วิธีละสักกายะทิฏฐิ ทำได้อย่างไร

วิธีละสักกายะทิฏฐิ  ทำได้อย่างไร

การละสักกายะทิฏฐิ ได้ก็ต้องได้บรรลุธรรม อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล 
การบรรลุธรรมนั้น ก็ต้องมีการภาวนาจนเกิดวิปัสสนาญาณ 
แนวทางปฏิบัตินั้น ทำอย่างไร เท่าที่ผมอ่านจาก หลายๆท่าน มีการอธิบายแนวทางปฏิบัติที่คล้ายๆกัน ผมขออนุญาตยกข้อความท่าน เมฆน้อยคอยดาว มาเป็นตัวอย่างด้วยความเคารพนะครับคงไม่ว่ากันครับ
ความเห็นของท่านเมฆน้อยคอยดาวนะครับ
“  วิธีละ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส (สังโยชน์ 3) มีทางเดียว
คือ เจริญสติปัฏฐาน 4 ในขอบเขตของอริยมรรคมีองค์ 8
จนกระทั่งจิต เข้าใจและยอมรับ อย่างแท้จริงว่า
รูป นาม กาย ใจ ที่จิตถือครองอยู่นี้
ล้วนอยู่ภายใต้กฎ ไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น
เมื่อนั้นกระบวนการบรรลุธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ครับ
และที่จริง เราไม่ได้บังคับแบบบังคับให้จงละๆๆ นะครับ
แต่ "เมื่อเกิด โลกุตรปัญญา มันจะปล่อยของมันเอง
ลองศึกษาธรรมเพิ่มตามนี้นะ
https://www.dhamma.com/
เมฆน้อยคอยดาว (27 เมษายน 2566 เวลา 14:44 น.)   “
ลิ้งค์(https://pantip.com/topic/41985756/comment4-3)
 
ผมก็ทำความเข้าใจว่าอย่างนี้นะครับว่าท่านเมฆน้อยคงย่อๆ ผมเลยเอามาขยาย
ให้เจริญสติปัฏฐานสี่ ในขอบเขตอริยมรรคมีองค์ 8  ผมจะถามท่านที่มาอ่านว่า ทำอย่างไร
เช่นการเจริญสติปัฏฐานสี่ เราจะเข้าหมวดอะไร  จะเป็นอานาปานสติ หรือ การดูจิต .....
 
 
“จนกระทั่งจิต เข้าใจและยอมรับ อย่างแท้จริงว่า
รูป นาม กาย ใจ ที่จิตถือครองอยู่นี้
ล้วนอยู่ภายใต้กฎ ไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น”
จิตยอมรับ นั้นหมายถึงว่าดูอย่างไรให้จิตยอมรับ ตามประสพการณ์ผมนะครับ ผมเคยฝึกดูจิตตอนช่วงปี51-52 จนถือว่าดูเป็นผมก็ดูจิตตามที่ท่านสอนนั้นแหละครับ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ เห็นครับ เห็นว่าจิตคิดเอง คิดไม่หยุดไม่หย่อน 
ส่วนที่ว่า จนจิตเข้าใจยอมรับ อย่างแท้จริง อันที่จริงจิตผมก็ยอมรับ แต่ก็ไม่บรรลุธรรม  
ตามที่ท่านเมฆน้อย กล่าวว่า มันจะเกิดปล่อยวางของมันเอง 
ตรงจุดนี้ ใครพอบอกได้ว่า จะเกิดตอนที่นั่งภาวนา ทำสติปัฏฐานที่ เช่นนั่งดูจิตอย่างนั้นหรือเปล่า
ถ้าเป็นอานาปานสติ ละจะทำอย่างไร ตามประสพการณ์ผมก็ฝึกพอเป็นแหละ มันยากนะที่จะให้จิตมีสมาธิ และมีสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่อง
มีเทคนิคอย่างไรในการดูจิต ถ้าเรานั่งภาวนาด้วยการทำอานาปานสติ
 
ที่ท่านเมฆน้อย กล่าวว่า ”เมื่อเกิด โลกุตรปัญญา มันจะปล่อยของมันเอง” อันนี้ ก็คงเกิดขณะเมื่อเรานั่งภาวนา ด้วยการดู กาย ดูใจ(ขันธ์ห้า) นี้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้ ทำอย่างไร ดูเป็นอันๆ หรือเปล่า เช่น ดู อนัตตา ก็ดูอนัตตา เจริญอนัตตสัญญาอย่างนั้นหรือเปล่า  แล้วมีความสัมพันธ์กับวิปัสสนาญาณอย่างไร
 
เท่าที่ผมอ่านวิธีการปฏิบัติธรรม เพื่อ ไปสู่การบรรลุธรรม ส่วนใหญ่ก็อธิบายในทำนองนี้แหละครับ
เริ่มต้นด้วย การดู กาย ดูใจ ดูความ เป็นอนิจจังบ้าง ดูความาเป็นอนัตตา บ้าง เขาบอกว่า ดูไปเรื่อยๆจนใจจะยอมรับ เมื่อใจยอมรับ ก็จะเกิดการเบื่อหน่าย จิตก็จะเข้าสู่พระนิพพาน ประมาณนั้น  ส่วนท่านเมฆน้อย กล่าวว่า ดูจนใจยอมรับ ก็จะเกิด โลกุตรปัญญา มันก็จะปล่อยของมันเอง
 

