เราจะส่งเสียงไปยังผู้บริหารอย่างไร หากเราต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เป็นกระบอกเสียงอยู่หลายเวที และมีสิ่งที่อยากจะส่งเสียงอีกเยอะ แต่ไม่มีเวทีให้บุคลากรตัวน้อย ๆ ได้ feedback"

ทำงานมาแล้ว 5 ปีกว่าครับ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เคลมตัวเองว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
------ขอเกลิ่นถึงความเป็นมา ถ้าไม่สนใจ ข้ามไปเนื้อหาจริง ๆ ด้านล่างได้เลยครับ-------

ในองค์กรใหญ่ ๆ ก็จะมีหน่วยงานย่อย ๆ หลายองค์กร ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยก็คงเรียกเป็นคณะนั้นคณะนี้ คณะที่ผมอยู่เป็นส่วนงานหนึ่งที่เพิ่งตั้งไข่ครับ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเพิ่งกำหนดให้การรับสมัครบุคลากรใหม่ต้องมีคะแนน TOEIC ไม่ต่ำกว่า 400 ในการสมัครงาน ส่วนรุ่นที่เข้างานก่อนหน้านั้น ก็ทำต่อไป ไม่มีผลอะไรครับ

ซึ่งผมเป็นรุ่นแรกของส่วนงานเลย ที่ต้องแนบคะแนน TOEIC 400 พร้อมใบสมัครถึงจะพิจารณาใบสมัคร แล้วผมก็สมัครเข้ามาและทำงานมาแล้ว 5 ปีครับ
5 ปีมันมากพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในองค์กร เห็นคนเข้า เห็นคนออกมาหลายคน เห็นปัญหา เห็นความสำเร็จมาด้วยกัน (แต่จะหนักไปทางปัญหา) แต่มีปัญหาเป็นเรื่องปกติครับ ทุกที่มีปัญหา แต่ปัญหามันควรได้รับการแก้ไขถูกใหมครับ มันถึงจะทำงานไปได้อย่างราบรื่น ถ้าคาราคาซังไปนาน ๆ เข้า มันก็ไม่จบไม่สิ้นซักที

ผมเป็นหนึ่งคนที่กล้าสื่อสาร กล้าพูดในที่ปะชุมชน และพยายามที่จะพูดอย่างสร้างสรรค์ แม้ว่าสิ่งที่พูดมันจะไปเสียดแทงคนบางกลุ่มเข้า แต่ปัญหามันมาจากกลุ่มนั้นจริง ๆ ไม่พูดมันจะแก้ไขได้อย่างไร ? ในมหาวิทยาลัย มันมีบุคลากรอยู่ 2-3 กลุ่มแหละครับ คือ
1. สายสนับสนุน = คือ back office ทั้งหมด ธุรการ ช่างเทคนิค การเงิน พัสดุ วิศวกร บลา ๆๆ
2. สายวิชาการ = คือ อาจารย์ทั้งหมดที่จบปริญญาเอก ผู้ช่วยอาจารย์ก็ถือว่าเป็นอาจารย์คนนึง เพราะทำงานสอน ปรับปรุงหลักสูตรไม่แตกต่างจากอาจารย์คนนึงเลย แต่ผู้ช่วยอาจารย์คือคนที่จบถึงแค่ปริญญาโท เงินเดือนก็จะน้อยกว่าด้วย แต่มหาวิทยาลัยนี้ จัดกลุ่มผู้ช่วยอาจารย์เป็น "สายสนับสนุน"

ส่วนผู้บริหาร ค้าคือระดับบริหาร บางคนก็มีงานสอนบ้างประปราย บางคนก็เป็น ศาสตราจารย์ บางคนก็ รศ ผศ ลดหลั่นกันลงมาตามระดับความยากของการขอตำแหน่งทางวิชาการ เลยไม่รู้จะจัดเป็นสายไหนกันแน่ สอนก็สอน บริหารก็ต้องบริหาร

