ตามคาด! เลือกตั้งซ่อมเขต 3 ระยอง “โย พงศธร” ก้าวไกล คะแนนนำ หมอบัญญัติ (มีคลิป)
https://www.matichon.co.th/politics/news_4173686
เลือกตั้งซ่อมเขต 3 ระยอง “โย พงศธร” ก้าวไกล คะแนนนำ หมอบัญญัติ
เมื่อเวลา 18.00น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังปิดหีบเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง ดำเนินการนับบัตรเลือกตั้ง ก่อนเริ่มนับคะแนน โดยหลังการนับคะแนนผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ปรากฎว่าคะแนนโดยรวมทั้งหมด 207 หน่วย เบื้องต้นปรากฎว่า นาย
พงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร จากพรรคก้าวไกลมีคะแนนนำ นพ.
บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ เกือบทุกหน่วยเลือกตั้ง โดยนับคะแนนไปแล้วกว่า 50% ขณะที่หน่วยเลือกตั้งที่ยังอยู่ระหว่างนับคะแนน พบว่า นาย
พงศธรมีคะแนนนำเกือบทั้งหมด ทั้งนี้นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลลงพื้นที่เตรียมแถลงในเวลา 19.30 น. จุดแถลงข่าว ร้านกาแฟเพิ่มช็อต ถ.สุขุมวิท ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง จ.ระยอง
นางสาว
กานต์จรัส เอียดทองใส นายอำเภอแกลง ระยอง ประธาน กกต.เขต3 จ.ระยอง กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยเลือกตั้ง 207 หน่วย นับคะแนนแล้วไปแล้วกว่าครึ่ง ซึ่งผลคะแนนในขณะนี้ นาย
พงศธร ศรเพชรนรินทร์ เบอร์1 พรรคก้าวไกล ยังมีคะแนนนำ นายแพทย์
บัญญัติ เจตนจันทร์ เบอร์2 ส่วนการเลือกตั้งในวันนี้ยังไม่ว่ามีปัญหา
ด้าน นาย
พงศธร กล่าวว่า ขณะนี้คะแนนที่นับไปแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ตนมีคะแนนนำคู่แข่ง ต้องขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่เลือกตน ซึ่งตนพร้อมทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนเขต 3 ต่อไป
(คลิปอยู่ในข่าวครับ)
เครือข่ายสื่อมวลชน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ทวงถาม 8 นโยบายสังคม-สุขภาพ
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7859197
เครือข่ายสื่อมวลชน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ทวงถาม 8 นโยบายสังคม-สุขภาพ ที่เคยจัดเวทีพรรคร่วมรัฐบาลก่อนเลือกตั้ง แต่ยังไม่มีความชัดเจน
เมื่อวันที่ 10 ก.ย.66 เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุและสื่อออนไลน์ ลงนามส่งจดหมายเปิดผนึกผ่านสื่อมวลชนถึง นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ในโอกาสที่รัฐบาลแถลงนโยบายในการบริหารประเทศต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอความคิดเห็นให้รัฐบาลนำไปประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม นโยบายด้านสังคมและผลกระทบทางสุขภาพ
โดยระบุว่าเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืนจัดประชุมเรื่อง “
สื่อมวลชนพบพรรคการเมือง : ถามหา นโยบายสร้างเสริมสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 ณ ห้องฟอร์จูน ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน กรุงเทพฯ มีตัวแทนพรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้คือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนา เข้าร่วม นำเสนอนโยบายด้วย
ในวันดังกล่าวนำเสนอ นโยบายด้านสังคมและการสร้างเสริมสุขภาพหลายเรื่อง ที่พรรคร่วมรัฐบาลเห็นตรงกันที่จะผลักดันให้เป็นนโยบายรัฐบาล ในการบริหารประเทศ และจากเอกสารประกอบการแถลงนโยบายรัฐบาลที่เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนทั่วไปนั้น มีนโยบายระยะกลางเรื่องการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นำความปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรีและนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนไทยทุกคนบรรจุอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม หลายประเด็นกลับไม่มีอยู่นโยบายหรือมีนโยบายแต่ไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ทางเครือข่ายฯจึงมีมติร่วมกันยื่นข้อเสนอเพื่อนำไปเพิ่มเติมในการปรับปรุงการจัดทำนโยบายด้านสังคม และผลกระทบทางสุขภาพ 8 ประเด็นคือ
