
TITLE: "Django Unchained" - หนังคาวบอยสุดเดือด ที่ทำให้ผมลุกขึ้นปรบมือให้!
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีหนังดีที่อยากจะแชร์ให้ฟังกันครับ เป็นหนังที่ดูจบแล้วรู้สึกค้างคาอยู่ในอารมณ์แบบสุดๆ ไปเลยครับ ชื่อเรื่องก็เท่ซะเหลือเกิน "Django Unchained" ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Quentin Tarantino ครับ ผมดูจบเมื่อคืนนี้เองครับ แล้วก็อยากจะรีบมาเล่าให้ฟังทันที เพราะมันเป็นหนังที่ดูแล้วมันส์จริงๆ ครับ
เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคก่อนสงครามกลางเมืองอเมริกาครับ เป็นช่วงเวลาที่การค้าทาสยังเฟื่องฟู แล้ววันหนึ่ง เชลยทาสชื่อ Django ที่ถูกขายให้กับนายหน้าค้าทาสที่โหดเหี้ยม ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก Dr. King Schultz หมอชาวเยอรมันที่ผันตัวมาเป็นนักล่าค่าหัวครับ Dr. Schultz เขาฉลาดแกมโกง แล้วก็มีวิธีการจัดการกับเป้าหมายของเขาอย่างชาญฉลาดมากๆ ครับ
Dr. Schultz เขาต้องการ Django มาช่วยตามหาพี่น้องของตัวเองที่ถูกขายไปในไร่ของ Calvin Candie เจ้าของไร่ฝ้ายสุดชั่วร้าย ที่มีฉายาว่า "Candyland" ครับ Django เองก็มีความแค้นฝังลึกกับพวกทาสที่กดขี่เขามานานครับ การเดินทางของสองคนนี้ก็เลยเต็มไปด้วยความระห่ำ ความโหด และก็อารมณ์ขันแบบร้ายๆ ครับ
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้ คือบทสนทนาครับ Tarantino นี่แกเขียนบทได้สุดยอดจริงๆ ครับ บทพูดแต่ละคำคม แต่ละมุกตลก มันออกมาได้แบบเนียนๆ แล้วก็คมคายมากๆ ครับ บางทีก็ตลกจนขากรรไกรค้าง บางทีก็เสียดสีสังคมได้เจ็บแสบจริงๆ ครับ โดยเฉพาะบทของ Dr. Schultz ที่รับบทโดย Christoph Waltz นี่คือดีงามพระรามแปดมากๆ ครับ การแสดงของเขาคือไร้ที่ติจริงๆ ครับ
Leonardo DiCaprio ในบท Calvin Candie นี่ก็เล่นได้น่ากลัวมากๆ ครับ เป็นตัวร้ายที่แบบว่าเห็นหน้าแล้วรู้สึกขนลุกจริงๆ ครับ ความคลั่ง ความบ้าคลั่ง ของเขา มันออกมาได้แบบสมจริงมากๆ ครับ แต่ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ก็คือ Jamie Foxx ในบท Django ครับ เขาถ่ายทอดความเจ็บปวด ความมุ่งมั่น และความเด็ดเดี่ยวของ Django ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นตอนท้ายๆ นี่คือแบบว่าสุดยอดจริงๆ ครับ
ฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้ก็คือระเบิดภูเขาเผากระท่อมเลยครับ เลือดสาด กระจาย แบบไม่กั๊กเลยครับ แต่ไม่ใช่แค่ความรุนแรงนะครับ มันมีความเท่ มีสไตล์ ของ Tarantino ผสมอยู่ด้วยครับ การยิงปืน การต่อสู้ มันดูแล้วลุ้นระทึกมากๆ ครับ มีกลิ่นอายของหนังคาวบอยคลาสสิก ผสมกับความดิบ ความโหดของยุคสมัยนั้นๆ ครับ
เพลงประกอบในเรื่องนี้ก็ดีงามไม่แพ้กันครับ มันช่วยเสริมบรรยากาศของหนังให้ดูเข้มข้นขึ้นไปอีกครับ บางทีก็เป็นเพลงที่ฟังแล้วฮึกเหิม บางทีก็เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเศร้าตามตัวละครครับ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษสำหรับผม ก็คือมันไม่ได้เป็นแค่หนังคาวบอยธรรมดาๆ ครับ แต่มันมีการสะท้อนภาพความโหดร้ายของการค้าทาสในยุคนั้นออกมาได้อย่างตรงไปตรงมามากๆ ครับ มันทำให้เราได้เห็นถึงความอยุติธรรม ความเจ็บปวดของมนุษย์ และก็ความพยายามที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพครับ
แม้ว่าหนังจะมีความรุนแรง ค่อนข้างเยอะ แต่ผมมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องครับ มันทำให้เราเข้าใจถึงยุคสมัยนั้นได้ดียิ่งขึ้นครับ และมันก็เป็นวิธีการของ Tarantino ที่แกชอบนำเสนอเรื่องราวในมุมที่แตกต่างและกล้าหาญครับ
อีกจุดที่ผมชอบมากๆ คือความสัมพันธ์ระหว่าง Django กับ Dr. Schultz ครับ จากคนแปลกหน้าที่มาเจอกันเพราะผลประโยชน์ ก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ครับ การที่ Dr. Schultz ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วย Django มันแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเก่งกาจของเขาครับ
โดยรวมแล้ว Django Unchained เป็นหนังที่ผมยกให้เป็น must-see เลยครับ สำหรับใครที่ชอบหนังที่มีบทสนทนาคมๆ ฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ การแสดงที่ยอดเยี่ยม และก็เรื่องราวที่สะท้อนสังคมได้อย่างเจ็บแสบ เรื่องนี้ไม่ควรพลาดจริงๆ ครับ ดูจบแล้วรับรองว่าอารมณ์ค้างแน่นอนครับ ผมเองก็ยังคิดถึงฉากต่างๆ ในหนังอยู่เลยครับ
ถ้ามีใครได้ดูแล้ว อยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ก็คอมเมนต์มาได้เลยนะครับ ผมพร้อมที่จะพูดคุยครับ และถ้าใครยังไม่ได้ดู ผมก็อยากจะแนะนำให้ลองหามาดูกันครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวจนจบนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจดูหนังนะครับ แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวหน้านะครับ สวัสดีครับ.
"Django Unchained" - หนังคาวบอยสุดเดือด ที่ทำให้ผมลุกขึ้นปรบมือให้!
TITLE: "Django Unchained" - หนังคาวบอยสุดเดือด ที่ทำให้ผมลุกขึ้นปรบมือให้!
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีหนังดีที่อยากจะแชร์ให้ฟังกันครับ เป็นหนังที่ดูจบแล้วรู้สึกค้างคาอยู่ในอารมณ์แบบสุดๆ ไปเลยครับ ชื่อเรื่องก็เท่ซะเหลือเกิน "Django Unchained" ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Quentin Tarantino ครับ ผมดูจบเมื่อคืนนี้เองครับ แล้วก็อยากจะรีบมาเล่าให้ฟังทันที เพราะมันเป็นหนังที่ดูแล้วมันส์จริงๆ ครับ
เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคก่อนสงครามกลางเมืองอเมริกาครับ เป็นช่วงเวลาที่การค้าทาสยังเฟื่องฟู แล้ววันหนึ่ง เชลยทาสชื่อ Django ที่ถูกขายให้กับนายหน้าค้าทาสที่โหดเหี้ยม ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก Dr. King Schultz หมอชาวเยอรมันที่ผันตัวมาเป็นนักล่าค่าหัวครับ Dr. Schultz เขาฉลาดแกมโกง แล้วก็มีวิธีการจัดการกับเป้าหมายของเขาอย่างชาญฉลาดมากๆ ครับ
Dr. Schultz เขาต้องการ Django มาช่วยตามหาพี่น้องของตัวเองที่ถูกขายไปในไร่ของ Calvin Candie เจ้าของไร่ฝ้ายสุดชั่วร้าย ที่มีฉายาว่า "Candyland" ครับ Django เองก็มีความแค้นฝังลึกกับพวกทาสที่กดขี่เขามานานครับ การเดินทางของสองคนนี้ก็เลยเต็มไปด้วยความระห่ำ ความโหด และก็อารมณ์ขันแบบร้ายๆ ครับ
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้ คือบทสนทนาครับ Tarantino นี่แกเขียนบทได้สุดยอดจริงๆ ครับ บทพูดแต่ละคำคม แต่ละมุกตลก มันออกมาได้แบบเนียนๆ แล้วก็คมคายมากๆ ครับ บางทีก็ตลกจนขากรรไกรค้าง บางทีก็เสียดสีสังคมได้เจ็บแสบจริงๆ ครับ โดยเฉพาะบทของ Dr. Schultz ที่รับบทโดย Christoph Waltz นี่คือดีงามพระรามแปดมากๆ ครับ การแสดงของเขาคือไร้ที่ติจริงๆ ครับ
