ลองเปรียบเทียบระหว่าง
เงินเฟ้อ 10 % ต่อปี กับ GDP โตต่อปี หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว 10 %
กับ
เงินเฟ้อ 2 % ต่อปี กับ GDP โตต่อปี หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว 2 %
อย่างไหนดีกว่ากัน
ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยต้องทำลายกำแพงวินัยทางการคลังที่ใช้อยู่ตอนนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตร้อนแรงกว่านี้ พอเศรษฐกิจโต คนมีรายได้ ความเหลื่อมล้ำลด ทุกอย่างก็ลงตัวเอง เช่น การกดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก หรือ ตั้งงบประมาณขาดดุล ไว้ที่ 10 % ของ GDP เป็นระยะเวลานานๆ เพื่อใช้จ่ายลงทุนในด้านต่างๆเช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การรักษาพยาบาล อุตสาหกรรม ให้ได้มากที่สุด เพื่อปั๊มตัวเลข GDP และ การจ้างงาน และการให้ เอกชนในประเทศเขาถึงแหล่งเงินกู้ต่างประเทศได้ง่ายๆกว่านี้ การที่ประเทศไทยมีหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศ สัก 50 % อาจจะทำให้สภาพเศรษฐกิจและสังคมดีกว่านี้ ค่าเงินบาท อาจจะอ่อนจนอยู่ที่ 80 บาท แต่ คนจนก็ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนคนรวยเสียประโยชน์เพราะความมั่งคั่งในสกุลเงินดอลลาร์ที่ตุนไว้เยอะๆน้อยลง
สรุปตัวเลขดังนี้
- ดอกเบี้ยนโยบาย 0 %
- ค่าเงิน 80 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ
- เลิกประกาศตัวเลขเงินเฟ้อไปเลยได้ยิ่งดี ไม่ต้องสนใจเงินเฟ้อ ขอให้ GDP และ รายได้ต่อหัว รวมถึงตัวชี้วัดทางด้านสังคมอื่นๆดีขึ้นพอ
- ไม่ต้องสนใจหนี้สาธารณะ ถ้าเศรษฐกิจโต หนี้ครัวเรือนลดลงยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้ว
- หนี้สกุลเงินต่างประเทศ 50 % ของ GDP (การลงทุนการบริโภคในประเทศสูง แต่เงินออมต่ำ เพราะดอกเบี้ยน้อย คนเสียประโยชน์คือพวกบรรดาธนาคารสัญชาติไทยทั้งหลาย ที่หากินกับความเดือดร้อนของประชาชน)
- ธนาคารกลางขึ้นตรงกับรัฐบาล นโยบายทางการคลังทุกอย่างต้องเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีโดยตรง
ถ้าถามว่าจะเป็นเหมือน ตอนปี 40 ไม่ ก็อาจจะไม่ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเศรษฐกิจตอนนั้น ถ้าเศรษฐกิจเรายังคงพึ่งแต่ท่องเที่ยวและภาคบริการนอกระบบมูลค่าต่ำ อย่าง วินมอไซค์รับจ้าง หรือ หมอนวดในซ่อง อุตสาหกรรมพื้นฐานอย่าง เหล็กกล้า หรือ ปุ๋ย แทบไม่มี ก็น่าจะลำบาก ดูอย่างตุรกี เป็นเหมิอนที่กล่าวไปข้างต้นทุกประการ แต่ ศก. ก็เติบโตได้ดี อุตสาหกรรมดี โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมอาวุธที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศได้มากมาย หรือ แม้แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ เขาก็มี รถ EV แบรนด์ตัวเองแล้วด้วย แบบที่ไม่ใช่กะโหลกกะลาเหมือน vinfast ด้วย และบ้านเมิองสงบเรียบร้อยดี ใครเคยไปเที่ยวจะรู้ เหมือนยุโรปเกือบทุกอย่าง ทั้งๆที่เงินเฟ้อสูงมาก
