393

395

น258

น259

ต่อไปลำดับที่ 36 (1.08.13 ) 37 38 อยู่ด้วยกัน
ฉนั้นว่าโดยองค์รวมแล้ว เจตสิกฝ่ายที่เกิดกับ กามาวจรกุศล ก็มี 38 นั่นแหละ
แต่เวลาเกิดจริงๆเนี่ยเกิดได้ 33 บ้าง 34 บ้าง
แต่ถ้าทั้งหมดเนี่ยมัน 38 นั่นเอง เราก็ต้องดูว่าจะพูดแบบไหน
ส่วนหลังๆมาถ้าเอามาจัดหมวดหมู่ใหม่ เรียนใหม่ เขาจะบอกเป็น 38 แล้วก็บางทีพอไปเรียนพระไตรปิฎกแล้วงง อันไหนเป็นอันไหน งง ต้องเรียนละเอียดจริงๆ บางทีเขาแปลงชื่อไปอะไรไปก็มี
แต่ว่าถ้าเป็นในอภิธัมมาวตารนี่ ชื่อจะเหมือนเดิมตลอด แล้วก็จะเรียงเหมือนพระไตรปิฎกเลย เลยง่ายเวลาเราไปเรียนพระไตรปิฏก
บางท่านบอกขนาดว่าง่ายก็ยังยากอยู่
ทางคัมภีร์อภิธรรม มันก็ยาก ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
กายะทุจะริตะโต วิระติ กายะทุจจะริตะวิระติ
ความงดเว้นจากกายทุจริตเรียกว่า กายทุจริตวิรติ
1.09.33
เป็นเจตสิกชนิดหนึ่งนะครับ
ทีนี้ วจีทุจริตวิรติ มิจฉาอาชีวะวิรติ ก็ทำนองเดียวกัน
เอเสวะ นะโย เสเสสุปิทะวีสุ
สองอันก็แบบเดียวกัน
ลักษะณาทิโต ปะนะ เอตา ติสโสปิ วิระติโย
ลักษณะเป็นต้นของ วิรตีทั้ง 3 ประการนี้ ก็จะมีอย่างนี้ก็คือ
กายะทุจจะริตา ทิวัตถูนัง อะวีติกกะมะลักขะณา
วีรตีทั้ง 3 มีลักษณะการไม่ก้าวล่วง หรือว่าไม่ล่วงละเมิดซึ่งวัตถุมีกายะทุจริต เป็นต้น
อะวีติกกะมะ ก็คือ ไม่ก้าวล่วง ไม่ล่วงละเมิด
ไม่ล่วงกายะทุจริตเป็นต้น
ไม่ล่วงกายุทุจริต ก็เป็น กายะทุจะริตะวิระติ
ไม่ล่วงวจีทุจริต ก็เป็น วะจีทุจะริตะวิระติ
ไม่ล่วงมิจฉาอาชีวะ ก็เป็น มิจฉาอาชีวะวิระติ 1.10.42
กายะทุจจะริตาวัตถุโต สังโกจะนะระสา
มีกิจหน้าที่ก็คือ การถอยห่างออกไป
สังโกจะนะ ก็คือ ถอยห่าง ถอยออก ถอยออกไป ไม่กล้าสู้ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ 1.10.59
มีกิจหน้าที่ก็คือ ถอยห่างจากวัตถุมี กายะทุจะริตเป็นต้น
ถอยห่างจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เหล่านี้ก็คือ กายะทุจะริตะวิระติ
คือ เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ก็ได้
ถ้าถอยห่างจากการพูดโกหก พูดคำส่อเสียด พูดคำหยาบคาย พูดคำเพ้อเจ้อ ก็เป็น วะจีทุจะริตาวิระติ
นี้เป็นกิจหน้าที่ของ วีรตี
1.11.32
อะกิริยะปัจจุปัฎฐานา
มีการไม่กระทำทุจริตเป็น อาการปรากฎ
อะกิริยะ คือ ไม่กระทำ
สัทธาหิริโอตตัปปะอัปปิจฉะตาดิคุณะปะทัฎฐานา
