เนื่องจากต้นฉบับมีคำผิดมากมายอ่านแล้วงง ผมเลยแก้ไขให้ใหม่แล้วก็เรียบเรียงให้ใหม่แล้วครับ
ประวัติการสร้างพระเครื่อง หลวงปู่ทวดนวล เทวธัมโม วัดมุจลินทวาปีวิหาร (ตุยง) อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ปี 2507
หลวงปู่ทวดนวลท่านเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนในละแวกแถบนั้นไม่ว่าใครจะเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดโรคระบาด โดนของ ผีเข้า ลมเพลมพัด ฯลฯ ต่างต้องมาขอพึ่งบารมีของหลวงปู่ทวดนวลให้ช่วยรักษาถอนของนั้น ๆ ด้วยยาสมุนไพรและอาคมเสมอ ๆ ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในแถบนั้นอย่างมาก (หลวงปู่ทวดนวลมรณภาพเมื่อไหร่ไม่ได้มีการบันทึกไว้)
ส่วนพระเครื่องรุ่นนี้จัดสร้างโดยหลวงพ่อดำเจ้าอาวาสรุ่นที่ 5 (ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 16/9/2464 – 26/12/2526 ) ท่านได้นำพระภิกษุสามเณรพร้อมกับชาวบ้านเดินทางไปหาว่านต่าง ๆ บนภูเขาทรายขาวใช้เวลาค้นหาอยู่นานถึง 7 วัน 7 คืน ก็ยังไม่สามารถหาว่านได้ครบจำนวน 120 ชนิด ทั้งหมดจึงเดินทางไปหาที่ภูเขาตาชีเพิ่มเติมจนกระทั่งได้ว่านครบทั้ง 120 ชนิด รวมไปถึงเกสรดอกไม้ 120 ชนิด
มวลสารที่นำมาจัดสร้างวัตถุมงคลนี้มีส่วนผสมคือ ว่าน 120 ชนิด,เกสรดอกไม้ 120 ชนิด,เครื่องยาสมุนไพร 120 ชนิด,คดไม้ผูกใบลาน,คนทีดำ,กากยาคนธรรพ์,ว่านศักดิ์สิทธิ์ 108 ชนิด,ผงพุทธคุณผงอิทธิเจ,ผงปถมัง,ผงตรีนิสิงเหและผงแก่นไม้ขนุนที่กลายเป็นหินที่หลวงพ่อดำท่านเก็บรักษาเอาไว้และปลุกเสกอยู่นานหลายปี ที่เลือกแก่นขนุนเป็นส่วนประกอบเพราะ “ขนุน”เป็นไม้มงคลให้ผลทางการช่วย “หนุน” ดวงชะตา และช่วย “เกื้อหนุน”ในยามตกทุกข์
หลังจากนั้นชาวบ้านก็ช่วยกันบดมวลสารทั้งหมดให้เข้ากันแล้วใช้น้ำผึ้งรวงกับกล้วยหอมเป็นเครื่องผสมผงเพื่อให้จับตัวกันแน่น สำหรับพิธีในการจัดสร้างนั้นหลวงพ่อทวดนวลได้เข้าประทับทรงแล้วบอกให้ทำในพระอุโบสถไม่อนุญาตให้ฆราวาสเข้าไปยุ่งอย่างเด็ดขาด โดยเริ่มกดพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 – 2507 (รวมเวลา 3 ปี)
หลังจากนั้นได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นเมื่อ วันเสาร์ 5 เดือน 5 ขึ้น 5 ค่ำ ปี 2507 หลวงพ่อดำได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์จากวัดต่าง ๆ ทั่วภาคใต้จำนวน 120 รูป อาทิเช่น
พระอาจารย์ทิมวัดช้างให้ (กล่าวกันว่า พระอาจารย์ทิม ได้อัญเชิญวิญญาณหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เข้าประทับทรงในการนี้ด้วย) ,พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก,หลวงพ่อแสง วัดคลองน้ำเจ็ด,พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทรายพ่อท่านบุญ วัดไม้แก่น,หลวงพ่อแดง วัดเชิงเขา,หลวงพ่อแดง วัดศรีมหาโพธิ์,พระอาจารย์นองวัดทรายขาว,หลวงพ่อฉิ้น ยะลา,หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง,พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา,หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน,หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อง,หลวงพ่อมุ่ย วัดบางบูชา,หลวงพ่อแก่น วัดทุ่งเหลือ,พ่อท่านเจ๊ก วัดวังแดงตะวันตก เป็นต้น
พุทธคุณ
