จริงหรือไม่ที่พระพุทธเจ้าตรัสคำใด คำนั้นไม่เป็นสอง ปัญญาของพระองค์ตรัสรู้อะไร?
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/8
ส. ถ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระปัญญา ปัญญาของพระองค์ตรัสรู้อะไร ถ้าไม่ศึกษาไม่มีทางที่จะรู้เลยว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำใด คำนั้นไม่เป็นสอง คือไม่มีการที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย เพราะเหตุว่าไม่ใช่ความคิดของคนที่เพียงเดา หรือพิจารณาด้วยเหตุผลว่า ธรรมต้องเป็นอย่างนี้ ถูกต้องเป็นอย่างนี้ ผิดต้องเป็นอย่างนั้น แต่เป็นการประจักษ์แจ้งด้วยพระปัญญา สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมในขณะนี้ได้จึงตรัสว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายคือสภาพธรรมซึ่งเกิด ที่จะไม่ดับไม่มี แต่การที่เราเข้าใจว่าสังขารดับ เหมือนกับว่าร่างกายของเราเกิดมาแล้วก็ค่อยๆ แก่ ค่อยๆ เจ็บ ค่อยๆ ตายไป แต่นั่นไม่ใช่ความหมายของสังขารที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า สิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับ ทันทีเร็วมาก แล้วแต่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม และแต่ละสภาพธรรม ก็มีลักษณะเฉพาะของตนซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ไปจากความจริงอย่างนี้ ยังไม่เข้าใจอะไร และพอใครจะไปบอกจะพาไปนิพพานก็ตื่นเต้นตามไป พาไปไหนก็ไม่ทราบ เพราะเหตุว่านิพพานยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร แล้วปัญญาคืออะไรก็ยังไม่รู้ แม้แต่ปัญญาที่ว่า ปัญญาไม่สามารถที่จะวิชาการอื่นมาวัดได้เลยนอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ รู้ไหม รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏหรือยัง ถ้าไม่รู้ ไม่ใช่วิชชา จะมีความรู้สารพัดอย่างแต่ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ตัวสภาพธรรมที่เป็นวิชชา ที่จะไถ่ถอนอวิชชาหรือความไม่รู้ จากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้ามีพระอรหันต์รูปหนึ่งองค์หนึ่งอยู่ที่นี่ จิตของท่านจะต่างกับผู้ที่เป็นปุถุชน หรือผู้ที่เป็นพระอริยะขั้นต้นๆ คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เวลาที่เห็น เป็นปกติในชีวิตของท่าน แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็น คนที่มีกิเลสก็เห็น เพราะฉะนั้นความต่างกันก็คือว่า หลังจากเห็นแล้ว คนมีกิเลสเป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เมื่อเห็นแล้ว กิเลสไม่มีเลย ไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีอวิชชา ไม่มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นความต่างกันนี้เกิดจากอะไร ต้องเกิดจากปัญญาที่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่า เห็น หลังจากเห็นแล้วโลภ โกรธ แต่ผู้ที่เห็น หลังจากเห็นแล้วปัญญาเกิด ผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วสามารถที่จะมีปัญญา ขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ก่อนที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล ต้องมีการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ใครบอกว่าไปนิพพานก็ไปกันเป็นแถวๆ แต่ว่าผู้นั้นจะต้องมีความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของสภาพธรรมก่อน
ถ. ท่านอาจารย์ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็จะเน้นในเรื่องของความรู้คือตัวปัญญา
ส. ถ้าไม่มีปัญญาและไม่มีทางถึงนิพพาน
ถ. ปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า มีการปฏิบัติธรรม พอจะเเบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะคือลักษณะหนึ่งก็ไปนั่งทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ แล้วก็มีการพิจารณาว่า สังขารนี้ไม่เที่ยง เราไม่ควรยึด ไม่ควรถือ ควรจะปล่อยวางไว้เสีย แล้วก็ปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ในลักษณะของการอบรมสั่งสอนอย่างนี้ กับการที่จะมีปัญญาตามที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ อยากจะทราบว่าลักษณะของความรู้ที่จะเกิดขึ้นอย่างถูกต้องนั้น ควรจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างไหน
