เมื่อสังคมเต็มไปด้วยคนป่วยจิต เราควรใช้ชีวิตอย่างไร

เรื่องเริ่มตั้งแต่เรายังเรียนอยู่ปถม  เราเจอกับเหตุการณ์และผู้คนหลายๆรูปแบบที่มันทำให้เราคิดมาตั้งแต่เด็ก....เด็กมาก     ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้เรื่องผิดชอบชั่วดีอะไรเท่าไหร่เลย     แต่เราก็เห็นว่าครูเด็กปถมของเราชอบดุด่าว่าเด็กนักเรียน    เหมือนเป็นการระบายอย่างหนึ่งของเค้า ชอบทำให้เด็กเครียด  ใช้วิธีการหยิกตีเพื่อทำโทษ  ทำให้เด็กกลัวจนไม่กล้าเข้าห้องน้ำบ้าง  ไม่กล้าทำอะไรบ้าง    ตอนเด็กเรารู้สึกว่าผู้ใหญ่พวกนี้แย่มาก แต่พอเราโตมาเข้ามัธยม เราก็เจอกับครูที่ป่วยจิตหนักไปกว่านั้นอีก  คือทำโทษด่าว่านักเรียนเหมือนเป็นความซะใจส่วนตัว และไม่ใช่เราที่คิดไปคนเดียวแน่นอน    เพราะถึงขั้นโดนนักเรียนกระชากหัวตบ ทั้งยังโดนผู้ปกครองมาตบถึงห้องที่ไปทำโทษลูกเขาแบบนั้น  ซึ่งถ้าเป็นยุคนี้คงโดนถ่ายคลิปแล้วดังกระฉ่อนไปแล้ว   ตอนนั้นเองตั้งคำถามว่าคนพวกนี้มาเป็นครูได้อย่างไร ทำไมคนที่มีสุขภาพจิตที่อันตรายมากจึงได้มาอยู่ปะปนกับคนทั่วไปอย่างง่ายดายและเป็นอาชีพที่สำคัญขนาดนี้            แต่เมื่อเราโตขึ้นก้าวเข้าสู้สังคมทำงาน พวกคนที่เราเคยเจอในตอนวัยเด็กก็ดูเหมือนเป็นมดไปเลย      เราได้เจอกับหัวหน้าที่ขว้างเมาส์คอมใส่หัวลูกน้องเมื่อไม่พอใจ  เจอกับเพื่อร่วมงานที่ซึมเศร้าต้องกินยาตลอดเวลา เจอกับเพื่อนร่วมงานที่หวาดกลัวว่าคนอื่นจะทำงานดีกว่าตนที่อยู่มานานจนต้องใส่ร้ายให้คนอื่นโดนไล่ออก    เราเจอกับเจ้าของบริษัทที่มีปมด้อยอย่างมาก หวาดกลัวเครียดวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา   คนที่ชอบกลั่นแกล้งบูลี่คนอื่น  และคนที่เหมือนป่วยจิตอีกหลายรูปแบบมากๆและปะปนอยู่รอบตัวจำนวณมากในสังคม     เราอยากรู้เรื่องพวกนี้จริงๆเลยไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับพวกอาการทางจิต โรคทางจิตเวชมาอ่านหลายๆเล่ม  พบว่าคนบางคนเป็นแค่นิสัยที่แย่ๆ     ทำให้ทอกซิกกับบุคคลรอบข้าง     แต่ในหลายคนที่เราสังเกตุและพอจะอนุมานได้เลยว่าเค้ามีอาการป่วย    แบบป่วยทางจิตจริงๆ   แต่เขาก็อยู่ปะปนกับเราในที่ทำงาน  ที่โรงเรียน หรือแม้แต่ในครอบครัว  ซึ่งหลายๆคนก็ได้เป็นใหญ่เป็นหัวหน้า เป็นเจ้าของบริษัท ด้วยค่านิยมยุคทุนนิยมที่ว่า   ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน แค่สร้างงานได้ สร้างผลผลิตให้บริษัทได้ ก็เป็นใหญ่ได้เป็นหัวหน้าได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนยังไง มันเหมือนกับในสังคมที่เราเจอกันบ่อยๆเรื่องหัวหน้าเฮงซวย  ประเด็นคืออาการป่วยทางจิตคนไม่คิดว่าสำคัญหรือเป็นโรคติดต่อ   มันไม่ใช่โควิตที่ทุกคนต้องหวาดกลัว แต่จริงๆคือมันน่ากลัวกว่านั้นอีก   มันเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด   เช่น   พอเราเข้าไปทำงานที่ใหม่ซักที่     แล้วโดนหัวหน้าที่ทอกซิกกลั่นแกล้ง สร้างความเครียดความเก็บกดให้พนักงานใหม่     พวกเขาก็จะกลายเป็นโรคเครียดตามหัวหน้าที่เป็นคนส่งมอบมาให้ และเมื่อวันนึงเขาได้เป็นหัวหน้าเขาก็จะไปทำแบบนี้กับลูกน้องซ้ำไปเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด จนมีรุ่นที่คิดได้และไม่ยอมที่จะติดเชื้อเหล่านี้ เลือกที่จะปล่อยวางและทำในสิ่งที่ควร  เราเองเป็นคนที่เคยได้รับผลกระทบจากคนพวกนี้โดยตรงจากคนพวกนี้ตอนเรียนจบมาแล้วทำงานใหม่ๆ  เคยแม้กระทั่งทำงานอยู่ดีๆก็โดนไล่ออกแบบไม่มีเหตุผลเพราะอติของหัวหน้าที่มีต่อคนเก่าๆ     บางที่เราต้องยอมออกมาเองเพราะทนความทอกซิกและความป่วยของที่นั่นไม่ไหว  เรารู้สึกว่าเราเลือกได้และไม่อยากติดเชื้อ ไม่อยากสุขภาพจิตเสียแล้วต้องส่งต่อวงจรอุบาทว์นั้นต่อไป  แต่ทุกว่านี้ทุกที่ทำงาน ทุกสังคมที่เราอยู่ที่จะเต็มไปด้วยคนป่วยจิตที่ปะปนอยู่กับเรา แล้วดันมีผลต่อความเป็นอยู่ของเราซะด้วย บางคนต้องก้มหน้าอยู่ต่อด้วยภาระหน้าที่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ร้ายขึ้นแรงขึ้น ให้แย่ลงเพื่อจะสู้กับสังคมในที่นั้นๆไหว   เหมือนไม่มีตัวเลือกเลยในยุคทุนนิยมที่ทุกคนต้องหาเงินแบบนี้  เราจะจัดการกับคนพวกนี้แล้วอยู่ในสังคมกับคนพวกนี้ได้อย่างไรในเมื่อทุกวันที่ทุกสังคมทุกที่ทำงานมักจะเต็มไปด้วยคนจิตไม่ปกติแบบนี้เสมอๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่