในรอยเท้าสัตว์มาชุบเลี้ยง เมื่อเด็กเหล่านั้นเติบใหญ่จึงให้ขายออกกินดองเป็นคู่สามีภรรยากัน และสร้างเมืองให้ปกครอง ได้แก่ เมืองมิคสังฆนคร เมืองปุริมนคร เมืองอวิทูรนคร และเมืองรัมมนคร แต่ลูกหลานของเด็กเหล่านั้นไม่ตั้งมั่นในศีลธรรม เทวดาจึงบันดาลให้น้ำป่าไหลมาถล่มเมือง ฤๅษีวาสุเทพจึงปรึกษาฤๅษีสุกทันตะซึ่งเป็นสหายเพื่อสร้างเมืองใหม่ ฤๅษีสองสหายปรึกษาเรื่องสัณฐานผังเมือง และตกลงกันให้ผังเมืองมีรูปลักษณะคล้ายเปลือกหอยสังข์ โดยให้นายควิยะไปขอเปลือกหอยสังข์จากฤๅษีสัชชนาไลย ฤๅษีสัชชนาไลยจึงสั่งให้นกหัสดีลิงค์ซึ่งเป็นบริวารไปงมเอามาจากทะเลเพื่อสร้างเมืองหริภุญชัยให้พระนางจามเทวีซึ่งเป็นธิดาของเจ้าเมืองละโว้มาปกครอง และมีกษัตริย์ปกครองเรื่อยมาจนเกิดสงครามระหว่างเมืองหริภุญชัย เมืองละโว้ และอาณาจักรศรีวิชัย
ดอยง้วน
ตามตำนานนางผมหอมกล่าวว่า นายควิยะเป็นผู้อภิญญา 5 แต่มีชาติกำเนิดเป็นวัวซึ่งเดิมอาศัยข้าวก้นกุฏิจากภิกษุตาบอด และด้วยความกตัญญูสำนึกในพระคุณของภิกษุตาบอดที่เลี้ยงตนมาจึงสละดวงตาให้ ภิกษุตาบอดจึงกลับมองเห็นอีกครั้ง แต่ภิกษุต้องสละสมณเพศไปบวชเป็นฤๅษีชื่อ "ฤๅษีนันทิ" เพราะหัวภิกษุกลายเป็นวัวและมีเขางอกออกมาเหมือนเดรัจฉาน ฤๅษีนันทิชุบวัวตาบอดให้กลายเป็นหนุ่มรูปงามชื่อ "ควิยะ" พร้อมอวยพรให้มีหูทิพย์และดั้งทิพย์ เมื่อนายควิยะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนางผมหอมในคุ้มกลางป่าและได้กลิ่นผมหอมของนางจึงพานางออกจากคุ้มผ่านถิ่นของผีย่าขอยซึ่งมีนิสัยขี้ขอย และมีมีตาทิพย์สีแดงดุจเปลวไฟ เมื่อผีย่าขอยเห็นชายตาบอดรูปงามผ่านมาจึงสวมรอยเป็นนางผมหอมอยู่กินกับนายควิยะ และจับนางผมหอมไปขังไว้ในถ้ำ เมื่อพญาช้างซึ่งเป็นบิดารู้ว่านางผมหอมถูกขังในถ้ำจึงเปิดปากถ้ำช่วยนางผมหอม เมื่อนายควิยะไม่ได้กลิ่นผมหอมจึงรู้ว่าผีป่าสวมรอยเป็นนางผมหอม ผีย่าขอยจึงถูกนายควิยะควักลูกตา เมื่อนายควิยะได้ดวงตาของผีย่าขอยจึงออกติดตามหานางผมหอม เมื่อพญาช้างเห็นว่านายควิยะกับนางผมหอมเป็นเนื้อคู่กันจึงยอมให้ครองคู่กันและง้วนตัวหมอบลงตั้งจิตอธิษฐานขอให้ตนกลายเป็นภูเขาดอยง้วนให้เหล่าฤๅษีตั้งอาศรม ต่อมานายควิยะต้องการบวชเป็นฤๅษี แต่เหล่าฤๅษีมีกฎห้ามเดรัจฉานบวช นายควิยะและนางผมหอมจึงอยู่ปรนนิบัติรับใช้เหล่าฤๅษีที่ภูเขาดอยง้วน
ป่าทวาราวดี
"ป่าทวารวดี" คือนิวาสสถานของฤๅษีวาสุเทพ ตามตำนานเชียงใหม่ปางเดิมกล่าวว่า ฤๅษีวาสุเทพเป็นลูกชายของคู่ผัวเมียยักษ์ชื่อ "ปู่แสะย่าแสะ" ต่อมาเมื่อพระโคตมพุทธเจ้าเสด็จมาถึง พวกยักษ์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนเกิดความเลื่อมใส พระโคตมพุทธเจ้าขอให้เหล่ายักษ์เลิกกินเนื้อมนุษย์ ปู่แสะย่าแสะจึงหันไปรักษาศีลและจะกินควายปีละครั้ง เจ้าเมืองจึงจัดประเพณีเลี้ยงดงให้ปู่แสะย่าแสะด้วยการล้มควายปีละครั้ง แต่ทวาราวดีในทางโบราณคดีมาจากการวิเคราะห์ชื่อ "โตโลโปตี้" ในบันทึกจีนซึ่งเป็นคำทับศัพท์ภาษาสันสกฤต และได้รับการค้นพบเหรียญเงินที่มีจารึกว่า "ศรีทวารวดี ศวรปุญญะ" แปลว่า "พระเจ้าศรีทวารวดี ผู้มีบุญอันประเสริฐ" เป็นครั้งแรกใต้ฐานเจดีย์ร้างที่จังหวัดนครปฐมในปี พ.