ฉีกตำราเศรษฐศาสตร์ : การทำลายวินัยทางการคลังเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มความเท่าเทียมกันในสังคม
เงินเฟ้อ 10 % ต่อปี กับ GDP โตต่อปี หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว 10 %
กับ
เงินเฟ้อ 2 % ต่อปี กับ GDP โตต่อปี หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว 2 %
อย่างไหนดีกว่ากัน
ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยต้องทำลายกำแพงวินัยทางการคลังที่ใช้อยู่ตอนนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตร้อนแรงกว่านี้ พอเศรษฐกิจโต คนมีรายได้ ความเหลื่อมล้ำลด ทุกอย่างก็ลงตัวเอง เช่น การกดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก หรือ ตั้งงบประมาณขาดดุล ไว้ที่ 10 % ของ GDP เป็นระยะเวลานานๆ เพื่อใช้จ่ายลงทุนในด้านต่างๆเช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การรักษาพยาบาล อุตสาหกรรม ให้ได้มากที่สุด เพื่อปั๊มตัวเลข GDP และ การจ้างงาน และการให้ เอกชนในประเทศเขาถึงแหล่งเงินกู้ต่างประเทศได้ง่ายๆกว่านี้ การที่ประเทศไทยมีหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศ สัก 50 % อาจจะทำให้สภาพเศรษฐกิจและสังคมดีกว่านี้ ค่าเงินบาท อาจจะอ่อนจนอยู่ที่ 80 บาท แต่ คนจนก็ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนคนรวยเสียประโยชน์เพราะความมั่งคั่งในสกุลเงินดอลลาร์ที่ตุนไว้เยอะๆน้อยลง
สรุปตัวเลขดังนี้
- ดอกเบี้ยนโยบาย 0 %
- ค่าเงิน 80 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ
- เลิกประกาศตัวเลขเงินเฟ้อไปเลยได้ยิ่งดี ไม่ต้องสนใจเงินเฟ้อ ขอให้ GDP และ รายได้ต่อหัว รวมถึงตัวชี้วัดทางด้านสังคมอื่นๆดีขึ้นพอ
- ไม่ต้องสนใจหนี้สาธารณะ ถ้าเศรษฐกิจโต หนี้ครัวเรือนลดลงยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้ว
- หนี้สกุลเงินต่างประเทศ 50 % ของ GDP (การลงทุนการบริโภคในประเทศสูง แต่เงินออมต่ำ เพราะดอกเบี้ยน้อย คนเสียประโยชน์คือพวกบรรดาธนาคารสัญชาติไทยทั้งหลาย ที่หากินกับความเดือดร้อนของประชาชน)
- ธนาคารกลางขึ้นตรงกับรัฐบาล นโยบายทางการคลังทุกอย่างต้องเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีโดยตรง
ถ้าถามว่าจะเป็นเหมือน ตอนปี 40 ไม่ ก็อาจจะไม่ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเศรษฐกิจตอนนั้น ถ้าเศรษฐกิจเรายังคงพึ่งแต่ท่องเที่ยวและภาคบริการนอกระบบมูลค่าต่ำ อย่าง วินมอไซค์รับจ้าง หรือ หมอนวดในซ่อง อุตสาหกรรมพื้นฐานอย่าง เหล็กกล้า หรือ ปุ๋ย แทบไม่มี ก็น่าจะลำบาก ดูอย่างตุรกี เป็นเหมิอนที่กล่าวไปข้างต้นทุกประการ แต่ ศก. ก็เติบโตได้ดี อุตสาหกรรมดี โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมอาวุธที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศได้มากมาย หรือ แม้แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ เขาก็มี รถ EV แบรนด์ตัวเองแล้วด้วย แบบที่ไม่ใช่กะโหลกกะลาเหมือน vinfast ด้วย และบ้านเมิองสงบเรียบร้อยดี ใครเคยไปเที่ยวจะรู้ เหมือนยุโรปเกือบทุกอย่าง ทั้งๆที่เงินเฟ้อสูงมาก