สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เป็นผมก็ลาออกครับ หลายคนคิดว่าดีออกว่างงานได้เงินเดือนฟรี แต่คุณรู้ปะ คนที่เขารู้ว่าสิ่งพวกนี้ไม่ดีอะ เขาจะไม่อยู่เฉยๆ กันนะครับ
ข้อแรก ในระยะยาว คุณจะโดนประเมิณ low performance จากการไม่มีงาน และ จะไม่ถูก layoff เพราะก็ไม่ได้อยากไล่ออก แต่มันคือปัญหาจากการที่ ก็มันไม่มีงาน และ มันก็ไม่มีอะไร ไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่บริษัทที่มีระบบควบคุมและตรวจสอบเวลางานและตารางเวลา คุณจะติดโดยหมายหัวว่า idle ยาวนานเกินไป ดังนั้น คนที่รู้ก็จะพยายามหาโปรเจค หรือ งานเพิ่ม หรือ หาอะไรทำให้มันยังมีการเคลื่อนไหวของตารางงานอยู่
หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่า ยังใช้ระบบลงตารางเวลางานอยู่หรอบริษัทดังอะนะ ก็เพราะมันมีพนักงาน 20000-50000 ทั่วโลกเลยนะบางที รหัสงานหรือรหัสตารางเวลามันจะมาคู่กับชื่อโปรเจคที่ทำ มันจะบอกได้เลยว่ากำไรที่บริษัทได้ไหลเข้ามาเนี้ย มันมาจากแผนกไหน โปรเจคไหน รหัสงานจะเป็นตัวบ่งบอกเองว่าเงินมันเกิดอยู่ที่ไหน พนักงานคนไหนเกี่ยวข้องบ้าง แล้วยังช่วยให้เรามองหาคนที่ไม่มีงานทำเลยผ่านรหัส idle ได้ด้วยครับ CEO บริษัทพวกนี้เขาไม่สามารถดูแลพนักงานได้ทั่วถึงเพราะพนักงานมันเยอะ มันเลยต้องใช้ระบบแบบนี้หละครับ ใคร with out pay ก็รู้ได้ ใครลาป่วย ใครลาพักร้อน ค้นหาด้วยรหัสก็จะรู้หมดเลย
มันเลยต่างจากบริษัทไทยที่ก็ทำงานแบบสั่งจากปากไม่ได้มีการลงตารางเวลาอะไรก็ได้บางที เขาสั่งก็แค่ทำตามเวลาเลิกงานกลับบ้านได้พอใจแล้ว
แล้วปีนั้นทั้งปี คุณทำงานอยู่แค่ 2-3 เดือน แล้ว Ceo มาถามกันเองขำๆ เออคุณทำงานเป็นไง คุณไม่มีอะไรไปพรีเซ้น มันก็เงียบเหงาใช่ไหมหละเหมือนคุณไม่ได้ทำอะไรมากนัก แต่บริษัทใหญ่เขารู้ครับว่าเราว่างงานกี่เดือน ทำงานกี่เดือนผ่านระบบพวกนี้ที่เขาออกแบบขึ้นมาเพื่อช่วยให้ตาม tracking พนักงานได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
KPI ที่ได้จากจุดนี้ คือ บอกเลยว่า เละ!!
