หนังสือ AFTER ‘หลังความตาย’ นำเสนอเรื่องราวของผู้ผ่านประสบการณ์ตายแล้วฟื้น หรือ NDE (NDE-Near Death Experience) ผ่านมุมมองของ ดร.บรูซ เกรย์สัน จิตแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยสัมภาษณ์ผู้คนนับพันจากทุกสาขา เพื่อให้พวกเขาเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังความตาย
หลังหัวใจสิ้นสุดการเต้นครั้งสุดท้ายของมัน เกิดอะไรขึ้นกับจิตสำนึกของเรา เมื่อสมองไม่มีกิจกรรมทางไฟฟ้าอีกต่อไป เกิดอะไรขึ้นกับการรับรู้ของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเราก็แค่ดับไป เหมือนใครปิดสวิตช์ไฟ อย่างนั้นหรือ...
งานวิจัยครึ่งศตวรรษของจิตแพทย์ ดร.บรูซ เกรย์สัน ติดตามพูดคุยกับผู้ผ่านประสบการณ์ตายแล้วฟื้น (NDE-Near Death Experience) จำนวนหลายพันคน พบว่าคำตอบนั้นแตกต่างและไม่ตายตัว แต่ที่กล่าวได้เกือบจะแน่นอนอย่างหนึ่งคือ การรับรู้ของเราไม่ได้ดับวูบไปเหมือนใครปิดสวิตช์ จิตสำนึกของเราดำเนินต่อไป
แต่เราไปไหน และเราไปในฐานะอะไร ไม่มีใครสักคนนิยามได้ชัดๆ ว่า ‘ตัวตน’ ของพวกเขาคืออะไรกันแน่เมื่อพ้นร่างกายไป ทว่าความน่าสนใจก็ไม่ได้อยู่ที่นิยาม แต่อยู่ที่ ‘สำนึกรู้’ ยามพ้นร่างกายต่างหาก เพราะมันไม่เพียงดำเนินต่อ แต่พวกเขายืนยันว่าสามารถ ‘รับรู้’ ได้ ‘กระจ่าง’ อย่างที่พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เช่นนั้นในยามมีชีวิต
หนังสือ AFTER ‘หลังความตาย’ นำเสนอเรื่องราวของผู้เคยสัมผัสความตาย หรือ NDE ผ่านมุมมองของ ดร. เกรย์สัน จิตแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยสัมภาษณ์ผู้คนนับพันจากทุกสาขาอาชีพ หลายช่วงอายุ เชื้อชาติ และศาสนา จนถึงผู้ไม่นับถือศาสนาใดเลย แต่ละคนผ่านความตายด้วยหลายสาเหตุ ทั้งเจ็บป่วย อุบัติเหตุ เสพสารเสพติด พยายามฆ่าตัวตาย ฯลฯ และนี่คือบทสรุปบางตอนจากปากคำของพวกเขา

เวลาไม่มีจริง
ไอน์สไตน์ค้นพบว่าเวลาไม่ได้มีอยู่จริงอย่างที่เราเข้าใจ เวลาหาได้ดำรงอยู่อย่างเป็นสากลและเอกเทศ มันเป็นส่วนหนึ่งของปริภูมิ หรือที่เรียกว่ากาลอวกาศ (spacetime) ไอน์สไตน์เข้าถึงความจริงนี้ด้วยทฤษฎีคณิตศาสตร์ และปัญญาญาณของนักฟิสิกส์ ทว่าผู้ประสบ NDE ในหนังสือเล่มนี้เป็นสามัญชนคนธรรมดา ทั้งคนขับรถบรรทุก ตำรวจ ทหาร นักศึกษา ฯลฯ แต่พวกเขาสามารถยืนยันความจริงนี้ด้วยประสบการณ์ตนเอง
“ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงนะครับ แต่ผมรู้ครับว่าชั่วนิรันดร์เป็นอย่างไร คือมันไม่มีนาทีนี้ สู่นาทีต่อไป ทุกสิ่งล้วนอยู่ตรงนั้น และคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของมันอย่างสมบูรณ์”
ทบทวน ‘ทั้งชีวิต’ อีกครั้ง ผ่านทั้งสายตาตนเองและผู้อื่น