ความเป็นมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบ แล้วภายใต้การบริหารประเทศในยุคนี้ ทำให้งบประมาณแผ่นดินที่มาสนับสนุนลดลงเรื่อย ๆ มหาวิทยาลัยเลยต้องดิ้นรนเพื่อหารายได้ด้วยตนเอง จากการบริการวิชาการ การรับจ้างวิจัยจากแหล่งทุนต่าง ๆ งบประมาณสนับสนุนอันน้อยนิดจากภาครัฐเพื่อการวิจัย บลา ๆ ทำให้เมื่อส่วนกลางรับงบประมาณมา ก็จะต้องมาจัดลำกับความสำคัญของการใช้เงินแต่ละส่วนงานย่อย แล้วจึงแบ่งสันปันส่วนลงมาเรื่อย ๆ ตามหน่วยงานย่อยต่าง ๆ

อารมณ์เหมือนมหาวิทยาลัยเป็นประเทศประเทศหนึ่ง ที่มีงบประมาณ แล้วต้องมาแบ่งให้กระทรวงนั้น กระทรวงนี้ อันนี้ก็เหมือนกัน ต้องมาแบ่งให้คณะนั้น คณะนี้อีกที คณบดี หรือผู้บริหารส่วนงาน ก็ต้องมาจัดลำดับความสำคัญ แล้วหั่นงบที่ส่วนงานได้รับ ซอยย่อยส่งให้แผนกต่าง ๆ อีกครั้ง อารมณ์ประมาณกระทรวงแบ่งเงินให้กรมต่าง ๆ

อุปสรรคของการทำงานในระบบราชการ คือ 'ความคล่องตัว' ด้วยความเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ระเบียบการใช้เงินจึงล้อตามระเบียบกระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐทำยังไง หน่วยงานในกำกับของรัฐก็ทำอย่างนั้นเลย ไม่เหมือนกันนะครับ หน่วยงานของรัฐ รัฐสนับสนุนทุกบาททุกสตางค์ ทั้งเงินเดือนและงบประมาณ แต่หน่วยงานในกำกับของรัฐ คือรัฐออกให้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

--------เข้าสู่เนื้อหาจริง ๆ ---------

เวลาจะใช้เงินจึงต้องทำเป็นแผนล่วงหน้า 1 ปีบ้าง 2 ปีบ้าง แล้วคงเคยเห็นกันใช่ใหมครับ ที่เค้าอบรมกันบ่อย ๆ อ่ะ หน่วยงานราชการจะชอบอบรมกัน แต่รู้อะไรใหมครับ องค์กรของผม อบรมเสร็จ ก็สบัดตูดหนี แยกย้ายกันกลับไปทำงาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น องค์ความรู้ที่ได้รับ ไม่มีการเอามาปรับใช้ในองค์กร ไม่ impact ใด ๆ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง...

ในการประชุม ผมพยายามสรุปเนื้อหาที่ผมอบรม แล้วไปเสนอในที่ประชุม หลายครั้งมันก็เงียบหายไปในอากาศ
มีอีกกรณี มีหน่วยงานภายนอกมาเช่าห้องประชุมจัดงาน miss grand ถึงเที่ยงคืน ในวันเสาร์หรืออาทิตย์ ระเบียบบอกว่า บุคลากรสามารถเบิกค่า OT ได้ถึงเพียง 2 ทุ่ม ในเรทที่กำหนด แล้ว 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืน ทำยังไงหน่ะหรอ ทำงานฟรีไง... ผมก็เป็นกระบอกเสียงให้เพื่อนร่วมงาน เพื่อถามคนบริหารว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร มันขัดแย้งกัน ระหว่างระเบียบ กับการทำงานจริง