ข้อสอง คุณจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะ คุณจะแค่อยู่เฉยอ่านอะไรไปเรื่อย ยังไม่ได้ลุยงานอะไรขนาดนั้น ไม่มีอะไรเพิ่มนั่งหาอ่านอะไรไปเรื่อย จนเบื่อไปเอง ไม่ได้ลงสนามจริงสักทีเป็นสำรองตลอดไป
ข้อสาม ถ้ามันแย่มากคุณจะถูกประเมิณให้ออกเอง เพราะ ก็มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีงาน ตีเป็น performance ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ ไม่มีการตามติดงานนี่แหละครับ ดังนั้น เขาจะไม่ไล่เราออกนะแต่ให้โดนระบบ KPI ดีดเราออกเองจร้า
เพื่อรักษา credit ถ้าไม่พยายามหางานใหม่ในบริษัททำ คุณก็ต้องลาออกเองเพื่อไม่หัวตัวเองติด backlist เพราะว่าคุณว่างงานเกินไป ไม่งั้นจะมีผลต่อการไปสมัครงานที่ต่อไปได้ว่าเขาเห็นเราว่าง อาจจะมองว่าเราขี้เกียจ
ข้อสี่ ถ้างานน้อยแล้วบริษัทกำไรผลประกอบการไม่ดี นั่นคือแย่ครับ ควรหนีหรือรีบสละยานจะดีที่สุด อันนี้หลายบริษัทที่สภาพไม่ดีหรือมีงานน้อยมีคู่แข่งทางการตลาดเยอะ แผนกเซลจะรู้ ถ้างานมีน้อยกว่าคนเยอะมากๆ มันไม่ดีกับภาพรวมขององค์กรณ์
จากประสบการ์ณผม แผนกเซลล์บางทีเขาพูดให้ฟังเลย เขาไปดีลมา คือ มีบริษัทสนใจอยากให้คนของเราไปทำงานให้เขา แต่เขาแค่เปิดเสนอมาให้เราไปขายดูก่อน แล้วมันมี 3-5 เจ้าโดนติดต่อเหมือนกัน เขาก็จะไปเสนอการขายว่าเราจะทำอะไรให้เขาได้บ้าง
แล้วบางที ลูกค้าก็ตัดสินใจเลือกราคาถูกบ้าง หรือ เชื่อในบางอย่างบ้าง งานมันเลยถูกตัดไปก่อน แต่ว่าคนทำงานอะครับมันมี stand by เอาไว้ก่อนเพราะว่า
ถ้าลูกค้า say yes, deal with your idea. phase ต่อไปที่งานส่วนมากจะเป็น คือ รันตาม plan ที่คุยไว้เลย ดังนั้น ถ้าไม่อยากติดปัญหาขาดพนักงานทำงาน หรือ ไป deal งานมาแล้วไม่มีคนทำงาน คือ ซวย เขาเลยจ้างคนมาก่อนให้มันมีคนแน่นอน ที่เหลือคือเซลจะสามารถได้ไหม หรือ บางทีเขาก็มีคนมากเกินไป เช่น ลูกค้าบอกว่า ผมจ้างคนงานจากคุณได้แค่ 10 คน แต่เรามีพนักงาน 15 คนเงี้ย 5 คนก็จะว่าง หน้าที่ของ PM ก็จะต้องทำไงก็ได้ครับให้อีก 5 คนไม่ว่าง ด้วยการหา project ให้ลง
ส่วนนึงมันไม่ใช่ความผิดของพนักงานที่เป็นแรงงานเสมอไปนะที่ว่างงาน แต่มันเป็นความผิดพลาดส่วนนึงของการ manage คนให้เพียงพอต่อการทำงานด้วยครับ มันก็จะมีคนว่างและไม่ว่างสลับวนเวียน
ดังนั้น HR เขาก็จะหาเพื่อเอาไว้ก่อนในระดับที่มันพอเหมาะพอควร
