ศาลาริมน้ำ
ผมเดินทางไปเที่ยวบ้านสวนของเพื่อนที่ต่างจังหวัด คณะเรากอปรด้วยมานพและศิวะที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาตลอด ไม่เคยแยกห่าง และครั้งนี้ก็เช่นกัน
สวนที่เราไปเป็นมรดกตกทอดของปกรณ์ เพื่อนคนเดียวในกลุ่มที่หลังเรียนจบ เขาได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต หันเหตัวเองมาเป็นเกษตรกร แทนที่จะสมัครทำงานในเมืองใหญ่เหมือนคนอื่นๆ
พวกเราไม่ได้โทรมาบอกก่อนล่วงหน้า เพราะอยากเห็นสีหน้าดีใจของปกรณ์เวลาเจอเพื่อนเก่า ด้วยความที่เขาห่างเหินจากกลุ่มมานานทุกคนต่างคิดถึง
แต่ที่สุดแล้วก็ต้องโทรหาเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนาดมาถึงที่แล้วยังไปต่อไม่ถูก คืบก็สวนศอกก็สวน มีหลายขนัดนับไม่ถ้วนเรียงกันเป็นพรึดทั้งสองฟากทาง คือต่อให้ไม่มีไม้ผลก็มีไม้ป่า รกครึ้มไปหมด
เนื่องจากไม่มีป้ายบอกว่าสวนใครเป็นสวนใคร ขืนทะเล่อทะล่าเดินเข้าไปอาจถูกต้อนรับด้วยลูกตะกั่ว ได้ยินเวลาช่วงสูบน้ำเข้าสวน จะมีคนมาเฝ้าเครื่องสูบพร้อมด้วยอาวุธปืนเพื่อป้องกันถูกขโมย
“ฤทธิ์ไกร” เสียงร้องอุทานอย่างตื่นเต้นทางโทรศัพท์ “นั่นนายจริงๆหรือว่ะ คิดถึงเหลือเกิน ว่าจะโทรไปหาหลายเที่ยวแล้ว แต่ไม่รู้เวลาสะดวกนาย เป็นยังไงบ้างเพื่อน ไม่ได้เจอเสียนาน”
พวกเรารู้สึกปิติไปตามๆกันที่ได้ฟังน้ำเสียงยินดีของปกรณ์ แต่จะมายืนรำลึกความหลังกันตรงนี้ก็ใช่ที่ ถึงเราจะจอดรถที่ไหล่ทางและเปิดไฟกระพริบไว้ แต่ยังเกะกะรถที่วิ่งสวนมาอยู่ดี
“เอาไว้มาคุยกันต่อหน้าต่อต่อตาเลยดีกว่าเพื่อน ตอนนี้ฉัน เจ้ามานพและศิวะ เราเลยหลักกิโลเมตรที่24 มาได้ระยะหนึ่ง อยู่หน้าสวนใครก็ไม่รู้ มีต้นมะปราง ระกำ ต้นกล้วยเต็มไปหมด ช่วยบอกทางเข้าสวนนายได้ไหม”
“เอ้า” เสียงปกรณ์บ่งบอกถึงความปราโมทย์ขึ้นไปอีก “จะมาทำไมไม่บอกล่วงหน้า ดีนะฉันไม่ได้เข้าลึกในสวน ถ้ายังงั้นน่ะอับสัญญาณแน่ๆ”
ปกรณ์บอกให้ผมถือสายพูดไปเรื่อยๆกว่าเขาจะหาพวกผมพบ ไม่เกินสามนาทีร่างของเขาก็โผล่มาจากฟากหนึ่งของราวสวน เขายิ้มเห็นฟันขาวตัดกับผิวดำเกรียมมาแต่ไกล
“ร้ายจริงนะ พวกนาย จะมาหากันทั้งทีก็ไม่บอกกันก่อน ฉันจะได้เตรียมตัวต้อนรับให้เต็มที่”
