การแต่งเพลงมันไม่ได้สดใหม่เสมอไป สักวันหนึ่งคุณก็จะหนีไม่พ้นที่จะงัดเทคนิคเดิมออกมาใช้

มนุษย์เราอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะเล่นดนตรีเพื่อ ความบันเทิง  กิจกรรมสังคม  พิธีกรรมความเชื่อ... ตั้งแต่แตรเขาสัตว์ กลองหนังสัตว์ กับเสียงแหกปากร้องยันไปจนถึงเครื่องดนตรีหลายสิบชิ้นในวงออเคสตร้าทีเคยเป็นวงที่**เคย**ของคนรชั้นสูงที่แต่งมาแบบจัดเต็ม ที่นักประพันธ์แทบจะหยิบจับและค้นหาเทคนิคทุกอย่างที่เขามี ที่เขาหามาได้ยัดเข้าไปเพลงๆหนึ่งที่มีความยาวเกือบชั่วโมง  บางเพลงแต่งกันเป็นปีๆ  (ขนาดเพลงแบนด์ 4-5 คนยุคใหม่ยังมีเรียบเรียงกันเป็นปีๆ) จนกลับมาสู่ยุคอุตสาหกรรมดนตรีมนุษย์ก็กลับมาเริ่มเสพผลงานที่ความสดใหม่ เข้าถึงง่ายมากกว่าความหรูหรา เนื้อหากระชับ ตรงไปตรงมามากขึ้น แล้วก็สร้างปรับปรุงจนมันวนกลับไปมีความ advance  พออิ่มตัวก็กลับมาทำแบบเรียบง่าย วนๆ กันไป  จนแตกแขนงออกเป็นแนวเพลงต่างๆ มากมาย บางทีกระแสเพลงเก่าก็กลับฮิต
ที่เกริ่นมาไร้สาระยืดยาวนี่ แค่อยากจะบอกว่า ที่ผมจะเล่ามันไม่ได้เกี่ยวกับความยากง่ายของเพลง แนวเพลงไหนดีไม่ดี  ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่รสนิยมของแต่ละคน  มันไม่แปลกที่จะคนชอบและไม่ชอบ  ชอบเหมือนกันหรือไม่เหมือนกัน  ถึงลึกๆ แล้วเพลงมันมันจะเกี่ยวกับ เพศ อายุ ความเชื่อ ศาสนา  สไตล์ ชนชั้น  รสนิยมของคนบางกลุ่ม จนไปถึงระดับประเทศ (บางแนวส่วนมากฟังกันแค่ในประเทศจริงๆนะเออ) มันไม่แปลกที่จะมีคนแอนตี้ อย่างศิลปินบางคนที่ดังๆ  ก็ยังมีคนบางกลุ่มเกลียด จนรวมกลุ่มกันเหยียดไปเลย  ดังนั้นมันจะดีที่เราจะไม่มาแบ่งแยกให้เสียเวลา  แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนวิจารณ์แน่นอน ยิ่งคุณเป็นนักประพันธ์ซะเอง อยู่ที่จะปรับเพลงเข้าหาหรือปรับคนอื่นเข้าหาเพลง หรือจะละเว้นคำวิจารณ์ แล้วทำในแบบที่คุณชอบต่อไป มันก็ไม่ผิด  มันอยู่ที่เป้าหมายของการทำเพลงว่าทำไปทำไม ถ้าเรื่องความบันเทิงส่วนตัวคุณทำอะไรแล้วมันสนุกมันก็ดี แต่ถ้าจะขายในตลาดเพลง  คุณก็ต้องปรับตัวเข้าหาคนฟัง