คนที่รู้เรื่องพวกนี้ เขาจะมีวิธีการเตรียมตัว หรือ move ตัวออกอย่างไว ไม่ใช่ปล่อยเฉยๆ รับเงินเดือนฟรี แล้วไม่สนใจอะไร รับเงินเดือนฟรี 1-2 เดือนไม่ใช่ปัญหาครับ อาจจะมีการเล่นลิ้นเซ็นสัญญาระหว่างบริษัท มันปกติของการต่อรองของบริษัทใหญ่ แต่ 3-6 เดือนนี่ไม่ใช่ละครับ
เพราะ บริษัทดังใหญ่ จะคุยและเซ็นสัญญากัน ปีต่อปี หรือ 2 - 5 ปี มันจะคุยแค่ครั้งเดียว ไม่มีมาคุยสองสามครั้ง ดังนั้น การที่มันว่างเกิน 6 เดือน หรือ เลย Q2 Q3 นั่นหมายถึงบริษัทไม่มีดีลงานเพิ่มแล้วครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดช่วงเวลานี้ครับ ไม่งั้นมันจะไม่ทัน Q4 เพราะมันจะเป็นช่วง audit หรือ บัญชีตรวจสอบงบประจำปีเพื่อภาษีและสรุปทุกสิ่งอย่างว่าปีที่ผ่านมาบริษัทเป็นยังไง มันเลยไม่แปลกที่ Q4->Q1 หลายคนจะว่างสักแปปนึง แต่ Q2-Q3 ไม่มีดีลแล้วเซ็นแล้วทำเลยกลัวไม่ทัน กลัว plan เบียด
แล้วที่จะมี slot ให้เราเข้าทำงานก็ คือ มีคนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยย ยานแตก ลาออก สละยานกลางทาง นั่นแหละครับ ตัวสำรองจะกลายเป็นตัวจริง แต่ถ้าบริษัทดันมีแต่ team avenger แม้มไม่ลาออกครับ แม้มสู้ชีวิตจัดเพื่อโบนัส เพื่อเงินเดือน
เป็นการเมืองแบบนึงที่บริษัทดังๆ ใหญ่ๆ จะใช้ระบบ Q1-4 ทั้งหมดครับ แล้วก็จะเล่นลิ้นใส่กัน ไม่ sign สักที ก็นั่งอยู่งั้นอะ เพราะว่า บางแผนกเขาต้องได้ budget มาก่อนแล้วบางทีมันมาช้าครับ พอได้งบมาก็เอ้าเชี้ยเอ้ย เงินไม่พองบได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้
ก็เหมือนสั่งกี่ชิ้น กี่วันได้ เสียเท่าไหร่ นั่นแหละหลักการคล้ายกัน รอแทบตายก็เพื่อให้เขาตกลงราคา ตกลงจำนวนให้ได้สักที งานหลายอย่างก็ต้องรอ order ครับ ยอดไม่สั่งงานไม่เดิน โครงการไม่ไปถ้าไม่มีการสรุปแนวทางว่าจะเอายังไง
ถ้าเป็นเด็กจบใหม่ หรือ คนย้ายโปรเจค มันจะมีเวลา หวานเย็น 1-3 เดือนเสมอในการจอยเข้ากับทีมหรือสภาพแวดล้อมใหม่ หรือ ถูก assign งานเข้าไปแล้ว
ถึงจะ บ. ดังแค่ไหน ผมก็ลาออกครับ ผมยอมลาออกไปเพื่อทำงานบริษัทใหม่ที่ดังเหมือนกัน แล้วเอาโปรไฟล์มาประดับใน resume เพราะผมคงไม่หยุดอยู่ที่อะไรเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรให้เติบโตแบบนั้นครับ