ด้านการศึกษา นอกจากการพัฒนาคุณภาพคนที่จบการศึกษา ให้ความต้องการของเศรษฐกิจแบบใหม่และการปฏิรูปการศึกษาสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต รัฐบาลควรจะเพิ่มเติมในเรื่องโอกาสทางการศึกษาของเด็กในครอบครัวยากจนที่ได้รับผลกระทบจากจากปัญหาเศรษฐกิจให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง รวมทั้งการแก้ปัญหาการถดถอยทางการเรียนรู้ของเด็กไทยจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีเด็กยากจนเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนคนด้วย
ด้านปัญหายาเสพติด นอกจากการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทยโดยยึดหลักเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย จะมีการยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดและร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดนแล้ว รัฐบาลควรเพิ่มมาตรการเชิงป้องกันให้มากขึ้น
ทั้งการรณรงค์ สื่อสาร ให้ความรู้กับประชาชนเพื่อไม่ให้เด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ายาเสพติด นอกจากนั้นควรจะมีนโยบายการที่ชัดเจนในการทำลายยาเสพติดของกลางโดยเร็วเพื่อป้องกันการยักยอกหรือการเล็ดลอดของยาเสพติดนำกลับมาขายใหม่
ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับกัญชา ระบุถึงการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีการพูดถึงการให้ความรู้ รณรงค์ ป้องกันและปราบปรามการนำกัญชาไปใช้เพื่อสันทนาการ และการประกอบอาหาร เครื่องดื่ม ขนม รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชนและสังคมโดยรวม
ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต ขณะนี้คนไทยมีปัญหาความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ รายได้มากกว่ารายจ่ายรวมทั้งผลกระทบจากโควิด 19 ที่ต่อเนื่องมากถึงปัจจุบัน ทำให้คนไทยเกิดปัญหาซึมเศร้าทั้งในผู้ใหญ่ เด็กและเยาวชน หลายตัดสินใจจบชีวิตตัวเองและครอบครัวเพราะไม่มีทางออกของชีวิตปรึกษาใครไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลในการให้ความรู้และสร้างภูมิคุ้มกันกับประชาชน
ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับการบริโภคยาสูบ โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังแพร่หลายในเด็กและเยาวชน นอกจากการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจกับประชาชนแล้ว รัฐบาลควรมีจุดยืนที่มั่นคงว่าว่าบุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทั้งการนำเข้าและการจำหน่าย
รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายจับกุมอย่างจริงจัง มีการทำลายของกลางที่ยึดได้ทันที เพื่อป้องกันปัญหาการวิ่งเต้นจากพ่อค้าแล้วนำกลับมาขายใหม่
ด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์และการหลอกลวงออนไลน์ มีข้อมูลจากศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดเผยพฤติกรรมการเล่นพนันออนไลน์ปี 2566 ในรอบ 12 เดือนพบว่าคนรุ่นใหม่เล่นพนันออนไลน์ 32.3% หรือเกือบ 3 ล้าน คน และปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์
นับตั้งแต่ 17 มีนาคม 2566 ถึงปัจจุบันมีกว่า 3,000 เรื่อง ความเสียหายกว่า 2,700 ล้านบาท เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบทางสังคมกับประชาชน เด็กและเยาวชนอย่างมาก และควรจะเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