ส. ปัญญาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เหมือนกับเห็นในขณะนี้ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา สัตว์ก็เห็นสภาพที่เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โลภะความต้องการยินดีก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าใครทั้งนั้น แมวสุนัข กระต่าย คน เทวดา หรือใครก็ตาม เวลาที่มีความติดข้องความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นชั่วขณะจิต ซึ่งมีความต้องการเกิดขึ้นประกอบด้วยเจตสิกคือโลภเจตสิก หรือสภาพธรรมที่ยึดติด ทำให้ขณะนั้นต่างกับขณะที่โกรธ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ขุ่นใจแล้ว ขณะนั้นก็เป็นลักษณะที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาแต่ละลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ถ้าเห็นสิ่งที่น่าดู ความชอบใจ ความเพลิดเพลิน ความติดข้องเกิด ถ้าเห็นสิ่งซึ่งไม่น่าดู ความขุ่นใจ ความเคืองใจก็เกิด จะเห็นได้ว่าแต่ละขณะ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ปัญญาก็เช่นเดียวกัน ปัญญาก็ไม่ใช่เราที่จะไปทำ แต่ว่าปัญญาคือความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทำไมพุทธศาสนิกชนต้องฟังพระธรรม พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมคือเรื่องของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ให้คนฟังเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามจะไปปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่มีปัญญาหรือไม่มีการฟังพระธรรมไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วจะไปทำอะไร ต้องเข้าใจว่าปัญญาคือขณะที่ กำลังฟังขณะนี้ เข้าใจขึ้นบ้างหรือยังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้ายังไม่เข้าใจปัญญา ก็ยังไม่เกิด แล้วจะทำยังไง ก็ต้องฟังอีก ฟังแล้วก็ต้องคิด แล้วก็ต้องพิจารณาด้วย เพราะเหตุว่าบางครั้งมีการฟังจริง แต่ไม่ได้คิดตามที่ได้ฟังเลย ฟังเท่านั้น ใครถามก็อาจจะมีบ้างที่ตอบไม่ได้เลยว่าฟังเรื่องอะไร แต่ว่าถ้าฟังและพิจารณาและเข้าใจขึ้นนิดหนึ่งว่า วันนี้พูดถึงเรื่องสภาพของจิตใจ พูดถึงเรื่องปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏและทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นสังขารขันธ์ อย่างที่เราเคยพูดว่า ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ไม่มีตัวเราเลย มีแต่สภาพธรรม ซึ่งแยกไปตามความยึดถือ ตามความติดข้อง เพราะฉะนั้นสังขารขันธ์ก็คือความเข้าใจในขณะนี้ จะปรุงแต่งให้มีความเข้าใจขณะต่อไปเพิ่มขึ้นๆ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม หมายความถึง การอบรมเจริญปัญญาซึ่งยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และก็ให้เพิ่มขึ้น ให้มีมากขึ้น และปัญญานั้นไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย รู้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปไหน อยู่ที่นี่มีธรรมกำลังปรากฏ แล้วก็มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏหรือยัง ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็เริ่มฟัง เริ่มพิจารณา แล้วไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็จะมีการระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วพิจารณาจนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้น นี่คือจีรกาลภาวนาซึ่งมีในพระไตรปิฏก การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นเรื่องยาว ต้องเป็นเรื่องนาน ต้องเป็นเรื่องละเอียดเพราะเหตุว่าเป็นปัญญาที่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ตรัสรู้ว่าสภาพธรรมขณะนี้กำลังเกิดดับ ท่านพระอัญญาโกณฑธัญญะซึ่งเป็น พระสาวกรูปแรก ก็ได้รู้ตามความเป็นจริงในขณะที่ได้ฟังพระเทศนาจบลงว่า สภาพธรรมมากขณะนี้เกิดแล้วดับจริงๆ ขณะนั้นจะเป็นหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ถ้าไม่ใช้ปัญญาอย่างนี้ ก็เป็นตัวตนซึ่งไปทำโดยการที่ไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า การตรัสรู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นและให้บุคคลทั้งหลายได้อบรมเจริญปัญญาตามก็คือ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
จริงหรือไม่ที่พระพุทธเจ้าตรัสคำใด คำนั้นไม่เป็นสอง ปัญญาของพระองค์ตรัสรู้อะไร?
