JJNY : 5in1 หนี้ครัวเรือน โคม่า!│ดองพ.ร.บ.อากาศสะอาด│ก้าวไกลร่วมกิจกรรม│ม็อบ‘หมอสุภัทร’ยันค้างคืน│นาโตเร่งผลิตอาวุธ

หนี้ครัวเรือน โคม่า! 10 ปีผ่าน พุ่ง 30% ไตรมาส 3/65 ทะลุ 86.8% ต่อจีดีพี เกินเบอร์เฝ้าระวัง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3823949
 
 
หนี้ครัวเรือน โคม่า! 10 ปีผ่านพุ่ง 30% Q3/65 ทะลุ 86.8% ต่อจีดีพี เกินเบอร์เฝ้าระวังแล้ว
 
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ว่า ปัญหานี้ครัวเรือนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ขยับเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากระดับ 59.3% ในปี 2553 โดยปี 2565 ในไตรมาส 3/2565 ตัวเลขอยู่ที่ 86.8% ต่อจีดีพี ขยายตัวจากปี 2564 ที่ระดับ 90.1% ต่อจีดีพี และปี 2563 อยู่ที่ 89.7% ต่อจีดีพี หลังเผชิญการแพร่ระบาดโควิด เศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่อง หนี้ส่วนบุคคลและหนี้เกษตรกรโตเร็ว รวมถึงการทำนโยบายพักหนี้ทำให้หนี้ไม่ลดลง อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวที่ยังไม่มากพอที่จะทำให้ระดับหนี้กลับสู่จุดที่มีเสถียรภาพได้ จึงคาดว่าปี 2570 หนี้ครัวเรือนอาจอยู่ระดับ 84% ต่อจีดีพี
 
หาก ธปท.ไม่มีมาตรการเข้าช่วยเหลือ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าระดับหนี้ครัวเรือนที่กำหนดโดยธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (บีไอเอส) ระบุระดับหนี้ครัวเรือนแต่ละประเทศที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ที่ 80% ต่อจีดีพี หากมีระดับที่สูงกว่านี้อาจส่งผลทำให้ฉุดหลังการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว” นางสาวสุวรรณี กล่าว
 
ทั้ง สาเหตุที่ทำให้หนี้ครัวเรือนมีผลต่อเศรษฐกิจเนื่องจาก 3 สาเหตุ 
1. ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นหนี้ เมื่อมีรายได้ในรูปแบบเงินเดือนออกมาจะถูกหักเพื่อไปใช้หนี้จนหมด แทนที่จะถูกนำไปใช้จ่าย เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 
2. เสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ หากมีลูกหนี้จำนวนมากชำระหนี้ไม่ได้พร้อมกันอาจกระทบต่อฐานะของเจ้าหนี้ปัญหาหนี้เสียอาจจะลุกลาม และ 3. อาจเกิดปัญหาอื่นๆ ในแง่ของชีวิตและทรัพย์สินของสังคม เสี่ยงเกิดปัญหาอาชญากรรม

นางสาวสุวรรณี กล่าวว่า ธปท.ได้สรุปผลการดำเนินการแก้หนี้ผ่านมาตรการที่ผ่านมา โดยภาพรวมการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ครัวเรือนและธุรกิจ ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565 รวม 3.95 ล้านบัญชี จำนวน 2.98 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ 1.58 ล้านบัญชี 1.89 ล้านล้านบาท และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 2.37 ล้านบัญชี 1.09 ล้านล้านบาท
 
ซึ่งโครงการแก้หนี้เดิมผ่านการช่วยเหลือ ธปท. โดยโครงการคลินิกแก้หนี้ ช่วยเหลือสะสมตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2560 – 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 102,647 ล้านบัญชี คิดเป็น 85% ของจำนวนผู้เข้าเงื่อนไข โครงการพักทรัพย์พักหนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 437 ราย มูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอน 63,620 ล้านบาท ขณะที่ช่องทางการช่วยเหลือผ่านทางด่วนแก้หนี้ สะสมตั้งแต่ 1 เมษายน 2563 – 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 279,659 บัญชี คิดเป็น 74% ของจำนวนผู้เข้าเงื่อนไข
 
ขณะเดียวกัน การให้สินเชื่อใหม่ รวมทั้งสิ้น 137,462 ราย ยอด 348,897 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อฟื้นฟู 59,675 ราย 210,697 ล้านบาท โดยสัดส่วน 37.5% กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี (วงเงินมากกว่า 5 – 50 ล้านบาท) สัดส่วน 68% กลุ่มประกอบธุรกิจพาณิชย์และบริการ สัดส่วน 69.9% ลูกหนี้อยู่ในต่างจังหวัด
 
และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) (ปิดรับคำขอ 12 เมษายน 2564) จำนวน 77,787 ราย 138,200 ล้านบาท โดยสัดส่วน 37.5% กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี (วงเงินมากกว่า 5 – 50 ล้านบาท) สัดส่วน 64.9% กลุ่มประกอบธุรกิจพาณิชย์และบริการ สัดส่วน 68.2% ลูกหนี้อยู่ในต่างจังหวัด



‘เพื่อไทย’ อัดรัฐบาลตั้ง กก.หลายคณะ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ ดอง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ตั้งใจแก้ฝุ่นจริง?
https://www.matichon.co.th/politics/news_3823381

‘เพื่อไทย’ เสนอ 6 ทางออกแก้ PM2.5 ห้ามเผาป่า-เปลี่ยนรถเมล์ เป็นรถไฟฟ้า ผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด
 
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดเสวนาวิกฤตฝุ่น PM2.5 เพื่อไทยมีทางแก้ไข โดย นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ กล่าวว่า  ปัญหาฝุ่น PM2.5 เกิดมาอย่างยาวนาน วันนี้ จ.เชียงใหม่ มีค่าฝุ่นที่เป็นอันตรายติดอันดับ 4 ของโลก กรุงเทพฯติดอันดับ 34 ของโลก และ 3 ปีก่อนติดอันดับ 1 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่ไม่น่าภาคภูมิใจ ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการเกษตร
 
นายจักรพลกล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ยื่นกระทู้สดถามต่อรัฐบาลแต่กลับไม่มีผู้มาตอบถึง 3 ครั้ง จึงได้ฉีกเอกสารการตั้งกระทู้เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงความไม่สนใจของรัฐบาล และที่ผ่านมาเมื่อต้นปี 2564 ได้ยื่นคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน แล้วเสร็จถึง 3 คณะ กระทั่งวันที่ 27 มกราคม 2565 ได้ยื่นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาดผ่านไป 400 วันแล้ว ยังไปไม่ถึงไหน หลายฉบับก่อนหน้านี้มีการตีตก เหลือฉบับของพรรค พท.ที่ค้างในรัฐสภาในส่วนนิติบัญญัติ
 
อยากจะมาทวงถามความตั้งใจ ความจริงใจของรัฐบาล ตลอดจนการใช้งบประมาณในการแก้ปัญหานี้ เมื่อเทียบกับชีวิตคนไทยที่สูญเสียไป เพราะ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน คือสิทธินับแต่คลอดจากครรภ์มารดาที่ควรให้ความสำคัญ และ พ.ร.บ.นี้ได้รีดไขมันส่วนเกินไปแล้ว ไม่มีการคาบเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การเงิน สิ่งแวดล้อม ตอนนี้ปัญหาส่วนหนึ่งนอกจากการเผาแล้ว ยังมีปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน ถ้าไม่ตั้งภาคีความร่วมมือแก้ปัญหาระหว่างประเทศปัญหานี้จะไม่หมดไป และอยากให้ลองมองดีๆ ว่าปัญหาอยู่ที่การเผาอ้อย เผาฟางข้าวใช่หรือไม่ หรืออยู่ที่เจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่ว่าเผาเพื่ออะไร ถ้าไม่เผางบจะตกไปใช่หรือไม่” นายจักรพลกล่าว
 
ด้าน นพ.ญาณกิตติ์ ห่วงทรัพย์ ผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. กล่าวว่า PM2.5 สามารถแทรกซึมได้ผ่านทางลมหายใจ คนที่เป็นภูมิแพ้จะมีน้ำมูกไหล ไปจนถึงเลือดกำเดาไหล ผ่านเข้าปอด เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจ สมอง สามารถทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรืออักเสบ และสามารถเสียชีวิตได้ทันที ปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิต 30,000 คนต่อปี ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท
 
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีการทำวิจัยว่าประชาชนพร้อมจ่าย 2 ล้านล้านบาท เพื่อให้รัฐบาทแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะแก้แน่นอน ผมมองว่าสิ่งที่สามารถทำได้ตอนนี้คือกระทรวงคมนาคมสามารถเปลี่ยนรถเมล์เก่าเป็นรถเมล์ใหม่ทั้งหมด พร้อมสนับสนุนการใช้รถ EV ให้เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงการใช้เงินอุดหนุนช่วยเหลือประชาชนที่ใช้รถยนต์ดีเซลให้สามารถเปลี่ยนมาใช้รถที่ลดการปล่อยฝุ่นควันได้” นพ.ญาณกิตติ์กล่าว
 