วิรตีนั้นมีคุณธรรมคือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ ความมักน้อย เป็นต้น เป็นเหตุใกล้ นะ
คุณธรรมเหล่านี้ก็เป็นเหตุใกล้ของวิรติ ควบคุมธรรมต่างๆ 1.12.03 ถ้ามีขึ้นมา
มีสัทธา เป็นต้น วิรตี ก็จะเกิด อย่างเช่น มีสัทธาเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อยู่ในใจเสมอ การกระทำชั่วมันก็ไม่กล้าทำ เพราะดูเหมือนพระพุทธเจ้าจ้องดูอยู่อย่างนี้เป็นต้น
ก็เป็นคุณธรรมที่ ทำให้เกิดวิรตีขึ้น
เวลาจะพูดว่าคนโน้นคนนี้ ถ้าคนไหนสวดมนต์บ่อยๆก็อายปาก ปากเคยสวดมนต์บ่อย ไปบ่นชาวบ้านก็โอ๊ยไม่เอาดีกว่า ทำนองนี้
นี้ก็เป็นคุณ คุณก็คือ มีสัทธา เป็นต้น 1.12.39 ขึ้นมา
ทีนี้ก็ เกจิ อีกแล้ว หมายถึง ว่าอย่าไปเชื่อกับท่านนี้นะ
เกจิ ปะนะ อิมาสุ เอเกกัง นิยะตัง วิระติง อิจฉันติ
เกจิอาจารย์บางพวกเนี่ยก็บอกว่า วิรติ นี่เป็นของแน่นอน เกิดทีละหนึ่งทีละหนึ่งว่างั้น เป็นของแน่นอน อย่าไปเชื่อ
ให้รู้ว่าวิรตี 3 เนี่ย ไม่แน่นอน ไม่ได้เกิด ตลอด นานๆจะเกิด นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง
หมายความว่า พวกศีลนี่ไม่ได้มีตลอด นา นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง 1.13.14
เกจิอาจารย์บางทีก็บอกว่า เออคุณไม่ได้ทำความผิดคุณก็มีศีล คุณก็ถือว่าเป็นคนดีชื่อว่าคุณงดเว้นจากการโกหกแล้ว เกจิอาจารย์แบบนี้ก็จะมีเยอะในแบบปัจจุบันเรานี่ 1.13.27
ก็จะเอา วิระติ เป็น นิยะตะ ไป
อย่างเช่นว่า ถ้าเราเป็นคนดี เป็นคนทำบุญสุญทานเนี่ย ก็ถือว่ามีศีลอยู่ในตัว อันนี้เป็นเกจิอาจารย์
ก็ จริงๆไม่มี ศีลจะเกิดก็ต่อเมื่อ มีเรื่องให้ละเมิดและงดเว้น 1.13.47
จะเกิดก็ต่อเมื่องดเว้นฆ่าสัตว์ งดเว้นลักทรัพย์ งดเว้นประพฤติผิดในกาม งดเว้นพูดโกหก งดเว้นพูดหยาบคาย งดเว้นพูดส่อเสียด งดเว้นพูดเพ้อเจ้อ เนี่ย ศีลหรือวิรตีจะมีกรณีพวกนี้ ไม่ใช่มีตอนเราเป็นคนดี นา
ฉนั้นตอนเป็นคนดีจึงไม่มีศีล
แต่ว่าถ้าเป็นเกจิเขาจะบอกว่า ความเป็นคนดีมีศีลนะครับ มี ถ้าไม่มีเดี๋ยวทะเลาะกัน
โดยสภาวะกับที่คำพูดนี่มันไม่เหมือนกันพอกัน
ถ้าอย่างนั้นแล้วก็คนดีกับคนธรรมดาทั่วไป กุศลมากกว่านี้อีกเช่น เข้าฌานอย่างนี้ ดีมากไหมนี่ เข้าฌานมีวิรตีไหม ไม่มี เห็นไหม
หากดีกว่าเราทั่วไปยังไม่มีวิรตี เลยนะ มันต้องเข้าใจแบบนี้นะ1.14.39
นะครับ อันนี้พูดโดยสภาวะใช่ไหม 1.14.41