การปลุกเสกได้ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณหลวงพ่อทวดมาสิงสถิตในองค์พระนี้แล้วโดยถูกต้องสมบูรณ์โดยพระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในไสยเวทวิทยาคม ดังนั้นพระเครื่องรุ่นนี้ย่อมบันดาลคุณานุภาพป้องกันภัยต่างๆ ได้ 120ประการเท่ากำลังส่วนผสม สามารถอยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดจากภัยศาสตราวุธทุกชนิด บันดาลเสน่ห์เมตตามหานิยม เจริญด้วยลาภยศเดชานุภาพทางค้าขายหรือการเสาะแสวงหาโชคลาภ
เมื่อท่านปรารถนาให้หลวงพ่อทวดโปรดสิ่งใด พึงบนบานได้ตามความประสงค์ของท่านโดยต้องเป็นสิ่งสุจริต หากผู้ใดนำไปใช้ในทางทุจริตนอกจากหลวงพ่อทวดจะไม่ช่วยเหลือแล้ว ท่านจะบันดาลให้เกิดโทษเสียอีกจึงควรระวังให้มาก หากท่านจำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อธุรกิจหรือหาโชคลาภ ให้ภาวนาพระคาถา “ กะ ละ มะ อุ “ พร้อมกับระลึกถึงหลวงพ่อทวดนวล เทวธัมโม ท่านจะไปดีมาดี มีลาภ แคล้วคลาดภยันตรายทั้งปวง พระเครื่องนี้ยังใช้ทางบำบัดรักษาโรค,ถูกยา,ถูกคุณไสย,ถูกผี,พระภูมิเจ้าที่รบกวนให้โทษ (กรณีถูกเจ้าที่รบกวนให้เอาพระเครื่องนี้ทำน้ำพระพุทธมนต์กินและประพรมรอบ ๆ บ้านความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็จะสิ้นไป)
พระเครื่องหลวงพ่อทวดนวลมีพิมพ์พระทั้งหมด 5 พิมพ์ ดังนี้ พิมพ์ซุ้มเรือนแก้ว,พิมพ์ใหญ่,พิมพ์ขาโต๊ะ,พิมพ์กลางและพิมพ์เล็ก
คาถาบูชาหลวงปู่ทวด
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ (3 จบ)
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (3 จบ)
พระเครื่อง เป็นสิ่งเตือนใจ ให้ระลึกถึง พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ
จงประกอบแต่สิ่งดีงาม มีสัมมาอาชีวะ ให้ธรรมะเป็นเครื่องหนุนนำจิตใจ
เมื่อในใจมีศรัทธา ปาฏิหาริย์ก็จะบังเกิด
ประวัติ วัดมุจลินทวาปีวิหาร(วัดตุยง)
จังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในจังหวัดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาเหตุการณ์ไม่สงบแต่ทำไมชาวไทยพุทธจังหวัดปัตตานีส่วนมากจึงอยู่ได้แถมยังไม่คิดจะย้ายหนีออกไปไหนก็เพราะความผูกพันอันมีต่อบ้านเกิดและสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจนั่นเอง
เมื่อ พ.ศ. 2338 เจ้าพระยาพลเทพฯ แม่ทัพใหญ่ ขอพระบรมราชานุญาตแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น 7หัวเมือง คือ เมืองตานี เมืองสาย เมืองยะลา เมืองรามันห์ เมืองยะหริ่ง เมืองระแงะและเมืองหนองจิก เพื่อสะดวกต่อการปกครอง โดยมีพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) เจ้าเมืองสงขลาเป็นผู้ควบคุมหัวเมืองทั้ง 7
ต่อมา ปีพ.ศ. 2388 พระยาวิเชียรภักดีศรีสงครามได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองหนองจิก ท่านได้พาครอบครัวคนไทยมาจำนวนหนึ่งและได้นิมนต์พระอาจารย์พรหม ธมฺมธีโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านสมัยอยู่ยะหริ่งมาจำพรรษาที่ศาลาพักสงฆ์ท่ายะลอ แต่ปรากฏว่าสถานที่ดังกล่าวมีความไม่สะดวกหลายประการเลยต้องย้ายหาที่แห่งใหม่เพื่อสร้างเป็นวัด จนมาพบเนินทรายขาวแห่งหนึ่งมีต้นชะเมาใหญ่ปกคลุมเงียบสงัดและมีเสือใหญ่ตัวนึงนอนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก (ตำนานกล่าวว่า ต่อมาเสือตัวนั้นได้หายไปอย่างลึกลับ) ท่านทั้งสองจึงถือเอานิมิตดังกล่าวเลือกเอาสถานที่นี้เป็นที่สร้างวัดและให้ชื่อว่า “วัดตุยง” ตามนามของหมู่บ้าน
ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสแหลมมลายู เมื่อเสด็จมาถึงเมืองหนองจิก ทรงประทับ ณ วัดตุยง ทรงปฏิสันถารกับพระครูวิบูลย์สมณวัตร (พระอาจารย์นวล เทวธัมโม) เจ้าอาวาสแล้วทรงมีพระราชศรัทธาจึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 80 ชั่ง แก่พระยามุจลินทรสราภิธาน นัคโรปการสุนทรกิจ มหิศรราชภักดี (ทัด ณ สงขลา) ผู้ว่าราชการเมืองหนองจิก ดำเนินการสร้างอุโบสถแทนหลังเก่า พร้อมกันนั้นทรงเปลี่ยนนาม “วัดตุยง” เป็น “วัดมุจลินทวาปีวิหาร” และยังได้พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ไว้แก่วัดมุจลินทวาปีวิหารอีกด้วย
ต่อมาวันที่ 27 กันยายน 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯ มายังวัดมุจลินทวาปีวิหารเป็นการส่วนพระองค์ ทั้งสองพระองค์ได้ทรงสนทนาธรรมกับพระราชพุทธิรังษี (หลวงพ่อดำ นันทิโย) และได้พระราชทานเภสัชแด่หลวงพ่อดำเอาไว้จำนวนหนึ่ง
ประวัติพระราชพุทธิรังษี (หลวงพ่อดำ นันทิโย)
ท่านเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อดำ มีนามเดิมว่า ดำ นามสกุล จันทรักษ์ เกิดวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ที่ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา บิดามีนามว่า หลวงจรานุรักษ์เขตร (พลับ จันทรักษ์) มารดามีนามว่า นางพ่วนเหนี่ยว จันทรักษ์ เด็กชายดำ จันทรักษ์ เริ่มการศึกษาที่บ้านโดยเรียนกับบิดาจนอ่านออกเขียนได้ จนถึงอายุได้ 19 ปีจึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดนาทับ ท่านได้ศึกษาหนังสือขอมทั้งขอมไทยและขอมบาลีจนเชี่ยวชาญ แต่ระหว่างที่เป็นสามเณรได้เกิดอาพาธจึงได้ลาสิกขาชั่วคราว เหตุผลเพราะยาโบราณต้องผสมสุรา เมื่อหายอาพาธแล้วจึงได้กลับมาอุปสมบทในขณะที่มีอายุ 22 ปี ได้นามฉายาครั้งแรกว่า “นันทิยมาโน” ต่อมาได้เดินทางไปกรุงเทพฯโดยไปจำวัดที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ต่อมาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์)แห่งวัดราชบพิธได้ทรงเปลี่ยนนามฉายาให้ใหม่เป็น “นันทิโย” ซึ่งเป็นคำนาม แปลว่า “ผู้เป็นที่ตั้งแห่งความเพลิดเพลิน” แล้วทรงฝากให้ศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกสามัญและแผนกบาลีที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จากนั้นหลวงพ่อดำได้เดินทางกลับปัตตานีมาประจำอยู่ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีจนถึงวาระมรณภาพ โดยมีตำแหน่งสณศักดิ์ต่างๆ ดังนี้
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2464 พระครูพิบูลย์สมณวัตร (หลวงพ่อชุม) ได้มีคำสั่งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมุจลินทวาปีวิหารที่ “พระใบฎีกา”
วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2476 พระเทพญาณโมลี เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “เจ้าคณะหมวดตุยง”
วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2477 พระเทพญาณโมลี เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ผู้ช่วยเจ้าคณะแขวงตุยง”