เกินครึ่งของผู้ประสบ NDE เล่าถึงสิ่งที่คุณหมอเกรย์สันเรียกว่า life review บ้างบอกว่าเห็นชีวิตตนที่ผ่านมาเป็นภาพฉายเหมือนโปรเจกเตอร์ บ้างบอกว่าได้กลับไป ‘ใช้’ ชีวิตทั้งหมดอีกครั้ง และที่ไม่ธรรมดาคือหลายคนยืนยันว่าพวกเขาได้ใช้ชีวิตเป็นคนอื่นด้วย เช่น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยถูกชายแปลกหน้าตบหน้าอย่างไม่ยุติธรรม เด็กหนุ่มเกิดนอตหลุด ต่อยชายคนนั้นร่วงลงกับพื้น เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นประสบ NDE และได้ใช้ชีวิตตัวเองอีกครั้ง เขาได้กลายเป็นชายแปลกหน้าคนนั้น กำลังนั่งอยู่ที่บาร์ มึนเมาและเสียศูนย์ เพราะภรรยาเพิ่งเสียชีวิต
“คุณต้องเชื่อนะครับว่าผมอยู่ในร่างของเขา อยู่ในสายตาที่เขามองโลก ผมเห็นพื้นถนนที่เขาเดิน จนกระทั่งออกมาเจอรถของผม และผมก็ได้สัมผัสความเจ็บ ความอายของเขาที่ถูกต่อยร่วงลงไปอย่างนั้น ผมสัมผัสได้ว่าฟันบนข้างหนึ่งหลุด ผมต่อยเขาทั้งหมด 32 ครั้ง ผมได้เห็นหน้าตัวเองตอนกำลังโกรธสุดขีดด้วย ...และทั้งหมดนี้ไม่มีดีหรือร้ายนะครับ มันแค่ทำให้ผมเข้าใจ”
ที่น่าสนใจคือทุกคนย้ำประโยคคล้ายกันว่า ไม่มีนาทีไหนขาดหายไปเลย แม้จะเป็นช่วงวัยทารกที่แน่นอนว่าพวกเขาจำไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ยังได้สัมผัสทุกช่วงเวลาอีกครั้งอย่างหมดจด ไม่ว่าพวกเขาจะหมดสติไปแค่ห้านาทีหรือหนึ่งชั่วโมงก็ไม่มีความหมาย เพราะพวกเขายืนยันว่าใน NDE ไม่มี sense of time
พระเจ้า ภูตผี สวรรค์ นรก สรุปว่าศาสนาไหนถูกกันแน่
สรุปได้ว่าไม่มีข้อสรุป นี่คือข้อดีของนักวิจัยอย่างคุณหมอเกรย์สัน เขาเพียงรายงานและวิเคราะห์แง่ข้อเท็จจริง สถิติเกินครึ่งรายงานว่า นอกเหนือจากได้พบคนในครอบครัวหรือคนรู้จักที่ตายไปแล้ว พวกเขายังได้พบ ‘entity’ บางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และก็มีคนที่เรียก entity นั้นว่าพระเจ้าเต็มปากเต็มคำ ส่วนคนที่บอกว่าไม่ใช่พระเจ้าแน่ๆ ก็เพราะ “คำว่าพระเจ้านั้นเล็กน้อยเกินไป”
แต่สิ่งที่พวกเขาบรรยายมีลักษณะคล้ายกันคืออยู่ในรูปของแสง สว่างจ้า แต่ไม่แสบตา “ไม่ใช่ว่ามีชีวิตอยู่ในแสงนะครับ แต่เหมือนว่าแสงนั้นแหละคือชีวิต” แล้วก็มีบ้างบางคนที่เห็นเป็นรูปทรงชัดเจน ตั้งแต่เทพฮินดู เจ้าแม่กวนอิม พระเยซู ไปจนถึงแกนดาล์ฟจากภาพยนตร์ลอร์ดออฟเดอะริง ดร.เกรย์สันตั้งข้อสังเกตจากสถิติว่า ผู้ประสบ NDE ที่เคยเป็นคนเคร่งศาสนาใดศาสนาหนึ่ง มักเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ให้ความสนใจทุกศาสนาแบบกลางๆ ไม่ได้ปฏิบัติตนเข้มงวดอย่างยึดมั่นเหมือนเดิม
ไม่อาจอธิบายด้วยภาษาใดบนโลก (เหมือนให้วาดกลิ่นด้วยสีชอล์ก)
ผู้ที่เคยผ่าน NDE ล้วนประสบปัญหาเวลาจะบรรยายประสบการณ์นั้น เพราะพวกเขายืนยันเหมือนกันว่าไม่อาจอธิบายได้เลย ทำได้เพียงใช้คำศัพท์ที่ใกล้เคียงที่สุด เช่น ‘รู้สึกเป็นที่รัก’ และมักตามด้วย ‘อย่างไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข’
“ถ้าให้ผมพยายามอธิบายนะ ลองนึกถึงความรักของแม่สักคนยามมองลูกน้อยสงบในอ้อมแขน คุณรู้สึกคล้ายๆ แบบนั้นน่ะครับ แต่คูณเข้าไปอีกล้านเท่า”
นอกจากนั้นก็มีคำว่า ‘สงบ’ ‘เป็นสุข’ ‘ปีติ’ ‘งดงาม’ ‘สว่าง’ บ้างก็บอกว่าเป็นความปีติที่ไม่ยินดียินร้าย เหมือนแพลงก์ตอนในทะเลที่ไหลเรื่อยไปในมหาสมุทร เป็นความรู้สึกว่าทุกอย่างถูกที่ถูกทาง สมเหตุสมผล
เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ประสบ NDE มีบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ และเกือบครึ่งเปลี่ยนอาชีพการงานของตน ตำรวจไม่อาจยิงปืนได้อีก สมาชิกแก๊งมาเฟียคนหนึ่งบอกลาแก๊งถาวร เพียรหางานทำอย่างขัดสนแต่เป็นสุข ผู้เคยฆ่าตัวตายไม่คิดอยากตายอีกเลย “ฉันไม่กลัวตายอีกแล้ว ก็เลยไม่กลัวที่จะใช้ชีวิตด้วย” ทั้งหมดนี้ ดร.เกรย์สันติดตามสำรวจชีวิตพวกเขาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และในฐานะจิตแพทย์ เขาไม่เคยพบเห็นอะไรที่มีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพคนในเชิงบวกได้ข้ามคืนเช่นนี้
“ฉันกลับมาติดอยู่ในสมองนี้อีกแล้วเหรอ”
เมื่อฟื้นขึ้นและพบว่าตนเองกลับมาอยู่ในร่างเดิม พวกเขาหลายคนผิดหวังเป็นล้นพ้น โดยเล่าถึงการรับรู้ใน NDE ซึ่งพ้นจากสมองว่ามันช่างแจ่มชัดและไพศาล ผู้ผ่านประสบการณ์คนหนึ่งเปรียบให้ฟังว่า เหมือนมนุษย์อาศัยอยู่ในโกดังมืดสนิทตลอดชีวิต เรามีไฟฉายเพียงอันเดียวคือสมอง คอยส่องดูและพิจารณาเฉพาะจุด โฟกัสได้ทีละจุด เรารู้สึกสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ไม่เชื่อมโยงกัน ทว่าใน NDE นั้นมันเหมือนมีคนมาเปิดสวิตช์ไฟโกดัง พลันทุกอย่างก็ท่วมท้นเข้ามาสู่การรับรู้ สีสัน มิติ ความลึก ความกว้าง ทั้งหมดที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ว่ามี ไม่อาจอธิบายได้ เหมือนที่ผ่านมาเรามีชีวิตอยู่ในโลกการ์ตูนสองมิติ และเราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้เห็นภาพสามมิติ แต่ก็ไม่อาจอธิบายให้คนในโลกสองมิติเข้าใจได้ว่าประสบการณ์มันเป็นอย่างไร
“ฉันเห็นสีสันที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นแสงที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้ เป็นแสงอีกประเภทหนึ่ง โอ ฉันได้เรียนรู้มากเหลือเกิน ความเข้าใจมากมายไหลผ่านฉันเร็วมากจนแทบจะเผาฉันได้เลย เมื่อฉันฟื้นขึ้นฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน จนพอฉันค่อยๆ รับรู้ ฉันก็ถึงกับตัดพ้อออกมาดังๆ ว่าทำไมฉันติดอยู่ในสมองนี้อีกแล้ว ฉันกลับมาเป็นคนอีกแล้ว แม่กับน้องคงคิดว่าฉันบ้าไปแล้วน่ะ” พวกเขาบอกว่าเมื่อกลับมาอยู่ในร่างกายนี้ และต้องคิดด้วยสมองนี้ พวกเขาไม่สามารถเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เหมือนที่เคย แต่ประสบการณ์ความกระจ่างอันไพศาลนั้น พวกเขาจะไม่มีวันลืม
ทั้งหมดนี้ก็แค่ฝันหรือเปล่า