พูดภาษาพูด กับ พูดโดยสภาวะ ต่างกัน
เนี่ย เกจิ บางคนเนี่ย บางท่านเกจินะ ก็จะเอาวิรตีเนี่ยเป็น นิยะตะ ไป นะ
ก็คือ พอจิตเป็นกุศล ก็ถือว่างดเว้นฆ่าสัตว์แล้ว งดเว้นลักทรัพย์ งดเว้นประพฤติผิดในกาม นี่ถ้าจิตดี จิตเป็นกุศล ถือว่ามีศีล นี้คือคำเกจินะแบบนี้
อย่าไปเอานะ พอเข้าใจไม๊
เกจิ มีเยอะเหมือนกัน เกจิ
เกจิ หมายถึงว่า ผู้เขียนคัมภีร์เนี่ยท่านอาจารย์พุทธะทัตตะเนี่ยท่านไม่ยอมปรับให้ จริงๆก็ตามพุทธพจน์จริงๆ ก็จะต้องมีวัตถุให้ต้องล่วงละเมิดก่อนจึงจะมีวิรตีขึ้นมาได้ นอกนั้นมันไม่มีเพราะว่า ในพระพุทธพจน์เองท่านก็เป็น เยวาปะนะกะ จะจะอยู่แล้ว พอเข้าใจไม๊
1.15.34
ทำนองนี้นะครับ
อันนี้เป็นอันสรุปได้
ฉนั้น เวลาอธิบาย ท่านก็อธิบาย ลักขณาทิจะตุกะ บ้าง แล้วก็มีองค์ความรู้ประกอบเข้ามาให้เราบ้างตามสมควร แต่ว่าท่านไม่เอามาเยอะนะ ท่านต้องการเยอะกว่านี้ท่านต้องอ่านอรรถกถา แต่พอเยอะไปมันหน้ามืดก่อน มันหาไม่ไหว
ท่านก็เลยรวมมาให้แบบย่อๆก่อน อย่างนี้นะครับ
คัมภีร์ทีนี้คำอธิบายก็ตรงกับอรรถกถา ชื่อจะตรงกับบาลี เรียงลำดับเหมือนบาลีเป๊ะครับ
คำอธิบายเหมือนอรรถกถาเป๊ะเลย
ท่านใดเรียนอย่างนี้เรียบร้อยแล้วก็ไปหาคำเหล่านี้ในบาลี หาคำเหล่านี้ในอรรถกถาได้นะ
แค่เอามากรองๆๆๆๆ ให้เหลือสั้นๆ แล้วเอามารวมไว้เฉยๆ
พอเข้าใจไหมครับอย่างงี้ 1.16.23
สรุปว่า
เอวัง กามาวะจะระปะฐะมะมะหากุสะละจิตเตนะ อิเมเตตติงสะวา จะตุตติงสะวา ธัมมา สัมปะโยคัง คัจฉันตีติ เวทิตัพพา
ด้วยประการดังนี้แหละ บัณฑิตทั้งหลายพึงทราบว่า
ธัมทั้งหลายคือสภาวะธรรม คือ เจตสิกทั้งหลายเหล่านี้ 33 บ้างนะ หรือว่า 34 บ้าง เกิดกับกามาวจรกุศลจิตดวงที่ 1 อย่างนี้
เกิดแบบประกอบร่วมกัน ฉนั้น เวลาประกอบร่วมกันจะมี 33 อันนี้แน่นอน ตัวนี้จะเกิดประจำอยู่แล้ว 33
แต่บางคราว 34
บางคราวก็มีตอนที่ทำบริกรรมภาวนา ถ้าทำบริกรรมกรุณาก็จะมี กรุณามาด้วย อันอื่นก็จะไม่มี 1.17.20
มีกรุณาอย่างเดียว
บางทีก็มี มุทิตา เมื่อบริกรรมมุทิตา ตัวอื่นไม่มี
บางทีงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ก็มี กายะทุจะริตะวิระติ ตัวอื่นก็ไม่มี
อย่างนี้เป็นอันๆไป
หรือบางครั้งก็งดเว้นคำพูดก็ วะจีทุจะริตะวิระติ
บางทีก็งดเว้น มิจฉาชีวะวิระติ จึงมา พวกนี้
ฉนั้นก็เลยมีเกิด 33 กับ 34
แต่เจตสิกโดยองค์รวมก็จะเป็น 38 1.18.04