ศาลาริมน้ำ(ตอนเดียว จบในกระทู้) โดย Furryjit
ผมเดินทางไปเที่ยวบ้านสวนของเพื่อนที่ต่างจังหวัด คณะเรากอปรด้วยมานพและศิวะที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาตลอด ไม่เคยแยกห่าง และครั้งนี้ก็เช่นกัน
สวนที่เราไปเป็นมรดกตกทอดของปกรณ์ เพื่อนคนเดียวในกลุ่มที่หลังเรียนจบ เขาได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต หันเหตัวเองมาเป็นเกษตรกร แทนที่จะสมัครทำงานในเมืองใหญ่เหมือนคนอื่นๆ
พวกเราไม่ได้โทรมาบอกก่อนล่วงหน้า เพราะอยากเห็นสีหน้าดีใจของปกรณ์เวลาเจอเพื่อนเก่า ด้วยความที่เขาห่างเหินจากกลุ่มมานานทุกคนต่างคิดถึง
แต่ที่สุดแล้วก็ต้องโทรหาเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนาดมาถึงที่แล้วยังไปต่อไม่ถูก คืบก็สวนศอกก็สวน มีหลายขนัดนับไม่ถ้วนเรียงกันเป็นพรึดทั้งสองฟากทาง คือต่อให้ไม่มีไม้ผลก็มีไม้ป่า รกครึ้มไปหมด
เนื่องจากไม่มีป้ายบอกว่าสวนใครเป็นสวนใคร ขืนทะเล่อทะล่าเดินเข้าไปอาจถูกต้อนรับด้วยลูกตะกั่ว ได้ยินเวลาช่วงสูบน้ำเข้าสวน จะมีคนมาเฝ้าเครื่องสูบพร้อมด้วยอาวุธปืนเพื่อป้องกันถูกขโมย
“ฤทธิ์ไกร” เสียงร้องอุทานอย่างตื่นเต้นทางโทรศัพท์ “นั่นนายจริงๆหรือว่ะ คิดถึงเหลือเกิน ว่าจะโทรไปหาหลายเที่ยวแล้ว แต่ไม่รู้เวลาสะดวกนาย เป็นยังไงบ้างเพื่อน ไม่ได้เจอเสียนาน”
พวกเรารู้สึกปิติไปตามๆกันที่ได้ฟังน้ำเสียงยินดีของปกรณ์ แต่จะมายืนรำลึกความหลังกันตรงนี้ก็ใช่ที่ ถึงเราจะจอดรถที่ไหล่ทางและเปิดไฟกระพริบไว้ แต่ยังเกะกะรถที่วิ่งสวนมาอยู่ดี
“เอาไว้มาคุยกันต่อหน้าต่อต่อตาเลยดีกว่าเพื่อน ตอนนี้ฉัน เจ้ามานพและศิวะ เราเลยหลักกิโลเมตรที่24 มาได้ระยะหนึ่ง อยู่หน้าสวนใครก็ไม่รู้ มีต้นมะปราง ระกำ ต้นกล้วยเต็มไปหมด ช่วยบอกทางเข้าสวนนายได้ไหม”
“เอ้า” เสียงปกรณ์บ่งบอกถึงความปราโมทย์ขึ้นไปอีก “จะมาทำไมไม่บอกล่วงหน้า ดีนะฉันไม่ได้เข้าลึกในสวน ถ้ายังงั้นน่ะอับสัญญาณแน่ๆ”
ปกรณ์บอกให้ผมถือสายพูดไปเรื่อยๆกว่าเขาจะหาพวกผมพบ ไม่เกินสามนาทีร่างของเขาก็โผล่มาจากฟากหนึ่งของราวสวน เขายิ้มเห็นฟันขาวตัดกับผิวดำเกรียมมาแต่ไกล
“ร้ายจริงนะ พวกนาย จะมาหากันทั้งทีก็ไม่บอกกันก่อน ฉันจะได้เตรียมตัวต้อนรับให้เต็มที่”