คือผมอยากจะบอกว่า ความสดใหม่ของดนตรีมันไม่มีจริง  ถึงจริงมันก็สดอยู่ได้ไม่นาน  มันคือการกลั่นกรองมาจากยุคสู่ยุค  จากเพลงสู่เพลง อยู่ที่หยิบจับอะไรมาเป็นแรงบันดาลใจ
คนที่ทำเพลงมานานๆ  จะเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มวนๆ กลับมาที่เดิมเอง  ต่อให้ทำมาหลายแนวเพลง  มันจะวนๆ อยู่  แต่ในการวนของเขา คือการวนที่มีตัวเลือกเยอะ  อยู่ที่จะเรียบเรียงความคิดยังไง  จัดเก็บประสบการณ์ยังไง  อะไรที่มันดีอยู่แล้วหยิบมาใช้ได้ง่าย  ไม่ต้องปรับมาก 
 เปรียบเหมือนคนจะทำหนังเรื่องหนึ่ง  คนที่มีประสบการณ์เยอะก็เหมือนคนที่มีฉากสถานที่กับพร็อบประกอบฉากหลากหลายให้เลือกอยู่แล้ว  ก็คุณจะนำพร็อบไปเรืยงยังไงให้เข้ากับ เนื้อหาฉากนั้น ต่อให้ฉากนั้นถูกถ่ายทำไปแล้ว  ก็ยังอาจมีมุมอื่นๆ ให้เลือก  ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนไปฉากอื่นที่มี  หรือต่อให้ต้องไปหาค้นหาสถานที่อื่น ก็ยังมีพร็อบที่ใช้ได้เอาไปใส่ได้เลย  เปรียนเทียบกับคุณได้ backing track ที่ไม่เคยฟังมาก่อน  แต่แนวนี้ จังหวะนี้คุณเคยเล่นมาก่อน  แปปๆ คุณก็เล่นไปกับมันได้
แต่คนที่มีประสบการณ์ยังไม่มาก  ก็ไม่ได้ต่างอะไรจาก  อยู่มาวันหนึ่งดันต้องสร้างฉากปราสาทยุคโรมัน   แต่มีพร็อบเป็นแล็บทดลองวิทยาศาสต์  คุณต้องสร้างโต๊ะ เก้าอี้ พรม ทุกอย่างใหม่หมด หรืออาจจะไปซื้อ ยืม ขโมย พร็อบ ก็ต้องทำสักทาง  หรือคุณจะลองฝืนเอาหลอดทดลองไปตั้งบนบันลังที่มีพระราชาใช่ชุดกาวน์มันก็ได้นะ  แต่จะโอเคมั้ยมันก็อีกเรื่อง  หนังเรื่องนี้อาจจะดังใครจะไปรู้  หรือคุณไม่มั่นใจ กลัวเจ้งก็เอางบไปคือคนจ้าง  แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำหนังที่มีฉากแล็บทดลองของคุณต่อไปก็ได้

ฉะนั้นการที่บอกว่าไม่ต้องไปสนใจเทคนิคเยอะ ดนตรีมันต้องสดออกมาจากใจ จากสมอง มันไม่จริงเสมอไป  ผมว่ายิ่งรู้เยอะมันยิ่งดี   เทคนิคอะไรอันไหนอาจจะไม่ได้นำมาใช้  แต่ผมว่ายิ่งรู้เยอะยิ่งดีที่สุด และไม่หยุดที่เรียนรู้ แต่ต้องจัดเรียงความรู้ของคุณด้วยนะ  อย่างคุณจะเอาปืนกลปืนสงครามมากองรวมดาบอัศวิน  เวลาจะใช้ คุณต้องมาแยกออกจากกันอีก  ถ้าปืนกลหลุดเข้าไปในฉากสงครามครูเสดอาจจะฮา แต่ก็อาจจะพังเหมือนกัน
อย่างอยากจะเอา เสียงไวโอลีนใส่เข้ามา  ก็ใส่เข้ามาดื้อๆ  ไปกลบเสียงคนร้องอีก  เพลงก็พัง  (เวลาแสดงสด อาจจะพอทนฟังได้ แต่คนร้องอาจเดินไปต่อยกับนักเล่นไวลีนได้เลยนะ 555555)
แต่ถ้าเคยทำมาก่อนก็อาจจะรู้ว่าต้องช่วง pitch ประมาณนี้ ไดนามิกประมาณนี้ ใช้ขั้นคู่ไหนกับเสียงร้อง กับดนตรี
อย่างกีต้าร์สองตัวอาจจะทำหน้าที่ต่างกันเป็น lead กับ rymthm   หรือจะเล่นประสานกัน แต่เดินไลน์ไม่ดี ทับกัน เสียงกัดกัน  เพลงที่แต่งออกมาก็กลายเป็นเพลงทำลายสมองดีๆ นี่เอง  หรือคุณคิดว่ามันมีความเป็น acid ดีก็ตามใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่