ตามที่ตั้งหัวมาเลยค่ะ ไม่มีคำถามและไม่มีสาระ แค่ต้องการระบายสิ่งที่อยู่ภายในใจให้คนแปลกหน้าได้ฟังเพื่อความทุกในใจที่มีจะทุเลาลงไปบ้างเท่านั้นเอง และไม่ต้องถามนะคะว่าแล้วทำไมไม่ไปคุยกับครอบครัวฟัง เพราะเราได้พยายามแล้วพยายามมาตลอดจนมาวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าความพยายามพวกนั้นมันดูไร้ค่าชะมัด เพราทุกคนถือความคิดที่ว่าเกิดก่อนใช้ชีวิตมาก่อนคนอายุน้อยกว่าต้องฟังและทำตามเท่านั้น
เราไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ที่ไหนแต่เราแค่มาคิดว่ามันไม่ใช่ละก็ตอน ม.ต้น เราว่าทุกคนก็เข้าใจไปในทางเดียวกันนะว่าช่วงวัยนี้การใช้ชีวิตในสังคม รร. จะมากกว่าที่บ้านทำให้เด็กคนหนึ่งจะมีเพื่อนฝูงมากมายก็คือช่วงนี้ แต่สำหรับเราแล้วไม่ใช่ เรราไม่มีเพื่อนที่ว่าจะสนิทเลย มีแค่เพื่อนร่วมห้องที่นอกจากการทำงานกลุ่มก็จะถามและพูดคุยกันแทบนับประโยคได้เท่านั้น โดยสาเหตุเรพราะเราเอง เราที่ไม่สามารถไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นนอกเวลาวันที่ไปเรียนได้แม้บ้านจะใกล้กันก็ตาม ถึงแม้เพื่อนจะชวนเราก็เลือกที่ปฏิเสธเพราะต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน และเราก็บอกเหตุผลกับเพื่อนเสมอหลังปฏิเสธเสมอ พอเพื่อนชวนหลายครั้งเข้าแต่เราไม่สามารถที่จะไปด้วยได้เพื่อนก็เริ่มที่จะถอยห่างไป ถึงตอนเจอหน้าจะมีทักกันบ้างแต่เราก็รู้อยู่เสมอว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนก็คือเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ไก้สนิท เราก็พยายามแก้ไขเพื่อไม่ให้เพื่อนตีตัวออกห่างไปมากกว่านี้ด้วยการที่ของพ่อกับแม่ว่าให้เราได้ไปเล่นกับเพื่อนบ้างไม่ต้องไปย่อยแค่ขอนานๆจะไปทีหนึ่งแต่ท่านก็ไม่อนุญาต ซึ่งเราก็เข้าใจนะว่าด้วยความที่เราเป็นลูกสาวคนเดียวก็เข้าใจแหละว่าทุกคนเป็นห่วงและทุกวันนี้เราก็ยังคิดแบบนั้นเสมอ แต่เพราะแบบนั้นสถานะการณ์ทางฝั่งเพื่อนก็ยิ่งแย่ จนถึงข้ันที่โดนบูลี่ว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูงช่วนไปไหนก็ไม่ไปอยู่แต่กับบ้าน ซึ่งเราได้ยินนะและช่วงแรกเราก็พยายามอธิบายกับเพื่อนว่าเพราะอะไรบางคนก็เข้าใจบางคนก็ทำเป็นเหมือนเข้าใจแต่สุดท้ายก็ยังเอาไปนินทาหลับหลังเราอยู่ดี เราจึงทำได้แค่ปล่อยผ่าน จนผ่านมาสักพักเรื่องที่เพื่อนว่าเราเป็นเด็กโลกส่วนตัวสูงก็ดังจนมาเข้าหูพ่อกับแม่ทั้งสองก็มาด่าเราหาว่าเราไปทำตัวเอ๋อๆอยู่นอกบ้านบ้าง หาว่าเราคงไปนั้งเหม่อไปยอมพูดไม่ยอมเล่นกับเพื่อนบ้าง เราก็พยายามจะอธิบายนะว่าเราไม่ได้ทำแต่มันเป็นเพราะอะไรแต่ท่านก็ไม่ยอมฟังอยู่ดี เห็ตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นอยู่ซ้ำๆ ซึ้งเราก็พยายามอธิบายอยู่ซ้ำๆ จนเราขึ้นไปเรียน ม.