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2482 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สัญญาบัตรเป็นที่ “พระครูกนิตสมณวัตร”
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งสาธารณูปการจังหวัดปัตตานี
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2495 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สัญญาบัตรเป็นพระราชาคณะ (เจ้าคุณ) ชั้นสามัญที่ “พระมุจลินทโมลี”
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2515 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สัญญาบัตรสุดท้าย เป็นพระราชาคณะ ชั้นราชที่ “พระราชพุทธิรังษี”
ท่านยังเป็นพระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวดของ อ. ทิม วัดช้างให้) อีกทั้งท่านยังเป็นประธานในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลของวัดช้างให้มาโดยตลอดอีกด้วย พระราชพุทธิรังษีหรือหลวงพ่อดำ ได้บริหารคณะสงฆ์และงานก่อสร้างสังฆเสนาสนะตลอดถึงงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดุจปาฏิหาริย์ไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะท่านเป็นพระที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ท่านชอบเดินจงกรมตั้งแต่เวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มเป็นประจำอีกทั้งยังเข้าห้องนั่งทำสมาธิอยู่อย่างสม่ำเสมอ
หลวงพ่อดำมรณภาพเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2526 ที่โรงพยาบาลปัตตานี สิริรวมอายุ 89ปี 67 พรรษา
เครดิตจาก กูเกิ้ล รูปพระจากท่าพระจันทร์ดอตคอม
หลวงปู่ทวดนวล วัดตุยง จ.ปัตตานี ประวัติการสร้างฉบับแก้คำผิดและเรียบเรียงใหม่แล้วครับ
ประวัติการสร้างพระเครื่อง หลวงปู่ทวดนวล เทวธัมโม วัดมุจลินทวาปีวิหาร (ตุยง) อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ปี 2507
หลวงปู่ทวดนวลท่านเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนในละแวกแถบนั้นไม่ว่าใครจะเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดโรคระบาด โดนของ ผีเข้า ลมเพลมพัด ฯลฯ ต่างต้องมาขอพึ่งบารมีของหลวงปู่ทวดนวลให้ช่วยรักษาถอนของนั้น ๆ ด้วยยาสมุนไพรและอาคมเสมอ ๆ ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในแถบนั้นอย่างมาก (หลวงปู่ทวดนวลมรณภาพเมื่อไหร่ไม่ได้มีการบันทึกไว้)
ส่วนพระเครื่องรุ่นนี้จัดสร้างโดยหลวงพ่อดำเจ้าอาวาสรุ่นที่ 5 (ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 16/9/2464 – 26/12/2526 ) ท่านได้นำพระภิกษุสามเณรพร้อมกับชาวบ้านเดินทางไปหาว่านต่าง ๆ บนภูเขาทรายขาวใช้เวลาค้นหาอยู่นานถึง 7 วัน 7 คืน ก็ยังไม่สามารถหาว่านได้ครบจำนวน 120 ชนิด ทั้งหมดจึงเดินทางไปหาที่ภูเขาตาชีเพิ่มเติมจนกระทั่งได้ว่านครบทั้ง 120 ชนิด รวมไปถึงเกสรดอกไม้ 120 ชนิด
มวลสารที่นำมาจัดสร้างวัตถุมงคลนี้มีส่วนผสมคือ ว่าน 120 ชนิด,เกสรดอกไม้ 120 ชนิด,เครื่องยาสมุนไพร 120 ชนิด,คดไม้ผูกใบลาน,คนทีดำ,กากยาคนธรรพ์,ว่านศักดิ์สิทธิ์ 108 ชนิด,ผงพุทธคุณผงอิทธิเจ,ผงปถมัง,ผงตรีนิสิงเหและผงแก่นไม้ขนุนที่กลายเป็นหินที่หลวงพ่อดำท่านเก็บรักษาเอาไว้และปลุกเสกอยู่นานหลายปี ที่เลือกแก่นขนุนเป็นส่วนประกอบเพราะ “ขนุน”เป็นไม้มงคลให้ผลทางการช่วย “หนุน” ดวงชะตา และช่วย “เกื้อหนุน”ในยามตกทุกข์