ด้านนโยบายผู้สูงอายุ สื่อมวลชนเห็นด้วยที่รัฐบาลจัดสวัสดิการแห่งรัฐให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ของคนทุกกลุ่มซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ แต่ขอให้มีการบรรจุเรื่องการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงเข้าไปอยู่ในแผนงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การสนับสนุนบุคลากร พยาบาล ผู้บริบาลรวมทั้งจิตอาสาไปดูแลผู้สูงอายุ ถึงบ้านโดยร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชนหรือหน่วยงานที่ สปสช.กำหนด
และด้านนโยบายสุขภาพมีการยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ให้มีคุณภาพและทั่วถึงมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ขณะเดียวกันหากรัฐบาลบรรจุเรื่องการ ส่งเสริมและพัฒนาการใช้สมุนไพร การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือก หลากหลายในการดูแลสุขภาพจะส่งผลต่อสุขภาวะอนามัยที่ดีของประชาชนมากขึ้น
ในตอนท้ายของจดหมายเปิดผนึก ทางเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืนระบุว่าหวัง เป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะนำข้อเสนอนี้ร่วมกับข้อเสนออื่นๆ ทั้งจากภาคการเมือง ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และพี่น้องประชาชนไปปรับปรุงเพิ่มเติมนโยบายเพื่อยังประโยชน์สุขแก่ประชาชนโดยส่วนรวมอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนั้น ลงนามรายชื่อและบทบาทหน้าที่แนบท้ายจดหมายด้วย เช่น นาย
ณรงค์ ปานนอก ประธานชมรมคอลัมนิสต์นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย นาย
ศักดา เอียว หรือ
เซีย การ์ตูนนิสต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, นาย
จิระ ห้องสำเริง ผู้ก่อตั้ง smemedia.com ผู้ดำเนินรายการสถานีวิทยุ ZaabNews FM 96.0 MHz, นาย
ถวัลย์ ไชยรัตน์ ผอ.คลื่น FM 96.5 MHz, นางสาว
แวววยุลี ลุ่มร้อย บก.ข่าวเศรษฐกิจ ไทยรัฐทีวี, นาย
จิระพงค์ เต็มเปี่ยม หัวหน้าข่าวหน้า 1 นสพ.แนวหน้า และนาย
วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ ผู้ดำเนินรายการวิทยุ เป็นต้น
นักวิชาการมองจีดีพีไทยมีโอกาสโตแตะ 4% ไม่แน่ใจวิ่งถึง 5% ไหวหรือไม่
https://www.matichon.co.th/economy/news_4173520
นักวิชาการมองจีดีพีไทยมีโอกาสโตแตะ 4% ไม่แน่ใจวิ่งถึง 5% ไหวหรือไม่
นาย
สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยว่า การผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตให้ได้ถึง 5% ตามที่นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายไว้นั้น โดยเบื้องต้นประเมินว่าปี 2567 จีดีพีไทยมีโอกาสโตได้ถึง 4% แบบน่าจะทำได้ แต่การจะไปถึง 5% ยังไม่แน่ใจนักว่าจะได้ตามนั้น เพราะปี 2567 การจะไปถึง 4% ยังต้องอาศัยการทำแบบดีๆ ในเรื่องของมาตรการกระตุ้นต่างๆ ด้วย โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงและอยากฝากไว้คือ การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะต้องไม่เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง เพราะขณะนี้มีประเด็นงบประมาณที่ปกติขาดดุล 3% หากรัฐบาลทำตามมาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน จะขาดดุลเพิ่มเป็น 4% หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นอีก ทำให้การกระตุ้นก็เป็นเรื่องดี แต่ต้องระวังไม่ให้เกิดการบานปลายจนเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น
นาย
สมชาย กล่าวว่า โอกาสการดันจีดีพีไทยไปให้ถึง 5% หากเศรษฐกิจถูกเร่งมากๆ ก็มีโอกาสเติบโตได้ถึง 5% ตามเป้าหมายที่ต้องการ เหมือนภาพการบริหารประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายรถคันแรกออกมา ทำให้จีดีพีไทยโตถึง 7% ได้ แต่สุดท้ายก็ปรับลดลงมา ไม่ได้เป็นการเติบโตในระยะยาวได้ดีเท่าที่ควร
นาย