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/8
ส. ถ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระปัญญา ปัญญาของพระองค์ตรัสรู้อะไร ถ้าไม่ศึกษาไม่มีทางที่จะรู้เลยว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำใด คำนั้นไม่เป็นสอง คือไม่มีการที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย เพราะเหตุว่าไม่ใช่ความคิดของคนที่เพียงเดา หรือพิจารณาด้วยเหตุผลว่า ธรรมต้องเป็นอย่างนี้ ถูกต้องเป็นอย่างนี้ ผิดต้องเป็นอย่างนั้น แต่เป็นการประจักษ์แจ้งด้วยพระปัญญา สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมในขณะนี้ได้จึงตรัสว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายคือสภาพธรรมซึ่งเกิด ที่จะไม่ดับไม่มี แต่การที่เราเข้าใจว่าสังขารดับ เหมือนกับว่าร่างกายของเราเกิดมาแล้วก็ค่อยๆ แก่ ค่อยๆ เจ็บ ค่อยๆ ตายไป แต่นั่นไม่ใช่ความหมายของสังขารที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า สิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับ ทันทีเร็วมาก แล้วแต่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม และแต่ละสภาพธรรม ก็มีลักษณะเฉพาะของตนซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ไปจากความจริงอย่างนี้ ยังไม่เข้าใจอะไร และพอใครจะไปบอกจะพาไปนิพพานก็ตื่นเต้นตามไป พาไปไหนก็ไม่ทราบ เพราะเหตุว่านิพพานยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร แล้วปัญญาคืออะไรก็ยังไม่รู้ แม้แต่ปัญญาที่ว่า ปัญญาไม่สามารถที่จะวิชาการอื่นมาวัดได้เลยนอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ รู้ไหม รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏหรือยัง ถ้าไม่รู้ ไม่ใช่วิชชา จะมีความรู้สารพัดอย่างแต่ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ตัวสภาพธรรมที่เป็นวิชชา ที่จะไถ่ถอนอวิชชาหรือความไม่รู้ จากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้ามีพระอรหันต์รูปหนึ่งองค์หนึ่งอยู่ที่นี่ จิตของท่านจะต่างกับผู้ที่เป็นปุถุชน หรือผู้ที่เป็นพระอริยะขั้นต้นๆ คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เวลาที่เห็น เป็นปกติในชีวิตของท่าน แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็น คนที่มีกิเลสก็เห็น เพราะฉะนั้นความต่างกันก็คือว่า หลังจากเห็นแล้ว คนมีกิเลสเป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เมื่อเห็นแล้ว กิเลสไม่มีเลย ไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีอวิชชา ไม่มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นความต่างกันนี้เกิดจากอะไร ต้องเกิดจากปัญญาที่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่า เห็น หลังจากเห็นแล้วโลภ โกรธ แต่ผู้ที่เห็น หลังจากเห็นแล้วปัญญาเกิด ผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วสามารถที่จะมีปัญญา ขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ก่อนที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล ต้องมีการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ใครบอกว่าไปนิพพานก็ไปกันเป็นแถวๆ แต่ว่าผู้นั้นจะต้องมีความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของสภาพธรรมก่อน
ถ. ท่านอาจารย์ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็จะเน้นในเรื่องของความรู้คือตัวปัญญา
ส. ถ้าไม่มีปัญญาและไม่มีทางถึงนิพพาน
ถ. ปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า มีการปฏิบัติธรรม พอจะเเบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะคือลักษณะหนึ่งก็ไปนั่งทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ แล้วก็มีการพิจารณาว่า สังขารนี้ไม่เที่ยง เราไม่ควรยึด ไม่ควรถือ ควรจะปล่อยวางไว้เสีย แล้วก็ปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ในลักษณะของการอบรมสั่งสอนอย่างนี้ กับการที่จะมีปัญญาตามที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ อยากจะทราบว่าลักษณะของความรู้ที่จะเกิดขึ้นอย่างถูกต้องนั้น ควรจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างไหน