ปลาย เปลี่ยนห้องเปลี่ยนสังคมใหม่อีกครั้งเราก็พยามอีกครั้งโดยที่ตั้งเป้าแค่ว่าเราจะต้องอยู่ได้โดยที่ไม่แปลกแยกจากเพื่อนจนเกินไปและจะต้องไม่ขัดกับกรอบของที่บ้าน แต่สุดท้ายแล้วแม้เราจะพยายามสุดแล้วมันก็ยังติดแค่ปัญหาเดียวคือเราไม่มีเวลาให้กับเพื่อนอยู่ดีแม้กระทั้งงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันนอกเวลาเรียนเราก็ไปทำกับเพื่อนไม่ได้จนเพื่อนไม่อยากจะจับกลุ่มทำงานด้วย แต่ยังดีที่มีเพื่อนอยู่สองคนที่เข้าใจแม้ว่าเราจะมาทำงานด้วยไม่ได้เขาสองคนก็ไม่ได้ว่าอะไรขอแค่เป็นคนที่ตรวจงานรอบสุดท้ายให้ถ้ามีการนำเสนอก็ให้เรานำเสนอทั้งหมดแทนการมาทำงานกลุ่ม จนเราจบม.6มาได้ และเราก็เลือกที่จะไม่เรียนต่อเหมือนคนอื่นๆ แต่เลือกที่จะมาทำงานกับที่บ้านแทนซึ่งงานที่บ้านก็จะเป็นงานไร่งานสวนที่ต้องตากแดดตลอดทั้งวันด้วยความที่เราเพิ่งเรียนจบแน่นอนว่าการทำงานตากแดดทุกวันเราทำได้แต่ยังไงก็ไม่เท่าคนที่เขาทำมานานแล้วแน่นอน แต่เราก็พยายามทำเท่าที่เราจะทำไหว แต่นั้นไม่ใช่กับพ่อกับแม่ที่จะคิดแบบนั้น ท่านเห็นเราพักหลบแดดก็กลับมาด่าเราเฉยเลยว่างานแค่นี้ยังทำให้ดีไม่ได้ทั้งที่เกิดเเละโตมากับมัน เราไม่ได้ตอบโต้อะไรไปแค่หลบให้เย็นขึ้นนิดหน่อยแล้วลงทำงานต่อเพราะยังทนแดดได้ไม่นานเลยต้องหลบเข้าร่มบ่อยๆแทน จนผ่านมาเกือบปีเราเริ่มที่จะทนแดดได้นาขึ้นเท่าพ่อกับแม่แล้วหรือบางที่ก็ทนได้นานกว่าด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังมีเรื่องมาให้แม่ด่าอยู่ดี ด้วยที่วันนั้นเราซักผ้าอยู่ที่หลังบ้านในช่วงเช้า(ซักมือเพราะเป็นเสื้อผ้าทำงานต้องใช้แปลงขัด)เราได้ยินป้าในหมู่บ้านมาเรียกแม่ตอนนั้นเราก็ขานรับไปอยู่นะแล้วก็รีบล้างมือเดินออกไปหาที่หน้าบ้านแต่ไม่ทันป้าแกขับรถออกไปก่อน เราก็นึกว่าแกคงไม่มีธุระด่วนอะไรมั่งเลยกลับไปซักต่อให้เสร็จ แต่พอตอนบ่ายเรามาช่วยงานที่สวนพ่อกลับมาด่าเราว่าเรามัวแต่เล่นโทรศัพท์โดยที่เอาหูฟังยัดหูไว้ใครมาเรียกก็ไม่ได้ยิน แล้วก็ยังว่าอีกว่าเพราะทำตัวเป็นคนบ้าแบบนี้ไง วันๆหาเรื่องมาให้อับอายไม่เว้นวัน อีกหน่อยอาการบ้ากำเริบก็ขึ้นมาคงฆ-่ากูกับแม่ต-ายเหหมือนในข่าว เราที่ๆด้ยินตอนนั้นคือคิดเลยว่าทำไมพ่อไม่ถามก่อนว่าอะไรยังไง ว่าเราได้ยินป้าแกเรียกไหม ทำไมไม่ฟังสาเหตุที่ทำให้เพื่อนรุ่นเดียวกันหาว่าเราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงละ แล้วทำไมถึงคิดว่าเราจะฆ่าทั้งสองคนได้ เรื่องวันนั้นเราก็เอาไปเล่าให้น้าฟังนะแต่คำที่น้าตอบกลับมาคือพ่อพูดอะไรก็ฟังแล้วเอาไปปรับปรุงตัวเองเถอะนะ เรานี้ห๊ะเลยสรุปคือเราผิดแบบนี้เลยเหรอ และอีกเรื่องคือเราเป็นคนที่หางตาตกมันเยทำให้ดูเป็นคนเศร้าตลอดเวลาแม่ก็ชอบเอามาว่าให้ว่าให้ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยบางทีก็โยงไปว่าเป็นเพราะเราเล่นโทรศัพท์ไม่ยอมนอนเลยเป็นแบบนี้บ้าง จนทุกวันนี้เราก็คิดนะว่าท่านให้เราเกิดมาทำไม หรือบางทีถ้าไม่มีเราพวกท่านอาจจะสบายกว่านี้ก็ได้ที่ไม่ต้องมาฟังเรื่องที่ไม่ค่อยจะรื่นหูเกี่ยวกับเราตลอดแบบเนี้ย แต่ยังไงเราก็ไม่คิดสั้นหรอกเพราะเรากล่อมตัวเองอยู่ตลอด ว่าการฆ-่าตัวต-ายมันน่ากลัว แม้ในใจจะขัดว่าเราทำมันได้มันไม่ได้น่ากลัวอยู่ทุกครั้งที่เรากำลังกล่อมตัวเองก็ตาม จนมาตอนนี้อายุ23ปีแล้วมีสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้ด้วยตัวเองคือรอยยิ้มของเราที่มันหายไป เราพยายามมากเลยที่จะบีบให้มันออกมาในแต่ละครั้ง และสุดท้ายนี้เราขอ ขอร้องให้ทุกคนที่มีครอบครัวแล้วและมีลูกเราขอให้ทุกคนช่วยฟังและขอเหตุผลจากลูกก่อน เรารู้ว่าคุณโกธรแต่เราขอ ขอให้คุณกดใจให้เย็นลงอีกนิด้ฝเพื่อรับฟังเหตุผลที่จะออกมา เราขอให้ทุกคนทำให้ครอบครัวคือเซฟโซนของลูกๆมากกว่าที่จะเป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงเพื่อให้ลูกๆได้ตื่นตัวและก้าวเดินแบบครอบครัวของเรา และสุดท้ายเราขอขอบคุณที่ทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องที่เราอยากระบายจนจบได้ ขอขอบคุณจากใจจริงๆ
กระทู้นี้ไม่มีคำถามและไม่ได้มีสาระใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่อยากมาระบายนิดหน่อยค่ะ
เราไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ที่ไหนแต่เราแค่มาคิดว่ามันไม่ใช่ละก็ตอน ม.ต้น เราว่าทุกคนก็เข้าใจไปในทางเดียวกันนะว่าช่วงวัยนี้การใช้ชีวิตในสังคม รร. จะมากกว่าที่บ้านทำให้เด็กคนหนึ่งจะมีเพื่อนฝูงมากมายก็คือช่วงนี้ แต่สำหรับเราแล้วไม่ใช่ เรราไม่มีเพื่อนที่ว่าจะสนิทเลย มีแค่เพื่อนร่วมห้องที่นอกจากการทำงานกลุ่มก็จะถามและพูดคุยกันแทบนับประโยคได้เท่านั้น โดยสาเหตุเรพราะเราเอง เราที่ไม่สามารถไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นนอกเวลาวันที่ไปเรียนได้แม้บ้านจะใกล้กันก็ตาม ถึงแม้เพื่อนจะชวนเราก็เลือกที่ปฏิเสธเพราะต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน และเราก็บอกเหตุผลกับเพื่อนเสมอหลังปฏิเสธเสมอ พอเพื่อนชวนหลายครั้งเข้าแต่เราไม่สามารถที่จะไปด้วยได้เพื่อนก็เริ่มที่จะถอยห่างไป ถึงตอนเจอหน้าจะมีทักกันบ้างแต่เราก็รู้อยู่เสมอว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนก็คือเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ไก้สนิท