สมชาย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้จีดีพีไทยไปให้ถึง 5% ได้แก่ 1.การเร่งงบประมาณประจำปี 2567 ให้ออกมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 เพราะจะเป็นตัวช่วยให้เกิดการใช้จ่ายออกมา มีการเตรียมการไม่ให้กระจุกตัวในไตรมาส 3-4 มากเกินไป 2.การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน จะใช้งบประมาณอยู่ที่ 5.6 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้จะหมุนในระบบเศรษฐกิจ 4-5 รอบต่อได้ อาทิ ผู้ได้เงิน 10,000 บาทใช้เงินส่วนหนึ่งไปซื้ออาหาร ร้านอาหารก็จะนำรายได้ไปซื้อวัตถุดิบต่อ เกษตรกรก็นำเงินจากการขายสินค้าเกษตรไปใช้ในครอบครัวต่อ โดยจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 2 ล้านล้านบาท เพิ่มจีดีพีขึ้นประมาณ 0.5-0.6% ตอบโจทย์การพยายามผลักดันจีดีพีของรัฐบาล
นาย
สมชาย กล่าวว่า 3.การสนับสนุนการท่องเที่ยวทั้งไทยเที่ยวไทย และต่างชาติเที่ยวไทย โดยประเมินว่าปี 2567 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ดีปีนี้กว่า การใช้ฟรีวีซ่ายกเว้นขอวีซ่าเที่ยวไทย จะดึงให้จีนเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น แม้ช่วงที่ผ่านมาจีนจะขยายตัวได้ช้า แต่เชื่อว่าหากมีมาตรการกระตุ้นหรือจัดอีเวนต์ที่จูงใจจริงๆ จะดึงจีนกลับมาเที่ยวไทยได้เร็วกว่าเดิม และกระตุ้นตลาดอื่นที่กำลังเติบโตได้ดีด้วย อาทิ ตะวันออกกลาง ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการส่งเสริมการเดินทางเที่ยวในประเทศ ผ่านการจัดแคมเปญต่างๆ ซึ่งส่วนนี้จะดันให้ท่องเที่ยวไทยกลับมาเป็นปกติเหมือนปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ระบาดได้ โดยปี 2567 หากสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 40 ล้านคนได้ พักนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้นได้ จะยิ่งฟื้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้ดีมากขึ้น 4.การส่งออกจะต้องเร่งเปิดตลาดลูกค้าใหม่และเจาะตลาดลูกค้าเดิมให้ลึกมากกว่าเดิม
JJNY : 5in1 ตามคาด! เลือกตั้งซ่อม│ยื่นจม.ทวงถาม8นโยบาย│ไม่แน่ใจวิ่งถึง5%ไหว│วอนยูเอ็นเร่งกดดันรบ.ทหาร│UN ชี้ อัฟกานิสถาน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4173686
เลือกตั้งซ่อมเขต 3 ระยอง “โย พงศธร” ก้าวไกล คะแนนนำ หมอบัญญัติ
เมื่อเวลา 18.00น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังปิดหีบเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง ดำเนินการนับบัตรเลือกตั้ง ก่อนเริ่มนับคะแนน โดยหลังการนับคะแนนผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ปรากฎว่าคะแนนโดยรวมทั้งหมด 207 หน่วย เบื้องต้นปรากฎว่า นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร จากพรรคก้าวไกลมีคะแนนนำ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ เกือบทุกหน่วยเลือกตั้ง โดยนับคะแนนไปแล้วกว่า 50% ขณะที่หน่วยเลือกตั้งที่ยังอยู่ระหว่างนับคะแนน พบว่า นายพงศธรมีคะแนนนำเกือบทั้งหมด ทั้งนี้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลลงพื้นที่เตรียมแถลงในเวลา 19.30 น. จุดแถลงข่าว ร้านกาแฟเพิ่มช็อต ถ.สุขุมวิท ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง จ.ระยอง
นางสาวกานต์จรัส เอียดทองใส นายอำเภอแกลง ระยอง ประธาน กกต.เขต3 จ.ระยอง กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยเลือกตั้ง 207 หน่วย นับคะแนนแล้วไปแล้วกว่าครึ่ง ซึ่งผลคะแนนในขณะนี้ นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ เบอร์1 พรรคก้าวไกล ยังมีคะแนนนำ นายแพทย์บัญญัติ เจตนจันทร์ เบอร์2 ส่วนการเลือกตั้งในวันนี้ยังไม่ว่ามีปัญหา
ด้าน นายพงศธร กล่าวว่า ขณะนี้คะแนนที่นับไปแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ตนมีคะแนนนำคู่แข่ง ต้องขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่เลือกตน ซึ่งตนพร้อมทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนเขต 3 ต่อไป