หลังจากนั้นชาวบ้านก็ช่วยกันบดมวลสารทั้งหมดให้เข้ากันแล้วใช้น้ำผึ้งรวงกับกล้วยหอมเป็นเครื่องผสมผงเพื่อให้จับตัวกันแน่น สำหรับพิธีในการจัดสร้างนั้นหลวงพ่อทวดนวลได้เข้าประทับทรงแล้วบอกให้ทำในพระอุโบสถไม่อนุญาตให้ฆราวาสเข้าไปยุ่งอย่างเด็ดขาด โดยเริ่มกดพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 – 2507 (รวมเวลา 3 ปี)
หลังจากนั้นได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นเมื่อ วันเสาร์ 5 เดือน 5 ขึ้น 5 ค่ำ ปี 2507 หลวงพ่อดำได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์จากวัดต่าง ๆ ทั่วภาคใต้จำนวน 120 รูป อาทิเช่น
พระอาจารย์ทิมวัดช้างให้ (กล่าวกันว่า พระอาจารย์ทิม ได้อัญเชิญวิญญาณหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เข้าประทับทรงในการนี้ด้วย) ,พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก,หลวงพ่อแสง วัดคลองน้ำเจ็ด,พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทรายพ่อท่านบุญ วัดไม้แก่น,หลวงพ่อแดง วัดเชิงเขา,หลวงพ่อแดง วัดศรีมหาโพธิ์,พระอาจารย์นองวัดทรายขาว,หลวงพ่อฉิ้น ยะลา,หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง,พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา,หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน,หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อง,หลวงพ่อมุ่ย วัดบางบูชา,หลวงพ่อแก่น วัดทุ่งเหลือ,พ่อท่านเจ๊ก วัดวังแดงตะวันตก เป็นต้น
พุทธคุณ
การปลุกเสกได้ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณหลวงพ่อทวดมาสิงสถิตในองค์พระนี้แล้วโดยถูกต้องสมบูรณ์โดยพระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในไสยเวทวิทยาคม ดังนั้นพระเครื่องรุ่นนี้ย่อมบันดาลคุณานุภาพป้องกันภัยต่างๆ ได้ 120ประการเท่ากำลังส่วนผสม สามารถอยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดจากภัยศาสตราวุธทุกชนิด บันดาลเสน่ห์เมตตามหานิยม เจริญด้วยลาภยศเดชานุภาพทางค้าขายหรือการเสาะแสวงหาโชคลาภ
เมื่อท่านปรารถนาให้หลวงพ่อทวดโปรดสิ่งใด พึงบนบานได้ตามความประสงค์ของท่านโดยต้องเป็นสิ่งสุจริต หากผู้ใดนำไปใช้ในทางทุจริตนอกจากหลวงพ่อทวดจะไม่ช่วยเหลือแล้ว ท่านจะบันดาลให้เกิดโทษเสียอีกจึงควรระวังให้มาก หากท่านจำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อธุรกิจหรือหาโชคลาภ ให้ภาวนาพระคาถา “ กะ ละ มะ อุ “ พร้อมกับระลึกถึงหลวงพ่อทวดนวล เทวธัมโม ท่านจะไปดีมาดี มีลาภ แคล้วคลาดภยันตรายทั้งปวง พระเครื่องนี้ยังใช้ทางบำบัดรักษาโรค,ถูกยา,ถูกคุณไสย,ถูกผี,พระภูมิเจ้าที่รบกวนให้โทษ (กรณีถูกเจ้าที่รบกวนให้เอาพระเครื่องนี้ทำน้ำพระพุทธมนต์กินและประพรมรอบ ๆ บ้านความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็จะสิ้นไป)
พระเครื่องหลวงพ่อทวดนวลมีพิมพ์พระทั้งหมด 5 พิมพ์ ดังนี้ พิมพ์ซุ้มเรือนแก้ว,พิมพ์ใหญ่,พิมพ์ขาโต๊ะ,พิมพ์กลางและพิมพ์เล็ก
คาถาบูชาหลวงปู่ทวด
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ (3 จบ)
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (3 จบ)