อย่างที่นับไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
เอาแบบทั้งหมดรวมกัน 38
ส่วนใหญ่ 38 เนี่ย เราก็จะคุ้นเคย คนไหนที่เรียนทางอภิธัม มา
เราก็จะแยกเป็น อัญญสมานาเจตสิก13 กับ โสภะณะ 25 เอาบวกกันเลย ได้เป็น 38 ง่ายดีจัง นะอย่างนี้นะครับ
อันนี้คือจัดหมวดหมู่ใหม่เอามาเรียนเป็นหลักสูตร
ส่วนอันนี้เรียงตามบาลี 1.18.35
นะครับ เอาล่ะต่อไป
-----
ฟังจากคลิปนี้ครับ

-----
เจตสิกที่ประกอบในมหากุศลจิตดวงที่ 1 ที่สอนถึง วะจะนะถะ และ ลักขะณาทิจะตุกะ นั้น หาคนสอนยากครับ
มีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 34 เรื่องจิตตุปปาทกัณฑ์
แต่ในหนังสืออภิธัมมาวตาร จะยกการอธิบายตามบาลีในพระไตรปิฎก ชื่อเหมือนบาลีในพระไตรปิฎก
ดังนั้นผู้ที่เรียนอภิธัมมัตถสังคหะมาแล้วก็จะฟังเพื่อเรียบเรียงความรู้ให้เรียงตัวใหม่ตามพระไตรปิฎก
การสอนของอาจารย์สอนจะเหลืออีกบทสองบทก็จะจบ
แต่วิธีการสอนของอาจารย์สามารถทำให้ได้รับวิธีอ่านค้นคว้าได้เป็นอย่างดี
เป็นวิธีการสอนที่ยอดเยี่ยมครับ
-----
อาจาริยคุณัง อหังวันทามิ
ข้าพเจ้ากราบวันทาครูอาจารย์
โดยความเคารพ
-----
อนุโมทนา ครับ
กายะทุจะริตะวิระติ -- วะจีทุจะริตะวิระติ -- มิจฉาอาชีวะวิระติ --เจตสิกที่เกิดไม่แน่นอน นานๆเกิดครั้งหนึ่ง
395
น258
น259
ต่อไปลำดับที่ 36 (1.08.13 ) 37 38 อยู่ด้วยกัน
ฉนั้นว่าโดยองค์รวมแล้ว เจตสิกฝ่ายที่เกิดกับ กามาวจรกุศล ก็มี 38 นั่นแหละ
แต่เวลาเกิดจริงๆเนี่ยเกิดได้ 33 บ้าง 34 บ้าง
แต่ถ้าทั้งหมดเนี่ยมัน 38 นั่นเอง เราก็ต้องดูว่าจะพูดแบบไหน
ส่วนหลังๆมาถ้าเอามาจัดหมวดหมู่ใหม่ เรียนใหม่ เขาจะบอกเป็น 38 แล้วก็บางทีพอไปเรียนพระไตรปิฎกแล้วงง อันไหนเป็นอันไหน งง ต้องเรียนละเอียดจริงๆ บางทีเขาแปลงชื่อไปอะไรไปก็มี
แต่ว่าถ้าเป็นในอภิธัมมาวตารนี่ ชื่อจะเหมือนเดิมตลอด แล้วก็จะเรียงเหมือนพระไตรปิฎกเลย เลยง่ายเวลาเราไปเรียนพระไตรปิฏก
บางท่านบอกขนาดว่าง่ายก็ยังยากอยู่
ทางคัมภีร์อภิธรรม มันก็ยาก ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
กายะทุจะริตะโต วิระติ กายะทุจจะริตะวิระติ
ความงดเว้นจากกายทุจริตเรียกว่า กายทุจริตวิรติ
1.09.33
เป็นเจตสิกชนิดหนึ่งนะครับ
ทีนี้ วจีทุจริตวิรติ มิจฉาอาชีวะวิรติ ก็ทำนองเดียวกัน
เอเสวะ นะโย เสเสสุปิทะวีสุ
สองอันก็แบบเดียวกัน
ลักษะณาทิโต ปะนะ เอตา ติสโสปิ วิระติโย