(คลิปอยู่ในข่าวครับ)
เครือข่ายสื่อมวลชน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ทวงถาม 8 นโยบายสังคม-สุขภาพ
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7859197
เครือข่ายสื่อมวลชน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ทวงถาม 8 นโยบายสังคม-สุขภาพ ที่เคยจัดเวทีพรรคร่วมรัฐบาลก่อนเลือกตั้ง แต่ยังไม่มีความชัดเจน
เมื่อวันที่ 10 ก.ย.66 เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุและสื่อออนไลน์ ลงนามส่งจดหมายเปิดผนึกผ่านสื่อมวลชนถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ในโอกาสที่รัฐบาลแถลงนโยบายในการบริหารประเทศต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอความคิดเห็นให้รัฐบาลนำไปประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม นโยบายด้านสังคมและผลกระทบทางสุขภาพ
โดยระบุว่าเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืนจัดประชุมเรื่อง “สื่อมวลชนพบพรรคการเมือง : ถามหา นโยบายสร้างเสริมสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 ณ ห้องฟอร์จูน ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน กรุงเทพฯ มีตัวแทนพรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้คือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนา เข้าร่วม นำเสนอนโยบายด้วย
ในวันดังกล่าวนำเสนอ นโยบายด้านสังคมและการสร้างเสริมสุขภาพหลายเรื่อง ที่พรรคร่วมรัฐบาลเห็นตรงกันที่จะผลักดันให้เป็นนโยบายรัฐบาล ในการบริหารประเทศ และจากเอกสารประกอบการแถลงนโยบายรัฐบาลที่เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนทั่วไปนั้น มีนโยบายระยะกลางเรื่องการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นำความปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรีและนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนไทยทุกคนบรรจุอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม หลายประเด็นกลับไม่มีอยู่นโยบายหรือมีนโยบายแต่ไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ทางเครือข่ายฯจึงมีมติร่วมกันยื่นข้อเสนอเพื่อนำไปเพิ่มเติมในการปรับปรุงการจัดทำนโยบายด้านสังคม และผลกระทบทางสุขภาพ 8 ประเด็นคือ
ด้านการศึกษา นอกจากการพัฒนาคุณภาพคนที่จบการศึกษา ให้ความต้องการของเศรษฐกิจแบบใหม่และการปฏิรูปการศึกษาสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต รัฐบาลควรจะเพิ่มเติมในเรื่องโอกาสทางการศึกษาของเด็กในครอบครัวยากจนที่ได้รับผลกระทบจากจากปัญหาเศรษฐกิจให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง รวมทั้งการแก้ปัญหาการถดถอยทางการเรียนรู้ของเด็กไทยจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีเด็กยากจนเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนคนด้วย
ด้านปัญหายาเสพติด นอกจากการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทยโดยยึดหลักเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย จะมีการยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดและร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดนแล้ว รัฐบาลควรเพิ่มมาตรการเชิงป้องกันให้มากขึ้น
ทั้งการรณรงค์ สื่อสาร ให้ความรู้กับประชาชนเพื่อไม่ให้เด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ายาเสพติด นอกจากนั้นควรจะมีนโยบายการที่ชัดเจนในการทำลายยาเสพติดของกลางโดยเร็วเพื่อป้องกันการยักยอกหรือการเล็ดลอดของยาเสพติดนำกลับมาขายใหม่
ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับกัญชา ระบุถึงการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีการพูดถึงการให้ความรู้ รณรงค์ ป้องกันและปราบปรามการนำกัญชาไปใช้เพื่อสันทนาการ และการประกอบอาหาร เครื่องดื่ม ขนม รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชนและสังคมโดยรวม
ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต ขณะนี้คนไทยมีปัญหาความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ รายได้มากกว่ารายจ่ายรวมทั้งผลกระทบจากโควิด 19 ที่ต่อเนื่องมากถึงปัจจุบัน ทำให้คนไทยเกิดปัญหาซึมเศร้าทั้งในผู้ใหญ่ เด็กและเยาวชน หลายตัดสินใจจบชีวิตตัวเองและครอบครัวเพราะไม่มีทางออกของชีวิตปรึกษาใครไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลในการให้ความรู้และสร้างภูมิคุ้มกันกับประชาชน
ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับการบริโภคยาสูบ โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังแพร่หลายในเด็กและเยาวชน นอกจากการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจกับประชาชนแล้ว รัฐบาลควรมีจุดยืนที่มั่นคงว่าว่าบุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทั้งการนำเข้าและการจำหน่าย
รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายจับกุมอย่างจริงจัง มีการทำลายของกลางที่ยึดได้ทันที เพื่อป้องกันปัญหาการวิ่งเต้นจากพ่อค้าแล้วนำกลับมาขายใหม่
ด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์และการหลอกลวงออนไลน์ มีข้อมูลจากศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดเผยพฤติกรรมการเล่นพนันออนไลน์ปี 2566 ในรอบ 12 เดือนพบว่าคนรุ่นใหม่เล่นพนันออนไลน์ 32.3% หรือเกือบ 3 ล้าน คน และปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์
นับตั้งแต่ 17 มีนาคม 2566 ถึงปัจจุบันมีกว่า 3,000 เรื่อง ความเสียหายกว่า 2,700 ล้านบาท เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบทางสังคมกับประชาชน เด็กและเยาวชนอย่างมาก และควรจะเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
ด้านนโยบายผู้สูงอายุ สื่อมวลชนเห็นด้วยที่รัฐบาลจัดสวัสดิการแห่งรัฐให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ของคนทุกกลุ่มซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ แต่ขอให้มีการบรรจุเรื่องการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงเข้าไปอยู่ในแผนงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การสนับสนุนบุคลากร พยาบาล ผู้บริบาลรวมทั้งจิตอาสาไปดูแลผู้สูงอายุ ถึงบ้านโดยร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชนหรือหน่วยงานที่ สปสช.กำหนด
และด้านนโยบายสุขภาพมีการยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ให้มีคุณภาพและทั่วถึงมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ขณะเดียวกันหากรัฐบาลบรรจุเรื่องการ ส่งเสริมและพัฒนาการใช้สมุนไพร การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือก หลากหลายในการดูแลสุขภาพจะส่งผลต่อสุขภาวะอนามัยที่ดีของประชาชนมากขึ้น
ในตอนท้ายของจดหมายเปิดผนึก ทางเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืนระบุว่าหวัง เป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะนำข้อเสนอนี้ร่วมกับข้อเสนออื่นๆ ทั้งจากภาคการเมือง ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และพี่น้องประชาชนไปปรับปรุงเพิ่มเติมนโยบายเพื่อยังประโยชน์สุขแก่ประชาชนโดยส่วนรวมอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนั้น ลงนามรายชื่อและบทบาทหน้าที่แนบท้ายจดหมายด้วย เช่น นายณรงค์ ปานนอก ประธานชมรมคอลัมนิสต์นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย นายศักดา เอียว หรือ เซีย การ์ตูนนิสต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, นายจิระ ห้องสำเริง ผู้ก่อตั้ง smemedia.com ผู้ดำเนินรายการสถานีวิทยุ ZaabNews FM 96.0 MHz, นายถวัลย์ ไชยรัตน์ ผอ.คลื่น FM 96.5 MHz, นางสาวแวววยุลี ลุ่มร้อย บก.ข่าวเศรษฐกิจ ไทยรัฐทีวี, นายจิระพงค์ เต็มเปี่ยม หัวหน้าข่าวหน้า 1 นสพ.แนวหน้า และนายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ ผู้ดำเนินรายการวิทยุ เป็นต้น