เป็นประเด็นที่คุณหมอเกรย์สันชี้แจงไว้ตั้งแต่บทต้นๆ เพราะรู้ว่าต้องมีคนข้องใจเมื่อได้อ่านเรื่องราวพิลึกพิลั่นเหนือจริงเหล่านี้ คุณหมอรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้เล่าความฝันให้ฟัง ดร.เกรย์สันใช้มาตรวัดสากลที่จิตแพทย์ใช้กันทั่วไปในการแยกแยะว่าผู้ป่วยเล่าความจริงหรือความฝัน ซึ่งประกอบด้วยชุดคำถามที่ทดสอบการจำ ทั้งโครงเรื่อง รายละเอียดของเนื้อเรื่อง และความแจ่มชัดของเหตุการณ์ โดยให้เล่าใหม่อีกครั้งหลังผ่านเวลาไปแล้วหลายระยะ เหตุการณ์จะยังแม่นตรงกับครั้งแรกไหม ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเป็นความฝัน เราจะจำฝันได้แม่นที่สุดตอนเพิ่งตื่น และค่อยๆ เลือนรางไปเรื่อยๆ รายละเอียดหล่นหาย หรือจำได้ไม่เหมือนเดิม แม้จะอยากจำได้แค่ไหนก็ตาม นี่เป็นกลไกตามธรรมชาติ สมองส่วนที่ใช้จดจำความฝันเป็นคนละส่วนกับที่ใช้จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ถ้าเล่าความจริง รายละเอียดต่างๆ มักยังคงอยู่ และระดับความแจ่มชัดจะสูงต่างจากความฝันมาก และแน่นอนว่าเรื่องเล่าของบุคคลในเล่มนี้ คุณหมอเกรย์สันคัดเลือกเฉพาะผู้ที่ผ่านมาตรวัดนี้แล้ว และไม่ว่าจะให้เล่าซ้ำกี่ครั้งหลังผ่านไปกี่ปี พวกเขายังคงเล่าได้เหมือนเดิม แจ่มชัดเท่าเดิม ไม่มีลดลงหรือไม่มีการแต่งเรื่องเพิ่มขึ้น ประสบการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงไหมไม่มีใครรู้ แต่มันเกิดขึ้นจริงแน่นอนสำหรับพวกเขา เพราะเท่าที่วิทยาศาสตร์ยืนยันได้คือ สมองพวกเขา process มันในฐานะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
แต่มันจริงกว่าความจริงเสียอีก
ที่ชวนอึ้งไปอีกขั้นคือหลายคนยืนยันกับคุณหมอเกรย์สันว่า NDE ของพวกเขาไม่ใช่แค่จริง แต่มัน “จริงกว่าความจริงในโลกนี้เสียอีก” ผู้ประสบ NDE จำนวนไม่น้อยประสบปัญหาเมื่อฟื้นขึ้นและไม่อาจเชื่อว่านี่คือความจริง หลายคนปักใจว่าโลกจริงใบนี้คือฝัน และอะไรก็ตามที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาต่างหากคือความจริง “ถ้าให้เทียบนะครับ ชีวิตก่อนหน้านี้ของผมเป็นความฝันตลอดมา”
แต่เราทั้งหมดก็ยังอยู่กันที่นี่
คำถามคือการรู้เรื่องราวอัศจรรย์เหล่านี้จะยังประโยชน์อันใดแก่เรา ปุถุชนซึ่งไม่เคยสัมผัส NDE ขอให้คุณลองอ่านเพื่อจะพบคำตอบ ซึ่งยืนยันว่าจะพบแน่นอน เพราะคุณหมอเกรย์สันระบุว่า ตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้ให้แก่เราคนธรรมดาๆ เช่นเดียวกับที่คุณหมอก็ไม่เคยประสบ NDE ด้วยตัวเอง แต่ความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในตัวคนเหล่านี้ที่เคยสัมผัส ได้สร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่งใหญ่ให้กับคุณหมอเกรย์สัน
ความเข้าใจอันใดที่พวกเขาเคยได้รับรู้ โลกใบไหนที่เคยก้าวผ่าน ตัวตนใดที่เคยเป็น หรือที่เราเองก็จะกลายไปเป็น–หลังความตายนั่น– ไม่จำเป็นต้องนิยาม หากเพียงต้องลอง ‘เปิดใจ’
Thank you source:
https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/102431
(ยังคง) ไม่มีใครรู้ว่า ‘หลังความตาย’ เป็นเช่นไร แต่หนังสือเล่มนี้มีคำใบ้ที่ใกล้เคียงที่สุด
หลังหัวใจสิ้นสุดการเต้นครั้งสุดท้ายของมัน เกิดอะไรขึ้นกับจิตสำนึกของเรา เมื่อสมองไม่มีกิจกรรมทางไฟฟ้าอีกต่อไป เกิดอะไรขึ้นกับการรับรู้ของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเราก็แค่ดับไป เหมือนใครปิดสวิตช์ไฟ อย่างนั้นหรือ...