เราก็พยายามแก้ไขเพื่อไม่ให้เพื่อนตีตัวออกห่างไปมากกว่านี้ด้วยการที่ของพ่อกับแม่ว่าให้เราได้ไปเล่นกับเพื่อนบ้างไม่ต้องไปย่อยแค่ขอนานๆจะไปทีหนึ่งแต่ท่านก็ไม่อนุญาต ซึ่งเราก็เข้าใจนะว่าด้วยความที่เราเป็นลูกสาวคนเดียวก็เข้าใจแหละว่าทุกคนเป็นห่วงและทุกวันนี้เราก็ยังคิดแบบนั้นเสมอ แต่เพราะแบบนั้นสถานะการณ์ทางฝั่งเพื่อนก็ยิ่งแย่ จนถึงข้ันที่โดนบูลี่ว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูงช่วนไปไหนก็ไม่ไปอยู่แต่กับบ้าน ซึ่งเราได้ยินนะและช่วงแรกเราก็พยายามอธิบายกับเพื่อนว่าเพราะอะไรบางคนก็เข้าใจบางคนก็ทำเป็นเหมือนเข้าใจแต่สุดท้ายก็ยังเอาไปนินทาหลับหลังเราอยู่ดี เราจึงทำได้แค่ปล่อยผ่าน จนผ่านมาสักพักเรื่องที่เพื่อนว่าเราเป็นเด็กโลกส่วนตัวสูงก็ดังจนมาเข้าหูพ่อกับแม่ทั้งสองก็มาด่าเราหาว่าเราไปทำตัวเอ๋อๆอยู่นอกบ้านบ้าง หาว่าเราคงไปนั้งเหม่อไปยอมพูดไม่ยอมเล่นกับเพื่อนบ้าง เราก็พยายามจะอธิบายนะว่าเราไม่ได้ทำแต่มันเป็นเพราะอะไรแต่ท่านก็ไม่ยอมฟังอยู่ดี เห็ตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นอยู่ซ้ำๆ ซึ้งเราก็พยายามอธิบายอยู่ซ้ำๆ จนเราขึ้นไปเรียน ม.ปลาย เปลี่ยนห้องเปลี่ยนสังคมใหม่อีกครั้งเราก็พยามอีกครั้งโดยที่ตั้งเป้าแค่ว่าเราจะต้องอยู่ได้โดยที่ไม่แปลกแยกจากเพื่อนจนเกินไปและจะต้องไม่ขัดกับกรอบของที่บ้าน แต่สุดท้ายแล้วแม้เราจะพยายามสุดแล้วมันก็ยังติดแค่ปัญหาเดียวคือเราไม่มีเวลาให้กับเพื่อนอยู่ดีแม้กระทั้งงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันนอกเวลาเรียนเราก็ไปทำกับเพื่อนไม่ได้จนเพื่อนไม่อยากจะจับกลุ่มทำงานด้วย แต่ยังดีที่มีเพื่อนอยู่สองคนที่เข้าใจแม้ว่าเราจะมาทำงานด้วยไม่ได้เขาสองคนก็ไม่ได้ว่าอะไรขอแค่เป็นคนที่ตรวจงานรอบสุดท้ายให้ถ้ามีการนำเสนอก็ให้เรานำเสนอทั้งหมดแทนการมาทำงานกลุ่ม จนเราจบม.6มาได้ และเราก็เลือกที่จะไม่เรียนต่อเหมือนคนอื่นๆ แต่เลือกที่จะมาทำงานกับที่บ้านแทนซึ่งงานที่บ้านก็จะเป็นงานไร่งานสวนที่ต้องตากแดดตลอดทั้งวันด้วยความที่เราเพิ่งเรียนจบแน่นอนว่าการทำงานตากแดดทุกวันเราทำได้แต่ยังไงก็ไม่เท่าคนที่เขาทำมานานแล้วแน่นอน แต่เราก็พยายามทำเท่าที่เราจะทำไหว แต่นั้นไม่ใช่กับพ่อกับแม่ที่จะคิดแบบนั้น ท่านเห็นเราพักหลบแดดก็กลับมาด่าเราเฉยเลยว่างานแค่นี้ยังทำให้ดีไม่ได้ทั้งที่เกิดเเละโตมากับมัน เราไม่ได้ตอบโต้อะไรไปแค่หลบให้เย็นขึ้นนิดหน่อยแล้วลงทำงานต่อเพราะยังทนแดดได้ไม่นานเลยต้องหลบเข้าร่มบ่อยๆแทน