ส. ปัญญาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เหมือนกับเห็นในขณะนี้ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา สัตว์ก็เห็นสภาพที่เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โลภะความต้องการยินดีก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าใครทั้งนั้น แมวสุนัข กระต่าย คน เทวดา หรือใครก็ตาม เวลาที่มีความติดข้องความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นชั่วขณะจิต ซึ่งมีความต้องการเกิดขึ้นประกอบด้วยเจตสิกคือโลภเจตสิก หรือสภาพธรรมที่ยึดติด ทำให้ขณะนั้นต่างกับขณะที่โกรธ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ขุ่นใจแล้ว ขณะนั้นก็เป็นลักษณะที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาแต่ละลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ถ้าเห็นสิ่งที่น่าดู ความชอบใจ ความเพลิดเพลิน ความติดข้องเกิด ถ้าเห็นสิ่งซึ่งไม่น่าดู ความขุ่นใจ ความเคืองใจก็เกิด จะเห็นได้ว่าแต่ละขณะ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ปัญญาก็เช่นเดียวกัน ปัญญาก็ไม่ใช่เราที่จะไปทำ แต่ว่าปัญญาคือความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทำไมพุทธศาสนิกชนต้องฟังพระธรรม พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมคือเรื่องของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ให้คนฟังเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามจะไปปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่มีปัญญาหรือไม่มีการฟังพระธรรมไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วจะไปทำอะไร ต้องเข้าใจว่าปัญญาคือขณะที่ กำลังฟังขณะนี้ เข้าใจขึ้นบ้างหรือยังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้ายังไม่เข้าใจปัญญา ก็ยังไม่เกิด แล้วจะทำยังไง ก็ต้องฟังอีก ฟังแล้วก็ต้องคิด แล้วก็ต้องพิจารณาด้วย เพราะเหตุว่าบางครั้งมีการฟังจริง แต่ไม่ได้คิดตามที่ได้ฟังเลย ฟังเท่านั้น ใครถามก็อาจจะมีบ้างที่ตอบไม่ได้เลยว่าฟังเรื่องอะไร แต่ว่าถ้าฟังและพิจารณาและเข้าใจขึ้นนิดหนึ่งว่า วันนี้พูดถึงเรื่องสภาพของจิตใจ พูดถึงเรื่องปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏและทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นสังขารขันธ์ อย่างที่เราเคยพูดว่า ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ไม่มีตัวเราเลย มีแต่สภาพธรรม ซึ่งแยกไปตามความยึดถือ ตามความติดข้อง เพราะฉะนั้นสังขารขันธ์ก็คือความเข้าใจในขณะนี้ จะปรุงแต่งให้มีความเข้าใจขณะต่อไปเพิ่มขึ้นๆ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม หมายความถึง การอบรมเจริญปัญญาซึ่งยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และก็ให้เพิ่มขึ้น ให้มีมากขึ้น และปัญญานั้นไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย รู้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปไหน อยู่ที่นี่มีธรรมกำลังปรากฏ แล้วก็มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏหรือยัง ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็เริ่มฟัง เริ่มพิจารณา แล้วไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็จะมีการระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วพิจารณาจนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้น นี่คือจีรกาลภาวนาซึ่งมีในพระไตรปิฏก การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นเรื่องยาว ต้องเป็นเรื่องนาน ต้องเป็นเรื่องละเอียดเพราะเหตุว่าเป็นปัญญาที่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ตรัสรู้ว่าสภาพธรรมขณะนี้กำลังเกิดดับ ท่านพระอัญญาโกณฑธัญญะซึ่งเป็น พระสาวกรูปแรก ก็ได้รู้ตามความเป็นจริงในขณะที่ได้ฟังพระเทศนาจบลงว่า สภาพธรรมมากขณะนี้เกิดแล้วดับจริงๆ ขณะนั้นจะเป็นหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ถ้าไม่ใช้ปัญญาอย่างนี้ ก็เป็นตัวตนซึ่งไปทำโดยการที่ไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า การตรัสรู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นและให้บุคคลทั้งหลายได้อบรมเจริญปัญญาตามก็คือ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้