งานวิจัยครึ่งศตวรรษของจิตแพทย์ ดร.บรูซ เกรย์สัน ติดตามพูดคุยกับผู้ผ่านประสบการณ์ตายแล้วฟื้น (NDE-Near Death Experience) จำนวนหลายพันคน พบว่าคำตอบนั้นแตกต่างและไม่ตายตัว แต่ที่กล่าวได้เกือบจะแน่นอนอย่างหนึ่งคือ การรับรู้ของเราไม่ได้ดับวูบไปเหมือนใครปิดสวิตช์ จิตสำนึกของเราดำเนินต่อไป
แต่เราไปไหน และเราไปในฐานะอะไร ไม่มีใครสักคนนิยามได้ชัดๆ ว่า ‘ตัวตน’ ของพวกเขาคืออะไรกันแน่เมื่อพ้นร่างกายไป ทว่าความน่าสนใจก็ไม่ได้อยู่ที่นิยาม แต่อยู่ที่ ‘สำนึกรู้’ ยามพ้นร่างกายต่างหาก เพราะมันไม่เพียงดำเนินต่อ แต่พวกเขายืนยันว่าสามารถ ‘รับรู้’ ได้ ‘กระจ่าง’ อย่างที่พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เช่นนั้นในยามมีชีวิต
หนังสือ AFTER ‘หลังความตาย’ นำเสนอเรื่องราวของผู้เคยสัมผัสความตาย หรือ NDE ผ่านมุมมองของ ดร. เกรย์สัน จิตแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยสัมภาษณ์ผู้คนนับพันจากทุกสาขาอาชีพ หลายช่วงอายุ เชื้อชาติ และศาสนา จนถึงผู้ไม่นับถือศาสนาใดเลย แต่ละคนผ่านความตายด้วยหลายสาเหตุ ทั้งเจ็บป่วย อุบัติเหตุ เสพสารเสพติด พยายามฆ่าตัวตาย ฯลฯ และนี่คือบทสรุปบางตอนจากปากคำของพวกเขา
เวลาไม่มีจริง
ไอน์สไตน์ค้นพบว่าเวลาไม่ได้มีอยู่จริงอย่างที่เราเข้าใจ เวลาหาได้ดำรงอยู่อย่างเป็นสากลและเอกเทศ มันเป็นส่วนหนึ่งของปริภูมิ หรือที่เรียกว่ากาลอวกาศ (spacetime) ไอน์สไตน์เข้าถึงความจริงนี้ด้วยทฤษฎีคณิตศาสตร์ และปัญญาญาณของนักฟิสิกส์ ทว่าผู้ประสบ NDE ในหนังสือเล่มนี้เป็นสามัญชนคนธรรมดา ทั้งคนขับรถบรรทุก ตำรวจ ทหาร นักศึกษา ฯลฯ แต่พวกเขาสามารถยืนยันความจริงนี้ด้วยประสบการณ์ตนเอง
“ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงนะครับ แต่ผมรู้ครับว่าชั่วนิรันดร์เป็นอย่างไร คือมันไม่มีนาทีนี้ สู่นาทีต่อไป ทุกสิ่งล้วนอยู่ตรงนั้น และคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของมันอย่างสมบูรณ์”
ทบทวน ‘ทั้งชีวิต’ อีกครั้ง ผ่านทั้งสายตาตนเองและผู้อื่น
เกินครึ่งของผู้ประสบ NDE เล่าถึงสิ่งที่คุณหมอเกรย์สันเรียกว่า life review บ้างบอกว่าเห็นชีวิตตนที่ผ่านมาเป็นภาพฉายเหมือนโปรเจกเตอร์ บ้างบอกว่าได้กลับไป ‘ใช้’ ชีวิตทั้งหมดอีกครั้ง และที่ไม่ธรรมดาคือหลายคนยืนยันว่าพวกเขาได้ใช้ชีวิตเป็นคนอื่นด้วย เช่น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยถูกชายแปลกหน้าตบหน้าอย่างไม่ยุติธรรม เด็กหนุ่มเกิดนอตหลุด ต่อยชายคนนั้นร่วงลงกับพื้น เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นประสบ NDE และได้ใช้ชีวิตตัวเองอีกครั้ง เขาได้กลายเป็นชายแปลกหน้าคนนั้น กำลังนั่งอยู่ที่บาร์ มึนเมาและเสียศูนย์ เพราะภรรยาเพิ่งเสียชีวิต