ศ. 2486 ต่อมาได้พบเหรียญในลักษณะเดียวกันที่จังหวัดชัยนาท อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และจังหวัดนครปฐมอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแผ่นศิลาจารึกที่เขียนว่า "ทวารวตีปเตะ" หรือแปลว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งทวารวดี" พบในเขตจังหวัดนครราชสีมา และต่อมาในปี พ.ศ. 2562 พบแผ่นจารึกที่วัดพระงามในจังหวัดนครปฐมซึ่งเขียนว่า "ทวารวตีวิภูติ" แปลว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งทวารวดี"
เมืองนุง
"เมืองนุง" เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กในเขตเมืองขะของเมืองเชียงตุง ภาษาพูดของชาวเมืองนุงจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ในขณะที่ภาษานุงจากประเทศเวียดนามและภาษาหนงจ้วงจากประเทศจีนจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทกลาง ภาษาเขียนของชาวเมืองนุงได้รับอิทธิพลจากอักษรธรรมล้านนาผ่านการนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท ชาวเมืองนุงใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นนำกลองมโหระทึกมาหล่อใหม่เป็นพระสำริด และนำไม้ไผ่มาจักสานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเรียกว่า "พระเจ้าอินสาน" ซึ่งหมายถึงพระพุทธรูปที่พระอินทร์เสด็จลงมาสาน
สืบเนื่องจากกระทู้
https://pantip.com/topic/42177624
ป่าทวาราวดีกับฤๅษีวาสุเทพ
นกกระเรียนเหยียบบนกระดองเต่า
ตำนานรูปปั้นนกกระเรียนเหยียบบนกระดองเต่าเฝ้าปากถ้ำมหาสมบัติเป็นนิทานธรรมะเชิงอุปมาอุปมัยของชาวจีนฮั่นจากเมืองซือเหมาหรือเมืองผูเอ่อร์ปัจจุบัน ชาวจีนฮั่นเชื่อว่า นกกระเรียนมีอายุขัยพันปี และเต่ามีอายุขัยหมื่นปี หลังจากยุคของพระโคตมพุทธเจ้า ทุก 100 ปี อายุขัยของมนุษย์จะสั้นลงเรื่อยๆ จนมนุษย์มีอายุขัยเพียง 10 ปี แต่หลังจากนั้นมนุษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุก 100 ปี เมื่อมนุษย์มีช่วงอายุขัยระหว่างนกกระเรียนกับเต่า เหล่าเทวดาที่รักษาถ้ำมหาสมบัติจะเปิดทางให้ปุถุชนเข้าไปเก็บสิ่งของมีค่าภายในถ้ำมหาสมบัติ
เมืองจันทวชิรคาม
แคว้นจันทคามเป็นแคว้นโบราณซึ่งเคยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของดินแดนไทย บ้านเมืองซึ่งเคยเป็นเขตอิทธิพลของแคว้นจันทคามมักจะมีตำนานถ้ำเก็บสมบัติที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยรักษา เมื่อบ้านเมืองไร้ศีลธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาสมบัติในถ้ำจึงบันดาลให้ปากถ้ำถล่ม และจะไม่มีใครได้เห็นสมบัติจนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม แต่หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและบันทึกอย่างมีระเบียบแบบแผนอยู่ที่เมืองเชียงตุงของชาวไทเขินในประเทศพม่า ตำนานเมืองเชียงตุงเรียกเมืองหลวงของแคว้นจันทคามว่า "จันทวชิรคาม" เป็นบ้านเมืองสมัยก่อนพุทธกาล มีกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ "พญาจันทวชิระ" แต่กษัตริย์สวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทสืบบัลลังก์ เหล่าเสนาจึงเก็บพระศพไว้ และจะไม่ถวายพระเพลิงจนกว่าจะหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นกษัตริย์
พญากาหาม
เมื่อฝูงนกกาได้ข่าวการสวรรคตของพญาจันทวชิระจึงประชุมกันว่า หากพวกตนนำ "โคปาละ" ซึ่งเป็นคนเลี้ยงวัวที่คอยให้อาหารฝูงกาไปครองเมืองจันทวชิรคาม พวกตนคงจะอยู่สุขสบาย โคปาละให้สัญญากับฝูงกาว่า หากตนได้เป็นเจ้าเมืองจะล้มควายเลี้ยงวันละตัว พวกกาจึงให้โคปาละสานตะกร้าขนาดใหญ่เพื่อเป็นพาหนะลอยฟ้าไปเมืองจันทวชิรคามโดยมีพวกกาช่วยกันพยุง พวกเสนาเชื่อว่าโคปาละเป็นผู้มีบุญญาธิการจึงตั้งโคปาละขึ้นเป็น "พญากาหาม" ปกครองเมืองจันทวชิรคาม ต่อมาชาวเมืองอดอยากไม่มีข้าวกินเพราะควายช่วยไถนามีน้อย พญากาหามจึงไม่ล้มควายเลี้ยงฝูงกาวันละตัวจนฝูงกาแค้นใจที่พญากาหามผิดสัญญาที่ให้กับกาจึงคิดอุบายว่า จะพาพญากาหามไปครองเมืองแห่งหนึ่งซึ่งมีทรัพย์สมบัติมากมาย ด้วยความโลภพญากาหามจึงยอมถูกฝูงกาหลอกพาไปปล่อยเกาะร้างกลางทะเลจนอดตายและกลายเป็นเปรต เมื่อพ้นจากเปรตภูมิจึงไปเกิดเป็นปูทองยักษ์ อีกร้อยปีต่อมาหลังจากราชาภิเษกพญากาหาม เกิดฝนตกหนัก 7 วัน 7 คืนจนน้ำท่วมที่ราบกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ชื่อ "หนองทมิฬะ" เหลือเพียงเกาะดอนที่น้ำท่วมไม่ถึง 7 แห่ง ปูทองยักษ์จึงมาอาศัยอยู่ในหนองทมิฬะ
ฤๅษีสี่พี่น้อง
บรรดาเกาะดอนในหนองทมิฬะกลายเป็นบ้านเมืองของชาวทมิฬหลายชั่วอายุจนถึงสมัยพุทธกาล พระโคตมพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรดปูทองยักษ์ และทำนายว่า ภายภาคหน้าจะมีฤๅษีมาสูบน้ำออกจากหนอง ให้ปูทองยักษ์ไปตามน้ำที่ไหลออกจากหนองและคอยดูแลบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข พระอานนท์จึงสลักหินพยากรณ์พุทธทำนายให้ฤๅษีอ่าน หลังจากพระโคตมพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว 150 ปี พญาว้องตีฟางเจ้าเมืองฮ่อสั่งจองจำโอรสทั้ง 4 องค์ เพราะไม่เป็นที่โปรดปรานเหมือนโอรสอีก 100 องค์ เจ้าชายทั้ง 4 องค์ จึงหลบหนีออกจากเมืองไปบวชเป็นฤๅษีชื่อ สุจันทนฤๅษี บลิกฤๅษี สุบพานฤๅษี และตุงคฤๅษี ต่อมาเหล่าพี่น้องฤๅษีได้ขึ้นไปบนภูเขาดอยช้างและเห็นลำแสงของพระธาตุจึงชวน "ฤๅษีวาสุเทพ" ซึ่งมีอายุ 250 ปี จาก "ป่าทวาราวดี" ช่วยกันนำเปลือกหอยยักษ์ทั้ง 5 ฝา จากมหาสมุทรไปสร้างเจดีย์ครอบพระธาตุ เมื่อพี่น้องฤๅษีผ่านหนองทมิฬะและเจอจารึกหินพยากรณ์พุทธทำนาย