ลักษณะเป็นต้นของ วิรตีทั้ง 3 ประการนี้ ก็จะมีอย่างนี้ก็คือ
กายะทุจจะริตา ทิวัตถูนัง อะวีติกกะมะลักขะณา
วีรตีทั้ง 3 มีลักษณะการไม่ก้าวล่วง หรือว่าไม่ล่วงละเมิดซึ่งวัตถุมีกายะทุจริต เป็นต้น
อะวีติกกะมะ ก็คือ ไม่ก้าวล่วง ไม่ล่วงละเมิด
ไม่ล่วงกายะทุจริตเป็นต้น
ไม่ล่วงกายุทุจริต ก็เป็น กายะทุจะริตะวิระติ
ไม่ล่วงวจีทุจริต ก็เป็น วะจีทุจะริตะวิระติ
ไม่ล่วงมิจฉาอาชีวะ ก็เป็น มิจฉาอาชีวะวิระติ 1.10.42
กายะทุจจะริตาวัตถุโต สังโกจะนะระสา
มีกิจหน้าที่ก็คือ การถอยห่างออกไป
สังโกจะนะ ก็คือ ถอยห่าง ถอยออก ถอยออกไป ไม่กล้าสู้ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ 1.10.59
มีกิจหน้าที่ก็คือ ถอยห่างจากวัตถุมี กายะทุจะริตเป็นต้น
ถอยห่างจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เหล่านี้ก็คือ กายะทุจะริตะวิระติ
คือ เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ก็ได้
ถ้าถอยห่างจากการพูดโกหก พูดคำส่อเสียด พูดคำหยาบคาย พูดคำเพ้อเจ้อ ก็เป็น วะจีทุจะริตาวิระติ
นี้เป็นกิจหน้าที่ของ วีรตี
1.11.32
อะกิริยะปัจจุปัฎฐานา
มีการไม่กระทำทุจริตเป็น อาการปรากฎ
อะกิริยะ คือ ไม่กระทำ
สัทธาหิริโอตตัปปะอัปปิจฉะตาดิคุณะปะทัฎฐานา
วิรตีนั้นมีคุณธรรมคือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ ความมักน้อย เป็นต้น เป็นเหตุใกล้ นะ
คุณธรรมเหล่านี้ก็เป็นเหตุใกล้ของวิรติ ควบคุมธรรมต่างๆ 1.12.03 ถ้ามีขึ้นมา
มีสัทธา เป็นต้น วิรตี ก็จะเกิด อย่างเช่น มีสัทธาเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อยู่ในใจเสมอ การกระทำชั่วมันก็ไม่กล้าทำ เพราะดูเหมือนพระพุทธเจ้าจ้องดูอยู่อย่างนี้เป็นต้น
ก็เป็นคุณธรรมที่ ทำให้เกิดวิรตีขึ้น
เวลาจะพูดว่าคนโน้นคนนี้ ถ้าคนไหนสวดมนต์บ่อยๆก็อายปาก ปากเคยสวดมนต์บ่อย ไปบ่นชาวบ้านก็โอ๊ยไม่เอาดีกว่า ทำนองนี้
นี้ก็เป็นคุณ คุณก็คือ มีสัทธา เป็นต้น 1.12.39 ขึ้นมา
ทีนี้ก็ เกจิ อีกแล้ว หมายถึง ว่าอย่าไปเชื่อกับท่านนี้นะ
เกจิ ปะนะ อิมาสุ เอเกกัง นิยะตัง วิระติง อิจฉันติ
เกจิอาจารย์บางพวกเนี่ยก็บอกว่า วิรติ นี่เป็นของแน่นอน เกิดทีละหนึ่งทีละหนึ่งว่างั้น เป็นของแน่นอน อย่าไปเชื่อ
ให้รู้ว่าวิรตี 3 เนี่ย ไม่แน่นอน ไม่ได้เกิด ตลอด นานๆจะเกิด นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง
หมายความว่า พวกศีลนี่ไม่ได้มีตลอด นา นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง 1.13.14
เกจิอาจารย์บางทีก็บอกว่า เออคุณไม่ได้ทำความผิดคุณก็มีศีล คุณก็ถือว่าเป็นคนดีชื่อว่าคุณงดเว้นจากการโกหกแล้ว เกจิอาจารย์แบบนี้ก็จะมีเยอะในแบบปัจจุบันเรานี่ 1.13.27
ก็จะเอา วิระติ เป็น นิยะตะ ไป
อย่างเช่นว่า ถ้าเราเป็นคนดี เป็นคนทำบุญสุญทานเนี่ย ก็ถือว่ามีศีลอยู่ในตัว อันนี้เป็นเกจิอาจารย์
ก็ จริงๆไม่มี ศีลจะเกิดก็ต่อเมื่อ มีเรื่องให้ละเมิดและงดเว้น 1.13.47
จะเกิดก็ต่อเมื่องดเว้นฆ่าสัตว์ งดเว้นลักทรัพย์ งดเว้นประพฤติผิดในกาม งดเว้นพูดโกหก งดเว้นพูดหยาบคาย งดเว้นพูดส่อเสียด งดเว้นพูดเพ้อเจ้อ เนี่ย ศีลหรือวิรตีจะมีกรณีพวกนี้ ไม่ใช่มีตอนเราเป็นคนดี นา
ฉนั้นตอนเป็นคนดีจึงไม่มีศีล
แต่ว่าถ้าเป็นเกจิเขาจะบอกว่า ความเป็นคนดีมีศีลนะครับ มี ถ้าไม่มีเดี๋ยวทะเลาะกัน
โดยสภาวะกับที่คำพูดนี่มันไม่เหมือนกันพอกัน
ถ้าอย่างนั้นแล้วก็คนดีกับคนธรรมดาทั่วไป กุศลมากกว่านี้อีกเช่น เข้าฌานอย่างนี้ ดีมากไหมนี่ เข้าฌานมีวิรตีไหม ไม่มี เห็นไหม
หากดีกว่าเราทั่วไปยังไม่มีวิรตี เลยนะ มันต้องเข้าใจแบบนี้นะ1.14.39
นะครับ อันนี้พูดโดยสภาวะใช่ไหม 1.14.41
พูดภาษาพูด กับ พูดโดยสภาวะ ต่างกัน
เนี่ย เกจิ บางคนเนี่ย บางท่านเกจินะ ก็จะเอาวิรตีเนี่ยเป็น นิยะตะ ไป นะ
ก็คือ พอจิตเป็นกุศล ก็ถือว่างดเว้นฆ่าสัตว์แล้ว งดเว้นลักทรัพย์ งดเว้นประพฤติผิดในกาม นี่ถ้าจิตดี จิตเป็นกุศล ถือว่ามีศีล นี้คือคำเกจินะแบบนี้
อย่าไปเอานะ พอเข้าใจไม๊
เกจิ มีเยอะเหมือนกัน เกจิ
เกจิ หมายถึงว่า ผู้เขียนคัมภีร์เนี่ยท่านอาจารย์พุทธะทัตตะเนี่ยท่านไม่ยอมปรับให้ จริงๆก็ตามพุทธพจน์จริงๆ ก็จะต้องมีวัตถุให้ต้องล่วงละเมิดก่อนจึงจะมีวิรตีขึ้นมาได้ นอกนั้นมันไม่มีเพราะว่า ในพระพุทธพจน์เองท่านก็เป็น เยวาปะนะกะ จะจะอยู่แล้ว พอเข้าใจไม๊
1.15.34
ทำนองนี้นะครับ
อันนี้เป็นอันสรุปได้
ฉนั้น เวลาอธิบาย ท่านก็อธิบาย ลักขณาทิจะตุกะ บ้าง แล้วก็มีองค์ความรู้ประกอบเข้ามาให้เราบ้างตามสมควร แต่ว่าท่านไม่เอามาเยอะนะ ท่านต้องการเยอะกว่านี้ท่านต้องอ่านอรรถกถา แต่พอเยอะไปมันหน้ามืดก่อน มันหาไม่ไหว
ท่านก็เลยรวมมาให้แบบย่อๆก่อน อย่างนี้นะครับ
คัมภีร์ทีนี้คำอธิบายก็ตรงกับอรรถกถา ชื่อจะตรงกับบาลี เรียงลำดับเหมือนบาลีเป๊ะครับ
คำอธิบายเหมือนอรรถกถาเป๊ะเลย
ท่านใดเรียนอย่างนี้เรียบร้อยแล้วก็ไปหาคำเหล่านี้ในบาลี หาคำเหล่านี้ในอรรถกถาได้นะ
แค่เอามากรองๆๆๆๆ ให้เหลือสั้นๆ แล้วเอามารวมไว้เฉยๆ
พอเข้าใจไหมครับอย่างงี้ 1.16.23
สรุปว่า
เอวัง กามาวะจะระปะฐะมะมะหากุสะละจิตเตนะ อิเมเตตติงสะวา จะตุตติงสะวา ธัมมา สัมปะโยคัง คัจฉันตีติ เวทิตัพพา
ด้วยประการดังนี้แหละ บัณฑิตทั้งหลายพึงทราบว่า
ธัมทั้งหลายคือสภาวะธรรม คือ เจตสิกทั้งหลายเหล่านี้ 33 บ้างนะ หรือว่า 34 บ้าง เกิดกับกามาวจรกุศลจิตดวงที่ 1 อย่างนี้
เกิดแบบประกอบร่วมกัน ฉนั้น เวลาประกอบร่วมกันจะมี 33 อันนี้แน่นอน ตัวนี้จะเกิดประจำอยู่แล้ว 33
แต่บางคราว 34
บางคราวก็มีตอนที่ทำบริกรรมภาวนา ถ้าทำบริกรรมกรุณาก็จะมี กรุณามาด้วย อันอื่นก็จะไม่มี 1.17.20
มีกรุณาอย่างเดียว
บางทีก็มี มุทิตา เมื่อบริกรรมมุทิตา ตัวอื่นไม่มี
บางทีงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ก็มี กายะทุจะริตะวิระติ ตัวอื่นก็ไม่มี
อย่างนี้เป็นอันๆไป
หรือบางครั้งก็งดเว้นคำพูดก็ วะจีทุจะริตะวิระติ
บางทีก็งดเว้น มิจฉาชีวะวิระติ จึงมา พวกนี้
ฉนั้นก็เลยมีเกิด 33 กับ 34
แต่เจตสิกโดยองค์รวมก็จะเป็น 38 1.18.04
อย่างที่นับไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
เอาแบบทั้งหมดรวมกัน 38
ส่วนใหญ่ 38 เนี่ย เราก็จะคุ้นเคย คนไหนที่เรียนทางอภิธัม มา
เราก็จะแยกเป็น อัญญสมานาเจตสิก13 กับ โสภะณะ 25 เอาบวกกันเลย ได้เป็น 38 ง่ายดีจัง นะอย่างนี้นะครับ
อันนี้คือจัดหมวดหมู่ใหม่เอามาเรียนเป็นหลักสูตร
ส่วนอันนี้เรียงตามบาลี 1.18.35
นะครับ เอาล่ะต่อไป
-----
ฟังจากคลิปนี้ครับ
-----
เจตสิกที่ประกอบในมหากุศลจิตดวงที่ 1 ที่สอนถึง วะจะนะถะ และ ลักขะณาทิจะตุกะ นั้น หาคนสอนยากครับ
มีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 34 เรื่องจิตตุปปาทกัณฑ์
แต่ในหนังสืออภิธัมมาวตาร จะยกการอธิบายตามบาลีในพระไตรปิฎก ชื่อเหมือนบาลีในพระไตรปิฎก
ดังนั้นผู้ที่เรียนอภิธัมมัตถสังคหะมาแล้วก็จะฟังเพื่อเรียบเรียงความรู้ให้เรียงตัวใหม่ตามพระไตรปิฎก
การสอนของอาจารย์สอนจะเหลืออีกบทสองบทก็จะจบ
แต่วิธีการสอนของอาจารย์สามารถทำให้ได้รับวิธีอ่านค้นคว้าได้เป็นอย่างดี
เป็นวิธีการสอนที่ยอดเยี่ยมครับ
-----
ข้าพเจ้ากราบวันทาครูอาจารย์
โดยความเคารพ