อุปสรรคของงานราชการคือความคล่องตัวจริง ๆ ไม่แปลกที่เค้าจะด่าแล้วด่าอีก มันเป็นเพราะระบบจริง ๆ ครับ ผมไม่ได้อยากจะช้าเลย แต่ระบบไม่เอื้อจริง ๆ

ที่นี้มาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างบ้าง วงเงินเกิน 5 แสนก็ต้อง e-bidding ใช่ใหมครับ แล้วก็ทำสัญญา ถ้าทำไม่ทันตามสัญญา ก็ต้องโดนปรับเป็นเปอร์เซนกันไป พอช่างจะทำไม่ทันก็เร่งรัดเค้าตามระบบ พอเสร็จไม่ทันก็ปรับ โอเค ถ้าช้าเพราะเค้าบริหารจัดการได้ไม่ดีเอง ก็ต้องตามนั้น แต่ทีนี้พอเค้าทำเสร็จตามสัญญา ถึงเวลาเบิกเงิน เบิกให้เขาช้ามาาากกกกกกกก ผู้รับเหมาปรับมหาลัยได้ใหมครับ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีกำหนดที่แน่นอน ว่าต้องจ่ายผู้รับเหมาภายในกี่วัน ล่าสุด งานหลัก 10 ล้าน ดองเงินงวดสุดท้ายไว้ 6 เดือนแล้ว ไม่จ่ายเค้าซักที ยังไม่ได้ตรวจรับงวดสุดท้ายเลย เหตุผลเพราะอยู่ระหว่างแก้ไขสัญญา ถามว่าทำไมถึงแก้ เพราะกรรมการตรวจรับพิจารณาปรับแก้แบบก่อสร้างใหม่ ให้ทันสมัย สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และวัสดุที่ดีกว่าเดิมที่มีการพัฒนาล้ำหน้าไปแล้ว เลยขอเปลี่ยน แล้วการเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่มันดีกว่าแน่นอน ถามว่าเป็นเงินกี่บาท ตอบ 105 บาท !!! แก้ไขสัญญาครึ่งปี แล้ว 105 บาทนี้ผู้รับเหมาก็ไม่ได้จะคิดเพิ่มด้วยนะ โอ้โหห ผมช็อคมาก

ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ แผนกผมเจอประจำ ผู้รับเหมาต่างขยาดที่จะร่วมงานกับเรา ถ้าเขาไม่ร้อนเงิน หรือต้องการงานจริง ๆ เขาจะไม่มี bid งานของเราเลย เลยหาคู่ค้ายากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งดำเนินงานต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ยิ่งยากขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ แล้วกระบวนการ e-bidding นะ แข่งราคา ใคร bid ต่ำสุด คนนั้นได้งาน แล้วพอ bid ต่ำ เพื่อให้ได้งานมาก่อน ตัวเองขาดสภาพคล่อง งานมีปัญหา ทิ้งงานกันไปอีก เยอะมากครับ

สิ่งเหล่านี้ผมส่งเสียงไปยังระดับบริหารขั้นต้นแล้ว และกำลังคิดว่าจะนำเข้าที่ประชุมบุคลากร ให้ทุกคนรับรู้ ว่าองค์กรเรามีปัญหา และสายสนับสนุนอย่างผมกำลังเผชิญปัญหาแบบนี้อยู่ ระดับบริหารไม่เคยจะลงมารับรู้ หรือจัดการสิ่งเหล่านี้เลย แล้วมันจะพัฒนาได้อย่างไร

สุดท้ายนี้ ผมอยากสอบถามจากประสบการณ์ของเพื่อน ๆ ชาว Pantip ครับ ในองค์กรของทุกท่าน ต่างก็มีปัญหา
องค์กรจัดช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะอย่างไร ?
องค์กรตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของท่านหรือไม่ และอย่างไร ผ่านช่องทางใด ?
ถ้าท่านเป็นผู้บริหาร ท่านมีแนวทางแก้ไขปัญหาขององค์กรอย่างไร ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่