เหตุผลลาออกที่ผมให้เสมอ คือ ผมอยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยากท้าทายไปเรื่อยๆ แต่บริษัทไม่ให้งาน ความท้าทายของผมมันตก แล้วยิ่งนานวันมันไม่สนุกครับไฟมันกำลังดับ ผมจะย้ายตัวเองหนีทันที แค่นี้ผมก็มองว่า ใจผมไปแล้วครับ ผมกลัวติดกับดักงานชิวแล้วไม่ได้พัฒนาตัวเอง บางคนทำงานมาเหมือนว่างงานตลอดเวลา แต่พอมารู้ตัวอีกที แก่แล้วอะรู้ไม่ค่อยเยอะ
เวลาไปหางานเขาจะสงสัยนะว่า ที่ผ่านมาคือทำงานมายังไงถึงไม่ค่อยรู้อะไรเลย ก็ว่างไง ว่างจนไม่ได้มีประสบการ์ณ อันตรายนะครับเขามองว่า คุณไม่มีความ motivation อะไรเลยถึงได้อยู่แบบนั้น
ข้อแรก ในระยะยาว คุณจะโดนประเมิณ low performance จากการไม่มีงาน และ จะไม่ถูก layoff เพราะก็ไม่ได้อยากไล่ออก แต่มันคือปัญหาจากการที่ ก็มันไม่มีงาน และ มันก็ไม่มีอะไร ไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่บริษัทที่มีระบบควบคุมและตรวจสอบเวลางานและตารางเวลา คุณจะติดโดยหมายหัวว่า idle ยาวนานเกินไป ดังนั้น คนที่รู้ก็จะพยายามหาโปรเจค หรือ งานเพิ่ม หรือ หาอะไรทำให้มันยังมีการเคลื่อนไหวของตารางงานอยู่
หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่า ยังใช้ระบบลงตารางเวลางานอยู่หรอบริษัทดังอะนะ ก็เพราะมันมีพนักงาน 20000-50000 ทั่วโลกเลยนะบางที รหัสงานหรือรหัสตารางเวลามันจะมาคู่กับชื่อโปรเจคที่ทำ มันจะบอกได้เลยว่ากำไรที่บริษัทได้ไหลเข้ามาเนี้ย มันมาจากแผนกไหน โปรเจคไหน รหัสงานจะเป็นตัวบ่งบอกเองว่าเงินมันเกิดอยู่ที่ไหน พนักงานคนไหนเกี่ยวข้องบ้าง แล้วยังช่วยให้เรามองหาคนที่ไม่มีงานทำเลยผ่านรหัส idle ได้ด้วยครับ CEO บริษัทพวกนี้เขาไม่สามารถดูแลพนักงานได้ทั่วถึงเพราะพนักงานมันเยอะ มันเลยต้องใช้ระบบแบบนี้หละครับ ใคร with out pay ก็รู้ได้ ใครลาป่วย ใครลาพักร้อน ค้นหาด้วยรหัสก็จะรู้หมดเลย
มันเลยต่างจากบริษัทไทยที่ก็ทำงานแบบสั่งจากปากไม่ได้มีการลงตารางเวลาอะไรก็ได้บางที เขาสั่งก็แค่ทำตามเวลาเลิกงานกลับบ้านได้พอใจแล้ว
แล้วปีนั้นทั้งปี คุณทำงานอยู่แค่ 2-3 เดือน แล้ว Ceo มาถามกันเองขำๆ เออคุณทำงานเป็นไง คุณไม่มีอะไรไปพรีเซ้น มันก็เงียบเหงาใช่ไหมหละเหมือนคุณไม่ได้ทำอะไรมากนัก แต่บริษัทใหญ่เขารู้ครับว่าเราว่างงานกี่เดือน ทำงานกี่เดือนผ่านระบบพวกนี้ที่เขาออกแบบขึ้นมาเพื่อช่วยให้ตาม tracking พนักงานได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
KPI ที่ได้จากจุดนี้ คือ บอกเลยว่า เละ!!