ผมมีความคิดเห็น แนวทางปฏิบัติ ที่แตกต่างไปจากท่านเหล่านี้ในบางส่วน  (นี้เพียงส่วนตัวนะครับ อาจจะผิดก็ได้ )
ก็เริ่มเหมือนท่านนั้นแหละ ก็ต้องทำสติปัฏฐานสี่ให้เป็น อย่างที่ผมเชื่อว่าถูกต้อง ก็ต้องฝึกทั้ง อานาปานสติ และ การดูจิต เพราะเป็นประโยชน์ต่อกัน 
การทำอานาปานสติ ต้องทำจิตให้มีสมาธิ จากสติที่ต่อเนื่อง และมีสัมปชัญญะที่ต่อเนื่อง 
เพราะสองสิ่งนี้มาจากตัวผู้รู้ต่างกัน
ต้องภาวนาให้ จิต มีสมาธิ ภาวนาให้สัมปชัญญะ เกิดอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเกิดสองสิ่งนี้ ในระดับมากพอ ก็จะน้อมจิต เช่นการเจริญอนัตตาสัญญา ก็น้อมจิต ให้ตัวญาณรับรู้ว่า ใจและกายนี้ ไม่ใช่ตน ไม่มีตนในขันธ์ห้า ไม่มีขันธ์ห้าในตน จนเกิดความรู้ระดับญาณ
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์เทศนา ก็จะกล่าวทวนซ่ำๆ เมื่อสาวกได้ฟังอย่างมีสติและสัมปชัญญะ ที่มากพอ ก็จะเกิดวิปัสสนาญาณ ป้อนข้อมูลจาก คำเทศนา สู่ตัวญาณ ณ เวลานั้นเลย
ในสมัยปัจจุบันการบรรลุธรรมเป็นของยาก หรือว่า เราเข้าใจหลักการวิธีการไม่ถูกอย่างนั้นหรือเปล่า หรือเป็นมาจาก การบำเพ็ญบารมี ของเก่าเราไม่ถึง
 
ที่ผมกล่าวว่า ต้องฝึกดูจิตเป็นด้วย ก็เพราะ การเกิดสติ ขณะจิต เคลื่อนไป เช่นจิตโกรธ แล้วมีสติ ระลึกได้ว่า นี้จิตโกรธ สติที่มาจากการดูจิต ก็จะตามมาด้วย สัมปชัญญะเสมอ แต่มีข้อเสียที่ว่า ถ้าเราดูจิตอย่างเดียว มันจะเป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน ต้องเอาอานาปานสติ เป็นตัวหลัก เมื่อ จิตพลัดออกจากลมหายใจ ไปเป็นใจลอย อันนี้ คนดูจิตเป็นก็จะมีสติ รู้สึกตัว ดึงกลับมา
สติปัฏฐานสี่ เริ่มที่ กายานุปัสนาสติปัฏฐาณ ก่อนไปสู่ เวทนา จิต และ ธรรม ก็ มีเหตุผมของมันอยู่
เมื่อ ฐานแรกแน่นพอ ก็ไปสู่ฐานต่อไป ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน ก็คือการน้อมจิตดีๆนี้เอง
 
การตั้งกระทู้ มีข้อดีหลายอย่าง ทำให้รู้ในสิ่งที่เราเข้าใจบางสิ่งดีขึ้น ก็ขอบคุณทุกท่านครับ ที่มาตอบ บางคนก็มาโกรธผมก็ขออภัยครับ
 
ยกตัวอย่างที่ผมเข้าใจมากขึ้น เช่น คำว่า นิพพาน คืออะไร
พออ่านไปอ่านมา ทำให้รู้ว่า นิพพาน มีความหมายหลายอย่าง ขึ้นอยู่ว่าเรากำลังกล่าวถึงอะไร
เช่น ประโยคที่ ว่า จิตแล่นไปในนิพพาน  นิพพานในที่นี้ก็คือ สภาวะปราศจาก กิเลส
บางท่านก็ยกพระสูตรว่า นิพพาน คือ วิราคะ นิพพานในที่นี้ก็คือ สภาวะปราศจากราคะ 
นิพพานที่ไม่ใช่สภาวะก็มี เช่น อายตนะนิพพาน  นิพพานในที่นี้ก็คือธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนามธาตุ
และเป็นอสังขตะธรรมด้วย
สิ่งที่มีอายตนะ ก็ต้องเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เช่น ถ้าบอกว่า อันนี้คือประตูบ้าน แสดงว่า ในโลกนี้ก็ต้องมีบ้าน
เหมือนกัน อายตนะนิพพาน  นิพพานธาตุก็ต้องมีเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะมีอายตนะได้อย่างไร
นอกเรื่องไปครับ

ขอบคุณที่มาตอบและมาอ่านครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่