นักวิชาการมองจีดีพีไทยมีโอกาสโตแตะ 4% ไม่แน่ใจวิ่งถึง 5% ไหวหรือไม่
https://www.matichon.co.th/economy/news_4173520
นักวิชาการมองจีดีพีไทยมีโอกาสโตแตะ 4% ไม่แน่ใจวิ่งถึง 5% ไหวหรือไม่
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยว่า การผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตให้ได้ถึง 5% ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายไว้นั้น โดยเบื้องต้นประเมินว่าปี 2567 จีดีพีไทยมีโอกาสโตได้ถึง 4% แบบน่าจะทำได้ แต่การจะไปถึง 5% ยังไม่แน่ใจนักว่าจะได้ตามนั้น เพราะปี 2567 การจะไปถึง 4% ยังต้องอาศัยการทำแบบดีๆ ในเรื่องของมาตรการกระตุ้นต่างๆ ด้วย โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงและอยากฝากไว้คือ การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะต้องไม่เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง เพราะขณะนี้มีประเด็นงบประมาณที่ปกติขาดดุล 3% หากรัฐบาลทำตามมาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน จะขาดดุลเพิ่มเป็น 4% หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นอีก ทำให้การกระตุ้นก็เป็นเรื่องดี แต่ต้องระวังไม่ให้เกิดการบานปลายจนเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น
นายสมชาย กล่าวว่า โอกาสการดันจีดีพีไทยไปให้ถึง 5% หากเศรษฐกิจถูกเร่งมากๆ ก็มีโอกาสเติบโตได้ถึง 5% ตามเป้าหมายที่ต้องการ เหมือนภาพการบริหารประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายรถคันแรกออกมา ทำให้จีดีพีไทยโตถึง 7% ได้ แต่สุดท้ายก็ปรับลดลงมา ไม่ได้เป็นการเติบโตในระยะยาวได้ดีเท่าที่ควร
นายสมชาย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้จีดีพีไทยไปให้ถึง 5% ได้แก่ 1.การเร่งงบประมาณประจำปี 2567 ให้ออกมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 เพราะจะเป็นตัวช่วยให้เกิดการใช้จ่ายออกมา มีการเตรียมการไม่ให้กระจุกตัวในไตรมาส 3-4 มากเกินไป 2.การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน จะใช้งบประมาณอยู่ที่ 5.6 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้จะหมุนในระบบเศรษฐกิจ 4-5 รอบต่อได้ อาทิ ผู้ได้เงิน 10,000 บาทใช้เงินส่วนหนึ่งไปซื้ออาหาร ร้านอาหารก็จะนำรายได้ไปซื้อวัตถุดิบต่อ เกษตรกรก็นำเงินจากการขายสินค้าเกษตรไปใช้ในครอบครัวต่อ โดยจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 2 ล้านล้านบาท เพิ่มจีดีพีขึ้นประมาณ 0.5-0.6% ตอบโจทย์การพยายามผลักดันจีดีพีของรัฐบาล
นายสมชาย กล่าวว่า 3.การสนับสนุนการท่องเที่ยวทั้งไทยเที่ยวไทย และต่างชาติเที่ยวไทย โดยประเมินว่าปี 2567 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ดีปีนี้กว่า การใช้ฟรีวีซ่ายกเว้นขอวีซ่าเที่ยวไทย จะดึงให้จีนเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น แม้ช่วงที่ผ่านมาจีนจะขยายตัวได้ช้า แต่เชื่อว่าหากมีมาตรการกระตุ้นหรือจัดอีเวนต์ที่จูงใจจริงๆ จะดึงจีนกลับมาเที่ยวไทยได้เร็วกว่าเดิม และกระตุ้นตลาดอื่นที่กำลังเติบโตได้ดีด้วย อาทิ ตะวันออกกลาง ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการส่งเสริมการเดินทางเที่ยวในประเทศ ผ่านการจัดแคมเปญต่างๆ ซึ่งส่วนนี้จะดันให้ท่องเที่ยวไทยกลับมาเป็นปกติเหมือนปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ระบาดได้ โดยปี 2567 หากสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 40 ล้านคนได้ พักนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้นได้ จะยิ่งฟื้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้ดีมากขึ้น 4.การส่งออกจะต้องเร่งเปิดตลาดลูกค้าใหม่และเจาะตลาดลูกค้าเดิมให้ลึกมากกว่าเดิม