พระเครื่อง เป็นสิ่งเตือนใจ ให้ระลึกถึง พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ
จงประกอบแต่สิ่งดีงาม มีสัมมาอาชีวะ ให้ธรรมะเป็นเครื่องหนุนนำจิตใจ
เมื่อในใจมีศรัทธา ปาฏิหาริย์ก็จะบังเกิด
ประวัติ วัดมุจลินทวาปีวิหาร(วัดตุยง)
จังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในจังหวัดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาเหตุการณ์ไม่สงบแต่ทำไมชาวไทยพุทธจังหวัดปัตตานีส่วนมากจึงอยู่ได้แถมยังไม่คิดจะย้ายหนีออกไปไหนก็เพราะความผูกพันอันมีต่อบ้านเกิดและสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจนั่นเอง
เมื่อ พ.ศ. 2338 เจ้าพระยาพลเทพฯ แม่ทัพใหญ่ ขอพระบรมราชานุญาตแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น 7หัวเมือง คือ เมืองตานี เมืองสาย เมืองยะลา เมืองรามันห์ เมืองยะหริ่ง เมืองระแงะและเมืองหนองจิก เพื่อสะดวกต่อการปกครอง โดยมีพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) เจ้าเมืองสงขลาเป็นผู้ควบคุมหัวเมืองทั้ง 7
ต่อมา ปีพ.ศ. 2388 พระยาวิเชียรภักดีศรีสงครามได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองหนองจิก ท่านได้พาครอบครัวคนไทยมาจำนวนหนึ่งและได้นิมนต์พระอาจารย์พรหม ธมฺมธีโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านสมัยอยู่ยะหริ่งมาจำพรรษาที่ศาลาพักสงฆ์ท่ายะลอ แต่ปรากฏว่าสถานที่ดังกล่าวมีความไม่สะดวกหลายประการเลยต้องย้ายหาที่แห่งใหม่เพื่อสร้างเป็นวัด จนมาพบเนินทรายขาวแห่งหนึ่งมีต้นชะเมาใหญ่ปกคลุมเงียบสงัดและมีเสือใหญ่ตัวนึงนอนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก (ตำนานกล่าวว่า ต่อมาเสือตัวนั้นได้หายไปอย่างลึกลับ) ท่านทั้งสองจึงถือเอานิมิตดังกล่าวเลือกเอาสถานที่นี้เป็นที่สร้างวัดและให้ชื่อว่า “วัดตุยง” ตามนามของหมู่บ้าน
ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสแหลมมลายู เมื่อเสด็จมาถึงเมืองหนองจิก ทรงประทับ ณ วัดตุยง ทรงปฏิสันถารกับพระครูวิบูลย์สมณวัตร (พระอาจารย์นวล เทวธัมโม) เจ้าอาวาสแล้วทรงมีพระราชศรัทธาจึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 80 ชั่ง แก่พระยามุจลินทรสราภิธาน นัคโรปการสุนทรกิจ มหิศรราชภักดี (ทัด ณ สงขลา) ผู้ว่าราชการเมืองหนองจิก ดำเนินการสร้างอุโบสถแทนหลังเก่า พร้อมกันนั้นทรงเปลี่ยนนาม “วัดตุยง” เป็น “วัดมุจลินทวาปีวิหาร” และยังได้พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ไว้แก่วัดมุจลินทวาปีวิหารอีกด้วย
ต่อมาวันที่ 27 กันยายน 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯ มายังวัดมุจลินทวาปีวิหารเป็นการส่วนพระองค์ ทั้งสองพระองค์ได้ทรงสนทนาธรรมกับพระราชพุทธิรังษี (หลวงพ่อดำ นันทิโย) และได้พระราชทานเภสัชแด่หลวงพ่อดำเอาไว้จำนวนหนึ่ง
ประวัติพระราชพุทธิรังษี (หลวงพ่อดำ นันทิโย)