จนผ่านมาเกือบปีเราเริ่มที่จะทนแดดได้นาขึ้นเท่าพ่อกับแม่แล้วหรือบางที่ก็ทนได้นานกว่าด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังมีเรื่องมาให้แม่ด่าอยู่ดี ด้วยที่วันนั้นเราซักผ้าอยู่ที่หลังบ้านในช่วงเช้า(ซักมือเพราะเป็นเสื้อผ้าทำงานต้องใช้แปลงขัด)เราได้ยินป้าในหมู่บ้านมาเรียกแม่ตอนนั้นเราก็ขานรับไปอยู่นะแล้วก็รีบล้างมือเดินออกไปหาที่หน้าบ้านแต่ไม่ทันป้าแกขับรถออกไปก่อน เราก็นึกว่าแกคงไม่มีธุระด่วนอะไรมั่งเลยกลับไปซักต่อให้เสร็จ แต่พอตอนบ่ายเรามาช่วยงานที่สวนพ่อกลับมาด่าเราว่าเรามัวแต่เล่นโทรศัพท์โดยที่เอาหูฟังยัดหูไว้ใครมาเรียกก็ไม่ได้ยิน แล้วก็ยังว่าอีกว่าเพราะทำตัวเป็นคนบ้าแบบนี้ไง วันๆหาเรื่องมาให้อับอายไม่เว้นวัน อีกหน่อยอาการบ้ากำเริบก็ขึ้นมาคงฆ-่ากูกับแม่ต-ายเหหมือนในข่าว เราที่ๆด้ยินตอนนั้นคือคิดเลยว่าทำไมพ่อไม่ถามก่อนว่าอะไรยังไง ว่าเราได้ยินป้าแกเรียกไหม ทำไมไม่ฟังสาเหตุที่ทำให้เพื่อนรุ่นเดียวกันหาว่าเราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงละ แล้วทำไมถึงคิดว่าเราจะฆ่าทั้งสองคนได้ เรื่องวันนั้นเราก็เอาไปเล่าให้น้าฟังนะแต่คำที่น้าตอบกลับมาคือพ่อพูดอะไรก็ฟังแล้วเอาไปปรับปรุงตัวเองเถอะนะ เรานี้ห๊ะเลยสรุปคือเราผิดแบบนี้เลยเหรอ และอีกเรื่องคือเราเป็นคนที่หางตาตกมันเยทำให้ดูเป็นคนเศร้าตลอดเวลาแม่ก็ชอบเอามาว่าให้ว่าให้ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยบางทีก็โยงไปว่าเป็นเพราะเราเล่นโทรศัพท์ไม่ยอมนอนเลยเป็นแบบนี้บ้าง จนทุกวันนี้เราก็คิดนะว่าท่านให้เราเกิดมาทำไม หรือบางทีถ้าไม่มีเราพวกท่านอาจจะสบายกว่านี้ก็ได้ที่ไม่ต้องมาฟังเรื่องที่ไม่ค่อยจะรื่นหูเกี่ยวกับเราตลอดแบบเนี้ย แต่ยังไงเราก็ไม่คิดสั้นหรอกเพราะเรากล่อมตัวเองอยู่ตลอด ว่าการฆ-่าตัวต-ายมันน่ากลัว แม้ในใจจะขัดว่าเราทำมันได้มันไม่ได้น่ากลัวอยู่ทุกครั้งที่เรากำลังกล่อมตัวเองก็ตาม จนมาตอนนี้อายุ23ปีแล้วมีสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้ด้วยตัวเองคือรอยยิ้มของเราที่มันหายไป เราพยายามมากเลยที่จะบีบให้มันออกมาในแต่ละครั้ง และสุดท้ายนี้เราขอ ขอร้องให้ทุกคนที่มีครอบครัวแล้วและมีลูกเราขอให้ทุกคนช่วยฟังและขอเหตุผลจากลูกก่อน เรารู้ว่าคุณโกธรแต่เราขอ ขอให้คุณกดใจให้เย็นลงอีกนิด้ฝเพื่อรับฟังเหตุผลที่จะออกมา เราขอให้ทุกคนทำให้ครอบครัวคือเซฟโซนของลูกๆมากกว่าที่จะเป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงเพื่อให้ลูกๆได้ตื่นตัวและก้าวเดินแบบครอบครัวของเรา และสุดท้ายเราขอขอบคุณที่ทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องที่เราอยากระบายจนจบได้ ขอขอบคุณจากใจจริงๆ