ตุงคฤๅษีจึงสูบน้ำจากหนองทมิฬะจนเกือบแห้ง นางนาคในหนองทมิฬะนำพระเกศาของพระพุทธเจ้าไปมอบให้ตุงคฤๅษีและกลายเป็นอารักษ์เมืองฝ่ายใต้ ปูทองยักษ์ซึ่งเคยเป็นพญากาหามในอดีตชาติจึงขึ้นเหนือไปขุดถ้ำอาศัยอยู่ที่ภูเขาดอยปูเข้าและกลายเป็นอารักษ์เมืองฝ่ายเหนือ หนองทมิฬะขนาดใหญ่จึงกลายเป็นหนองน้ำขนาดเล็กชื่อ "หนองตุง" ตามชื่อตุงคฤๅษี เมื่อพญาว้องตีฟางทราบว่าโอรสของตนยังมีชีวิตอยู่จึงส่งไพร่พลชาวจีนมากมายมาช่วยสร้างเมืองอองปูและอยู่อาศัยโดยมีเจ้าเมืองเชื้อสายจีนชื่อ "เจ้ากว้านเดื่อ" แต่ชาวจีนอยู่ได้ไม่กี่ชั่วอายุก็ทนกับโรคไข้ป่าไม่ไหวจึงอพยพกลับเมืองฮ่อไปหมดและได้ทิ้งขวดน้ำเต้าเอาไว้ซึ่งต่อมามีฝูงชนออกมาจากขวดน้ำเต้า และกลายเป็นบรรพชนของชาวลัวะ
ฤๅษีวาสุเทพ
ตำนานดอยปางตีนตกกล่าวต่างออกไปว่า ฤๅษี 4 พี่น้องได้เห็นลำแสงของพระธาตุบนยอดเขาจึงปีนเขาขึ้นไปอัญเชิญพระธาตุ แต่มีบุญวาสนาไม่ถึงจึงพลัดตกหน้าผาตายหมด เทวดาซึ่งดูแลพระธาตุจึงไปบอกฤๅษีวาสุเทพให้ขึ้นไปอัญเชิญพระธาตุแทน ตำนานจามเทวีวงศ์กล่าวว่า ฤๅษีวาสุเทพ ฤๅษีพรหมิสิ ฤๅษีสัชชนาไลย และฤๅษีสุกทันตะ ต่างเป็นสหายกัน ต่อมาฤๅษีวาสุเทพรับเด็กชายหญิง 4 คู่ ซึ่งเกิดในรอยเท้าสัตว์มาชุบเลี้ยง เมื่อเด็กเหล่านั้นเติบใหญ่จึงให้ขายออกกินดองเป็นคู่สามีภรรยากัน และสร้างเมืองให้ปกครอง ได้แก่ เมืองมิคสังฆนคร เมืองปุริมนคร เมืองอวิทูรนคร และเมืองรัมมนคร แต่ลูกหลานของเด็กเหล่านั้นไม่ตั้งมั่นในศีลธรรม เทวดาจึงบันดาลให้น้ำป่าไหลมาถล่มเมือง ฤๅษีวาสุเทพจึงปรึกษาฤๅษีสุกทันตะซึ่งเป็นสหายเพื่อสร้างเมืองใหม่ ฤๅษีสองสหายปรึกษาเรื่องสัณฐานผังเมือง และตกลงกันให้ผังเมืองมีรูปลักษณะคล้ายเปลือกหอยสังข์ โดยให้นายควิยะไปขอเปลือกหอยสังข์จากฤๅษีสัชชนาไลย ฤๅษีสัชชนาไลยจึงสั่งให้นกหัสดีลิงค์ซึ่งเป็นบริวารไปงมเอามาจากทะเลเพื่อสร้างเมืองหริภุญชัยให้พระนางจามเทวีซึ่งเป็นธิดาของเจ้าเมืองละโว้มาปกครอง และมีกษัตริย์ปกครองเรื่อยมาจนเกิดสงครามระหว่างเมืองหริภุญชัย เมืองละโว้ และอาณาจักรศรีวิชัย
ดอยง้วน
ตามตำนานนางผมหอมกล่าวว่า นายควิยะเป็นผู้อภิญญา 5 แต่มีชาติกำเนิดเป็นวัวซึ่งเดิมอาศัยข้าวก้นกุฏิจากภิกษุตาบอด และด้วยความกตัญญูสำนึกในพระคุณของภิกษุตาบอดที่เลี้ยงตนมาจึงสละดวงตาให้ ภิกษุตาบอดจึงกลับมองเห็นอีกครั้ง แต่ภิกษุต้องสละสมณเพศไปบวชเป็นฤๅษีชื่อ "ฤๅษีนันทิ" เพราะหัวภิกษุกลายเป็นวัวและมีเขางอกออกมาเหมือนเดรัจฉาน ฤๅษีนันทิชุบวัวตาบอดให้กลายเป็นหนุ่มรูปงามชื่อ "ควิยะ" พร้อมอวยพรให้มีหูทิพย์และดั้งทิพย์ เมื่อนายควิยะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนางผมหอมในคุ้มกลางป่าและได้กลิ่นผมหอมของนางจึงพานางออกจากคุ้มผ่านถิ่นของผีย่าขอยซึ่งมีนิสัยขี้ขอย และมีมีตาทิพย์สีแดงดุจเปลวไฟ เมื่อผีย่าขอยเห็นชายตาบอดรูปงามผ่านมาจึงสวมรอยเป็นนางผมหอมอยู่กินกับนายควิยะ และจับนางผมหอมไปขังไว้ในถ้ำ เมื่อพญาช้างซึ่งเป็นบิดารู้ว่านางผมหอมถูกขังในถ้ำจึงเปิดปากถ้ำช่วยนางผมหอม เมื่อนายควิยะไม่ได้กลิ่นผมหอมจึงรู้ว่าผีป่าสวมรอยเป็นนางผมหอม ผีย่าขอยจึงถูกนายควิยะควักลูกตา เมื่อนายควิยะได้ดวงตาของผีย่าขอยจึงออกติดตามหานางผมหอม เมื่อพญาช้างเห็นว่านายควิยะกับนางผมหอมเป็นเนื้อคู่กันจึงยอมให้ครองคู่กันและง้วนตัวหมอบลงตั้งจิตอธิษฐานขอให้ตนกลายเป็นภูเขาดอยง้วนให้เหล่าฤๅษีตั้งอาศรม ต่อมานายควิยะต้องการบวชเป็นฤๅษี แต่เหล่าฤๅษีมีกฎห้ามเดรัจฉานบวช นายควิยะและนางผมหอมจึงอยู่ปรนนิบัติรับใช้เหล่าฤๅษีที่ภูเขาดอยง้วน
ป่าทวาราวดี
"ป่าทวารวดี" คือนิวาสสถานของฤๅษีวาสุเทพ ตามตำนานเชียงใหม่ปางเดิมกล่าวว่า ฤๅษีวาสุเทพเป็นลูกชายของคู่ผัวเมียยักษ์ชื่อ "ปู่แสะย่าแสะ" ต่อมาเมื่อพระโคตมพุทธเจ้าเสด็จมาถึง พวกยักษ์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนเกิดความเลื่อมใส พระโคตมพุทธเจ้าขอให้เหล่ายักษ์เลิกกินเนื้อมนุษย์ ปู่แสะย่าแสะจึงหันไปรักษาศีลและจะกินควายปีละครั้ง เจ้าเมืองจึงจัดประเพณีเลี้ยงดงให้ปู่แสะย่าแสะด้วยการล้มควายปีละครั้ง แต่ทวาราวดีในทางโบราณคดีมาจากการวิเคราะห์ชื่อ "โตโลโปตี้" ในบันทึกจีนซึ่งเป็นคำทับศัพท์ภาษาสันสกฤต และได้รับการค้นพบเหรียญเงินที่มีจารึกว่า "ศรีทวารวดี ศวรปุญญะ" แปลว่า "พระเจ้าศรีทวารวดี ผู้มีบุญอันประเสริฐ" เป็นครั้งแรกใต้ฐานเจดีย์ร้างที่จังหวัดนครปฐมในปี พ.ศ. 2486 ต่อมาได้พบเหรียญในลักษณะเดียวกันที่จังหวัดชัยนาท อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และจังหวัดนครปฐมอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแผ่นศิลาจารึกที่เขียนว่า "ทวารวตีปเตะ" หรือแปลว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งทวารวดี" พบในเขตจังหวัดนครราชสีมา และต่อมาในปี พ.ศ. 2562 พบแผ่นจารึกที่วัดพระงามในจังหวัดนครปฐมซึ่งเขียนว่า "ทวารวตีวิภูติ" แปลว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งทวารวดี"
เมืองนุง
"เมืองนุง" เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กในเขตเมืองขะของเมืองเชียงตุง ภาษาพูดของชาวเมืองนุงจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ในขณะที่ภาษานุงจากประเทศเวียดนามและภาษาหนงจ้วงจากประเทศจีนจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทกลาง ภาษาเขียนของชาวเมืองนุงได้รับอิทธิพลจากอักษรธรรมล้านนาผ่านการนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท ชาวเมืองนุงใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นนำกลองมโหระทึกมาหล่อใหม่เป็นพระสำริด และนำไม้ไผ่มาจักสานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเรียกว่า "พระเจ้าอินสาน" ซึ่งหมายถึงพระพุทธรูปที่พระอินทร์เสด็จลงมาสาน
สืบเนื่องจากกระทู้ https://pantip.com/topic/42177624