ท่านเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อดำ มีนามเดิมว่า ดำ นามสกุล จันทรักษ์ เกิดวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ที่ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา บิดามีนามว่า หลวงจรานุรักษ์เขตร (พลับ จันทรักษ์) มารดามีนามว่า นางพ่วนเหนี่ยว จันทรักษ์ เด็กชายดำ จันทรักษ์ เริ่มการศึกษาที่บ้านโดยเรียนกับบิดาจนอ่านออกเขียนได้ จนถึงอายุได้ 19 ปีจึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดนาทับ ท่านได้ศึกษาหนังสือขอมทั้งขอมไทยและขอมบาลีจนเชี่ยวชาญ แต่ระหว่างที่เป็นสามเณรได้เกิดอาพาธจึงได้ลาสิกขาชั่วคราว เหตุผลเพราะยาโบราณต้องผสมสุรา เมื่อหายอาพาธแล้วจึงได้กลับมาอุปสมบทในขณะที่มีอายุ 22 ปี ได้นามฉายาครั้งแรกว่า “นันทิยมาโน” ต่อมาได้เดินทางไปกรุงเทพฯโดยไปจำวัดที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ต่อมาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์)แห่งวัดราชบพิธได้ทรงเปลี่ยนนามฉายาให้ใหม่เป็น “นันทิโย” ซึ่งเป็นคำนาม แปลว่า “ผู้เป็นที่ตั้งแห่งความเพลิดเพลิน” แล้วทรงฝากให้ศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกสามัญและแผนกบาลีที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จากนั้นหลวงพ่อดำได้เดินทางกลับปัตตานีมาประจำอยู่ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีจนถึงวาระมรณภาพ โดยมีตำแหน่งสณศักดิ์ต่างๆ ดังนี้
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2464 พระครูพิบูลย์สมณวัตร (หลวงพ่อชุม) ได้มีคำสั่งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมุจลินทวาปีวิหารที่ “พระใบฎีกา”
วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2476 พระเทพญาณโมลี เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “เจ้าคณะหมวดตุยง”
วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2477 พระเทพญาณโมลี เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ผู้ช่วยเจ้าคณะแขวงตุยง”
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2482 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สัญญาบัตรเป็นที่ “พระครูกนิตสมณวัตร”
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งสาธารณูปการจังหวัดปัตตานี
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2495 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สัญญาบัตรเป็นพระราชาคณะ (เจ้าคุณ) ชั้นสามัญที่ “พระมุจลินทโมลี”
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2515 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สัญญาบัตรสุดท้าย เป็นพระราชาคณะ ชั้นราชที่ “พระราชพุทธิรังษี”
ท่านยังเป็นพระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวดของ อ. ทิม วัดช้างให้) อีกทั้งท่านยังเป็นประธานในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลของวัดช้างให้มาโดยตลอดอีกด้วย พระราชพุทธิรังษีหรือหลวงพ่อดำ ได้บริหารคณะสงฆ์และงานก่อสร้างสังฆเสนาสนะตลอดถึงงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดุจปาฏิหาริย์ไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะท่านเป็นพระที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ท่านชอบเดินจงกรมตั้งแต่เวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มเป็นประจำอีกทั้งยังเข้าห้องนั่งทำสมาธิอยู่อย่างสม่ำเสมอ
หลวงพ่อดำมรณภาพเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2526 ที่โรงพยาบาลปัตตานี สิริรวมอายุ 89ปี 67 พรรษา
เครดิตจาก กูเกิ้ล รูปพระจากท่าพระจันทร์ดอตคอม