ข้อสอง คุณจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะ คุณจะแค่อยู่เฉยอ่านอะไรไปเรื่อย ยังไม่ได้ลุยงานอะไรขนาดนั้น ไม่มีอะไรเพิ่มนั่งหาอ่านอะไรไปเรื่อย จนเบื่อไปเอง ไม่ได้ลงสนามจริงสักทีเป็นสำรองตลอดไป
ข้อสาม ถ้ามันแย่มากคุณจะถูกประเมิณให้ออกเอง เพราะ ก็มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีงาน ตีเป็น performance ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ ไม่มีการตามติดงานนี่แหละครับ ดังนั้น เขาจะไม่ไล่เราออกนะแต่ให้โดนระบบ KPI ดีดเราออกเองจร้า
เพื่อรักษา credit ถ้าไม่พยายามหางานใหม่ในบริษัททำ คุณก็ต้องลาออกเองเพื่อไม่หัวตัวเองติด backlist เพราะว่าคุณว่างงานเกินไป ไม่งั้นจะมีผลต่อการไปสมัครงานที่ต่อไปได้ว่าเขาเห็นเราว่าง อาจจะมองว่าเราขี้เกียจ
ข้อสี่ ถ้างานน้อยแล้วบริษัทกำไรผลประกอบการไม่ดี นั่นคือแย่ครับ ควรหนีหรือรีบสละยานจะดีที่สุด อันนี้หลายบริษัทที่สภาพไม่ดีหรือมีงานน้อยมีคู่แข่งทางการตลาดเยอะ แผนกเซลจะรู้ ถ้างานมีน้อยกว่าคนเยอะมากๆ มันไม่ดีกับภาพรวมขององค์กรณ์
จากประสบการ์ณผม แผนกเซลล์บางทีเขาพูดให้ฟังเลย เขาไปดีลมา คือ มีบริษัทสนใจอยากให้คนของเราไปทำงานให้เขา แต่เขาแค่เปิดเสนอมาให้เราไปขายดูก่อน แล้วมันมี 3-5 เจ้าโดนติดต่อเหมือนกัน เขาก็จะไปเสนอการขายว่าเราจะทำอะไรให้เขาได้บ้าง
แล้วบางที ลูกค้าก็ตัดสินใจเลือกราคาถูกบ้าง หรือ เชื่อในบางอย่างบ้าง งานมันเลยถูกตัดไปก่อน แต่ว่าคนทำงานอะครับมันมี stand by เอาไว้ก่อนเพราะว่า
ถ้าลูกค้า say yes, deal with your idea. phase ต่อไปที่งานส่วนมากจะเป็น คือ รันตาม plan ที่คุยไว้เลย ดังนั้น ถ้าไม่อยากติดปัญหาขาดพนักงานทำงาน หรือ ไป deal งานมาแล้วไม่มีคนทำงาน คือ ซวย เขาเลยจ้างคนมาก่อนให้มันมีคนแน่นอน ที่เหลือคือเซลจะสามารถได้ไหม หรือ บางทีเขาก็มีคนมากเกินไป เช่น ลูกค้าบอกว่า ผมจ้างคนงานจากคุณได้แค่ 10 คน แต่เรามีพนักงาน 15 คนเงี้ย 5 คนก็จะว่าง หน้าที่ของ PM ก็จะต้องทำไงก็ได้ครับให้อีก 5 คนไม่ว่าง ด้วยการหา project ให้ลง
ส่วนนึงมันไม่ใช่ความผิดของพนักงานที่เป็นแรงงานเสมอไปนะที่ว่างงาน แต่มันเป็นความผิดพลาดส่วนนึงของการ manage คนให้เพียงพอต่อการทำงานด้วยครับ มันก็จะมีคนว่างและไม่ว่างสลับวนเวียน
ดังนั้น HR เขาก็จะหาเพื่อเอาไว้ก่อนในระดับที่มันพอเหมาะพอควร
คนที่รู้เรื่องพวกนี้ เขาจะมีวิธีการเตรียมตัว หรือ move ตัวออกอย่างไว ไม่ใช่ปล่อยเฉยๆ รับเงินเดือนฟรี แล้วไม่สนใจอะไร รับเงินเดือนฟรี 1-2 เดือนไม่ใช่ปัญหาครับ อาจจะมีการเล่นลิ้นเซ็นสัญญาระหว่างบริษัท มันปกติของการต่อรองของบริษัทใหญ่ แต่ 3-6 เดือนนี่ไม่ใช่ละครับ