Leonardo DiCaprio ในบท Calvin Candie นี่ก็เล่นได้น่ากลัวมากๆ ครับ เป็นตัวร้ายที่แบบว่าเห็นหน้าแล้วรู้สึกขนลุกจริงๆ ครับ ความคลั่ง ความบ้าคลั่ง ของเขา มันออกมาได้แบบสมจริงมากๆ ครับ แต่ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ก็คือ Jamie Foxx ในบท Django ครับ เขาถ่ายทอดความเจ็บปวด ความมุ่งมั่น และความเด็ดเดี่ยวของ Django ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นตอนท้ายๆ นี่คือแบบว่าสุดยอดจริงๆ ครับ
ฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้ก็คือระเบิดภูเขาเผากระท่อมเลยครับ เลือดสาด กระจาย แบบไม่กั๊กเลยครับ แต่ไม่ใช่แค่ความรุนแรงนะครับ มันมีความเท่ มีสไตล์ ของ Tarantino ผสมอยู่ด้วยครับ การยิงปืน การต่อสู้ มันดูแล้วลุ้นระทึกมากๆ ครับ มีกลิ่นอายของหนังคาวบอยคลาสสิก ผสมกับความดิบ ความโหดของยุคสมัยนั้นๆ ครับ
เพลงประกอบในเรื่องนี้ก็ดีงามไม่แพ้กันครับ มันช่วยเสริมบรรยากาศของหนังให้ดูเข้มข้นขึ้นไปอีกครับ บางทีก็เป็นเพลงที่ฟังแล้วฮึกเหิม บางทีก็เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเศร้าตามตัวละครครับ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษสำหรับผม ก็คือมันไม่ได้เป็นแค่หนังคาวบอยธรรมดาๆ ครับ แต่มันมีการสะท้อนภาพความโหดร้ายของการค้าทาสในยุคนั้นออกมาได้อย่างตรงไปตรงมามากๆ ครับ มันทำให้เราได้เห็นถึงความอยุติธรรม ความเจ็บปวดของมนุษย์ และก็ความพยายามที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพครับ
แม้ว่าหนังจะมีความรุนแรง ค่อนข้างเยอะ แต่ผมมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องครับ มันทำให้เราเข้าใจถึงยุคสมัยนั้นได้ดียิ่งขึ้นครับ และมันก็เป็นวิธีการของ Tarantino ที่แกชอบนำเสนอเรื่องราวในมุมที่แตกต่างและกล้าหาญครับ
อีกจุดที่ผมชอบมากๆ คือความสัมพันธ์ระหว่าง Django กับ Dr. Schultz ครับ จากคนแปลกหน้าที่มาเจอกันเพราะผลประโยชน์ ก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ครับ การที่ Dr. Schultz ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วย Django มันแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเก่งกาจของเขาครับ
โดยรวมแล้ว Django Unchained เป็นหนังที่ผมยกให้เป็น must-see เลยครับ สำหรับใครที่ชอบหนังที่มีบทสนทนาคมๆ ฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ การแสดงที่ยอดเยี่ยม และก็เรื่องราวที่สะท้อนสังคมได้อย่างเจ็บแสบ เรื่องนี้ไม่ควรพลาดจริงๆ ครับ ดูจบแล้วรับรองว่าอารมณ์ค้างแน่นอนครับ ผมเองก็ยังคิดถึงฉากต่างๆ ในหนังอยู่เลยครับ
ถ้ามีใครได้ดูแล้ว อยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ก็คอมเมนต์มาได้เลยนะครับ ผมพร้อมที่จะพูดคุยครับ และถ้าใครยังไม่ได้ดู ผมก็อยากจะแนะนำให้ลองหามาดูกันครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวจนจบนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจดูหนังนะครับ แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวหน้านะครับ สวัสดีครับ.