“คุณต้องเชื่อนะครับว่าผมอยู่ในร่างของเขา อยู่ในสายตาที่เขามองโลก ผมเห็นพื้นถนนที่เขาเดิน จนกระทั่งออกมาเจอรถของผม และผมก็ได้สัมผัสความเจ็บ ความอายของเขาที่ถูกต่อยร่วงลงไปอย่างนั้น ผมสัมผัสได้ว่าฟันบนข้างหนึ่งหลุด ผมต่อยเขาทั้งหมด 32 ครั้ง ผมได้เห็นหน้าตัวเองตอนกำลังโกรธสุดขีดด้วย ...และทั้งหมดนี้ไม่มีดีหรือร้ายนะครับ มันแค่ทำให้ผมเข้าใจ”
ที่น่าสนใจคือทุกคนย้ำประโยคคล้ายกันว่า ไม่มีนาทีไหนขาดหายไปเลย แม้จะเป็นช่วงวัยทารกที่แน่นอนว่าพวกเขาจำไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ยังได้สัมผัสทุกช่วงเวลาอีกครั้งอย่างหมดจด ไม่ว่าพวกเขาจะหมดสติไปแค่ห้านาทีหรือหนึ่งชั่วโมงก็ไม่มีความหมาย เพราะพวกเขายืนยันว่าใน NDE ไม่มี sense of time
พระเจ้า ภูตผี สวรรค์ นรก สรุปว่าศาสนาไหนถูกกันแน่
สรุปได้ว่าไม่มีข้อสรุป นี่คือข้อดีของนักวิจัยอย่างคุณหมอเกรย์สัน เขาเพียงรายงานและวิเคราะห์แง่ข้อเท็จจริง สถิติเกินครึ่งรายงานว่า นอกเหนือจากได้พบคนในครอบครัวหรือคนรู้จักที่ตายไปแล้ว พวกเขายังได้พบ ‘entity’ บางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และก็มีคนที่เรียก entity นั้นว่าพระเจ้าเต็มปากเต็มคำ ส่วนคนที่บอกว่าไม่ใช่พระเจ้าแน่ๆ ก็เพราะ “คำว่าพระเจ้านั้นเล็กน้อยเกินไป”
แต่สิ่งที่พวกเขาบรรยายมีลักษณะคล้ายกันคืออยู่ในรูปของแสง สว่างจ้า แต่ไม่แสบตา “ไม่ใช่ว่ามีชีวิตอยู่ในแสงนะครับ แต่เหมือนว่าแสงนั้นแหละคือชีวิต” แล้วก็มีบ้างบางคนที่เห็นเป็นรูปทรงชัดเจน ตั้งแต่เทพฮินดู เจ้าแม่กวนอิม พระเยซู ไปจนถึงแกนดาล์ฟจากภาพยนตร์ลอร์ดออฟเดอะริง ดร.เกรย์สันตั้งข้อสังเกตจากสถิติว่า ผู้ประสบ NDE ที่เคยเป็นคนเคร่งศาสนาใดศาสนาหนึ่ง มักเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ให้ความสนใจทุกศาสนาแบบกลางๆ ไม่ได้ปฏิบัติตนเข้มงวดอย่างยึดมั่นเหมือนเดิม
ไม่อาจอธิบายด้วยภาษาใดบนโลก (เหมือนให้วาดกลิ่นด้วยสีชอล์ก)
ผู้ที่เคยผ่าน NDE ล้วนประสบปัญหาเวลาจะบรรยายประสบการณ์นั้น เพราะพวกเขายืนยันเหมือนกันว่าไม่อาจอธิบายได้เลย ทำได้เพียงใช้คำศัพท์ที่ใกล้เคียงที่สุด เช่น ‘รู้สึกเป็นที่รัก’ และมักตามด้วย ‘อย่างไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข’
“ถ้าให้ผมพยายามอธิบายนะ ลองนึกถึงความรักของแม่สักคนยามมองลูกน้อยสงบในอ้อมแขน คุณรู้สึกคล้ายๆ แบบนั้นน่ะครับ แต่คูณเข้าไปอีกล้านเท่า”
นอกจากนั้นก็มีคำว่า ‘สงบ’ ‘เป็นสุข’ ‘ปีติ’ ‘งดงาม’ ‘สว่าง’ บ้างก็บอกว่าเป็นความปีติที่ไม่ยินดียินร้าย เหมือนแพลงก์ตอนในทะเลที่ไหลเรื่อยไปในมหาสมุทร เป็นความรู้สึกว่าทุกอย่างถูกที่ถูกทาง สมเหตุสมผล
เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ประสบ NDE มีบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ และเกือบครึ่งเปลี่ยนอาชีพการงานของตน ตำรวจไม่อาจยิงปืนได้อีก สมาชิกแก๊งมาเฟียคนหนึ่งบอกลาแก๊งถาวร เพียรหางานทำอย่างขัดสนแต่เป็นสุข ผู้เคยฆ่าตัวตายไม่คิดอยากตายอีกเลย “ฉันไม่กลัวตายอีกแล้ว ก็เลยไม่กลัวที่จะใช้ชีวิตด้วย” ทั้งหมดนี้ ดร.เกรย์สันติดตามสำรวจชีวิตพวกเขาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และในฐานะจิตแพทย์ เขาไม่เคยพบเห็นอะไรที่มีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพคนในเชิงบวกได้ข้ามคืนเช่นนี้
“ฉันกลับมาติดอยู่ในสมองนี้อีกแล้วเหรอ”
เมื่อฟื้นขึ้นและพบว่าตนเองกลับมาอยู่ในร่างเดิม พวกเขาหลายคนผิดหวังเป็นล้นพ้น โดยเล่าถึงการรับรู้ใน NDE ซึ่งพ้นจากสมองว่ามันช่างแจ่มชัดและไพศาล ผู้ผ่านประสบการณ์คนหนึ่งเปรียบให้ฟังว่า เหมือนมนุษย์อาศัยอยู่ในโกดังมืดสนิทตลอดชีวิต เรามีไฟฉายเพียงอันเดียวคือสมอง คอยส่องดูและพิจารณาเฉพาะจุด โฟกัสได้ทีละจุด เรารู้สึกสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ไม่เชื่อมโยงกัน ทว่าใน NDE นั้นมันเหมือนมีคนมาเปิดสวิตช์ไฟโกดัง พลันทุกอย่างก็ท่วมท้นเข้ามาสู่การรับรู้ สีสัน มิติ ความลึก ความกว้าง ทั้งหมดที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ว่ามี ไม่อาจอธิบายได้ เหมือนที่ผ่านมาเรามีชีวิตอยู่ในโลกการ์ตูนสองมิติ และเราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้เห็นภาพสามมิติ แต่ก็ไม่อาจอธิบายให้คนในโลกสองมิติเข้าใจได้ว่าประสบการณ์มันเป็นอย่างไร
“ฉันเห็นสีสันที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นแสงที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้ เป็นแสงอีกประเภทหนึ่ง โอ ฉันได้เรียนรู้มากเหลือเกิน ความเข้าใจมากมายไหลผ่านฉันเร็วมากจนแทบจะเผาฉันได้เลย เมื่อฉันฟื้นขึ้นฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน จนพอฉันค่อยๆ รับรู้ ฉันก็ถึงกับตัดพ้อออกมาดังๆ ว่าทำไมฉันติดอยู่ในสมองนี้อีกแล้ว ฉันกลับมาเป็นคนอีกแล้ว แม่กับน้องคงคิดว่าฉันบ้าไปแล้วน่ะ” พวกเขาบอกว่าเมื่อกลับมาอยู่ในร่างกายนี้ และต้องคิดด้วยสมองนี้ พวกเขาไม่สามารถเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เหมือนที่เคย แต่ประสบการณ์ความกระจ่างอันไพศาลนั้น พวกเขาจะไม่มีวันลืม
ทั้งหมดนี้ก็แค่ฝันหรือเปล่า