เพราะ บริษัทดังใหญ่ จะคุยและเซ็นสัญญากัน ปีต่อปี หรือ 2 - 5 ปี มันจะคุยแค่ครั้งเดียว ไม่มีมาคุยสองสามครั้ง ดังนั้น การที่มันว่างเกิน 6 เดือน หรือ เลย Q2 Q3 นั่นหมายถึงบริษัทไม่มีดีลงานเพิ่มแล้วครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดช่วงเวลานี้ครับ ไม่งั้นมันจะไม่ทัน Q4 เพราะมันจะเป็นช่วง audit หรือ บัญชีตรวจสอบงบประจำปีเพื่อภาษีและสรุปทุกสิ่งอย่างว่าปีที่ผ่านมาบริษัทเป็นยังไง มันเลยไม่แปลกที่ Q4->Q1 หลายคนจะว่างสักแปปนึง แต่ Q2-Q3 ไม่มีดีลแล้วเซ็นแล้วทำเลยกลัวไม่ทัน กลัว plan เบียด
แล้วที่จะมี slot ให้เราเข้าทำงานก็ คือ มีคนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยย ยานแตก ลาออก สละยานกลางทาง นั่นแหละครับ ตัวสำรองจะกลายเป็นตัวจริง แต่ถ้าบริษัทดันมีแต่ team avenger แม้มไม่ลาออกครับ แม้มสู้ชีวิตจัดเพื่อโบนัส เพื่อเงินเดือน
เป็นการเมืองแบบนึงที่บริษัทดังๆ ใหญ่ๆ จะใช้ระบบ Q1-4 ทั้งหมดครับ แล้วก็จะเล่นลิ้นใส่กัน ไม่ sign สักที ก็นั่งอยู่งั้นอะ เพราะว่า บางแผนกเขาต้องได้ budget มาก่อนแล้วบางทีมันมาช้าครับ พอได้งบมาก็เอ้าเชี้ยเอ้ย เงินไม่พองบได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้
ก็เหมือนสั่งกี่ชิ้น กี่วันได้ เสียเท่าไหร่ นั่นแหละหลักการคล้ายกัน รอแทบตายก็เพื่อให้เขาตกลงราคา ตกลงจำนวนให้ได้สักที งานหลายอย่างก็ต้องรอ order ครับ ยอดไม่สั่งงานไม่เดิน โครงการไม่ไปถ้าไม่มีการสรุปแนวทางว่าจะเอายังไง
ถ้าเป็นเด็กจบใหม่ หรือ คนย้ายโปรเจค มันจะมีเวลา หวานเย็น 1-3 เดือนเสมอในการจอยเข้ากับทีมหรือสภาพแวดล้อมใหม่ หรือ ถูก assign งานเข้าไปแล้ว
ถึงจะ บ. ดังแค่ไหน ผมก็ลาออกครับ ผมยอมลาออกไปเพื่อทำงานบริษัทใหม่ที่ดังเหมือนกัน แล้วเอาโปรไฟล์มาประดับใน resume เพราะผมคงไม่หยุดอยู่ที่อะไรเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรให้เติบโตแบบนั้นครับ
เหตุผลลาออกที่ผมให้เสมอ คือ ผมอยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยากท้าทายไปเรื่อยๆ แต่บริษัทไม่ให้งาน ความท้าทายของผมมันตก แล้วยิ่งนานวันมันไม่สนุกครับไฟมันกำลังดับ ผมจะย้ายตัวเองหนีทันที แค่นี้ผมก็มองว่า ใจผมไปแล้วครับ ผมกลัวติดกับดักงานชิวแล้วไม่ได้พัฒนาตัวเอง บางคนทำงานมาเหมือนว่างงานตลอดเวลา แต่พอมารู้ตัวอีกที แก่แล้วอะรู้ไม่ค่อยเยอะ
เวลาไปหางานเขาจะสงสัยนะว่า ที่ผ่านมาคือทำงานมายังไงถึงไม่ค่อยรู้อะไรเลย ก็ว่างไง ว่างจนไม่ได้มีประสบการ์ณ อันตรายนะครับเขามองว่า คุณไม่มีความ motivation อะไรเลยถึงได้อยู่แบบนั้น
แสดงความคิดเห็น
ทำงานที่บริษัทมาเกือบเดือนแล้ว แต่หัวหน้าไม่มอบหมายงานเลย ปล่อยให้นั่งว่างทั้งวัน ลาออกดีไหม อึดอัดมาก