เป็นประเด็นที่คุณหมอเกรย์สันชี้แจงไว้ตั้งแต่บทต้นๆ เพราะรู้ว่าต้องมีคนข้องใจเมื่อได้อ่านเรื่องราวพิลึกพิลั่นเหนือจริงเหล่านี้ คุณหมอรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้เล่าความฝันให้ฟัง ดร.เกรย์สันใช้มาตรวัดสากลที่จิตแพทย์ใช้กันทั่วไปในการแยกแยะว่าผู้ป่วยเล่าความจริงหรือความฝัน ซึ่งประกอบด้วยชุดคำถามที่ทดสอบการจำ ทั้งโครงเรื่อง รายละเอียดของเนื้อเรื่อง และความแจ่มชัดของเหตุการณ์ โดยให้เล่าใหม่อีกครั้งหลังผ่านเวลาไปแล้วหลายระยะ เหตุการณ์จะยังแม่นตรงกับครั้งแรกไหม ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเป็นความฝัน เราจะจำฝันได้แม่นที่สุดตอนเพิ่งตื่น และค่อยๆ เลือนรางไปเรื่อยๆ รายละเอียดหล่นหาย หรือจำได้ไม่เหมือนเดิม แม้จะอยากจำได้แค่ไหนก็ตาม นี่เป็นกลไกตามธรรมชาติ สมองส่วนที่ใช้จดจำความฝันเป็นคนละส่วนกับที่ใช้จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ถ้าเล่าความจริง รายละเอียดต่างๆ มักยังคงอยู่ และระดับความแจ่มชัดจะสูงต่างจากความฝันมาก และแน่นอนว่าเรื่องเล่าของบุคคลในเล่มนี้ คุณหมอเกรย์สันคัดเลือกเฉพาะผู้ที่ผ่านมาตรวัดนี้แล้ว และไม่ว่าจะให้เล่าซ้ำกี่ครั้งหลังผ่านไปกี่ปี พวกเขายังคงเล่าได้เหมือนเดิม แจ่มชัดเท่าเดิม ไม่มีลดลงหรือไม่มีการแต่งเรื่องเพิ่มขึ้น ประสบการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงไหมไม่มีใครรู้ แต่มันเกิดขึ้นจริงแน่นอนสำหรับพวกเขา เพราะเท่าที่วิทยาศาสตร์ยืนยันได้คือ สมองพวกเขา process มันในฐานะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
แต่มันจริงกว่าความจริงเสียอีก
ที่ชวนอึ้งไปอีกขั้นคือหลายคนยืนยันกับคุณหมอเกรย์สันว่า NDE ของพวกเขาไม่ใช่แค่จริง แต่มัน “จริงกว่าความจริงในโลกนี้เสียอีก” ผู้ประสบ NDE จำนวนไม่น้อยประสบปัญหาเมื่อฟื้นขึ้นและไม่อาจเชื่อว่านี่คือความจริง หลายคนปักใจว่าโลกจริงใบนี้คือฝัน และอะไรก็ตามที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาต่างหากคือความจริง “ถ้าให้เทียบนะครับ ชีวิตก่อนหน้านี้ของผมเป็นความฝันตลอดมา”
แต่เราทั้งหมดก็ยังอยู่กันที่นี่
คำถามคือการรู้เรื่องราวอัศจรรย์เหล่านี้จะยังประโยชน์อันใดแก่เรา ปุถุชนซึ่งไม่เคยสัมผัส NDE ขอให้คุณลองอ่านเพื่อจะพบคำตอบ ซึ่งยืนยันว่าจะพบแน่นอน เพราะคุณหมอเกรย์สันระบุว่า ตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้ให้แก่เราคนธรรมดาๆ เช่นเดียวกับที่คุณหมอก็ไม่เคยประสบ NDE ด้วยตัวเอง แต่ความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในตัวคนเหล่านี้ที่เคยสัมผัส ได้สร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่งใหญ่ให้กับคุณหมอเกรย์สัน
ความเข้าใจอันใดที่พวกเขาเคยได้รับรู้ โลกใบไหนที่เคยก้าวผ่าน ตัวตนใดที่เคยเป็น หรือที่เราเองก็จะกลายไปเป็น–หลังความตายนั่น– ไม่จำเป็นต้องนิยาม หากเพียงต้องลอง ‘เปิดใจ’
Thank you source: https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/102431