นพ.ญาณกิตติ์กล่าวต่อว่า วันนี้รัฐบาลยังไม่สนใจแก้ปัญหาอากาศอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีการเสนอ พ.ร.บ.อากาศสะอาด เป็นวาระแห่งชาติหลายครั้ง ขอเน้นย้ำให้ทำเพื่อคนจริงๆ งดการจัดตั้งกรรมการหลายคณะ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยต้องอาศัยความจริงใจของผู้ควบคุมกฎหมายด้วย
 
ขณะที่ นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรค พท. กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาเรื้อรังในประเทศไทย การแก้ไขปัญหาจึงต้องทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของปัญหาก่อน โดยพบว่าฝุ่น PM2.5 มาจากยานพาหนะ 54% การเผาในที่แจ้ง 35% และจากโรงงานและการก่อสร้าง 11% ทั้งนี้ ฝุ่นพิษเหล่านี้เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองส่วนใหญ่ตลอดทั้งปี แต่ในบางช่วงของปี เช่น ฤดูหนาว หรือช่วงฟ้าปิด การถ่ายเทมลพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเกิดขึ้นยากขึ้น ฝุ่นจึงคลุ้งอยู่ในระดับความสูงที่ใกล้ชิดกับบริเวณที่ใช้ชีวิตประจำวัน ในพื้นที่เมืองยังมีฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม และยานพาหนะอยู่แล้ว แต่เมื่ออากาศเปิด มีการถ่ายเทดี ปัญหาเหล่านี้จึงจับต้องไม่ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ในส่วนของสภาพอากาศจากฤดูกาลเป็นเรื่องที่บริหารจัดการได้ยาก แต่เราต้องมีทางออกในการจัดการกับฝุ่นที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปี

ดังนั้น จึงขอเสนอแนวทางในการจีดการฝุ่นเมือง 3 วิธี ได้แก่ 1.ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะใน กทม.ไปพร้อมกับการเจรจาลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 2.การผลักดันการใช้รถระบบไฟฟ้า (รถอีวี) และ 3.ส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการลงทุนในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าทั้งจากการลงทุนของต่างชาติ และภายในประเทศ ต้นเหตุของฝุ่นในเมือง หลักๆ มาจากระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งควรแก้ไขได้ก่อนและทำได้ทันที รวมทั้งตรวจจับการปล่อยควันดำและโรงงานอุตสาหกรรมด้วย
 
ระยะกลางต้องผลักดันการเข้าถึงรถยนต์สาธารณะได้โดยง่ายและราคาถูก ระยะยาวคือ สนับสนุนการผลิตรถอีวี ซึ่งในเรื่องนี้หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถเจรจาและผลักดัน สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนได้” นายชนินทร์กล่าว
 
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรค พท. กล่าวว่า วิกฤตฝุ่น PM2.5 พท.มีทางแก้ไข โดยวิกฤต PM2.5 ใน 6 ด้านได้แก่ 1.ห้ามเผาป่า เผาไร่จริงจัง 2.เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านและเอกชนไทย ห้ามเผาไร่จริงจัง 3.เปลี่ยนรถเมล์ กทม.หลายพันคันเป็นรถไฟฟ้าโดยเร็วที่สุด 4.เข้มรถปล่อยควัน โรงงานปล่อยมลพิษไซต์งานก่อสร้าง 5.ทำไทยเป็นศูนย์ผลิตรถไฟฟ้า ดันราคาลง คนใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น และ 6.ผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด



ครูธัญ นำ ส.ส. ก้าวไกลร่วมกิจกรรมจดแจ้งสมรสเพศหลากหลาย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_500715/

ครูธัญ นำ ส.ส. ก้าวไกลร่วมกิจกรรมจดแจ้งสมรสเพศหลากหลายเขตป้อมปราบฯ ชี้เป็นสัญญาณดี สะท้อนสังคมไทยพร้อมนานแล้วสำหรับสมรสเท่าเทียม ขออย่าหมดหวังแม้สมรสเท่าเทียมไม่ทันสภาชุดนี้ รัฐธรรมนูญเปิดช่องรัฐบาลใหม่นำร่างที่ค้างอยู่กลับมาได้ใน 60 วัน ไม่ต้องเริ่มใหม่
 
นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล และนายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรม “รักแท้ไม่แพ้พ่าย” ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
 
โดยนายธัญวัจน์ ระบุว่า แม้การจัดงานในวันนี้อาจมีความเห็นที่แตกต่างกันไป บางส่วนเห็นว่าเป็นการจดแจ้งที่ไม่มีผลตามกฎหมายและไม่ทำให้ได้อะไรขึ้นมา แต่ตนคิดว่าอย่างน้อยที่สุด ทำให้เห็นว่าสังคมไทยมีฉันทามติระดับหนึ่งแล้วว่าการสมรสเท่าเทียมควรต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยเสียที โดยเฉพาะจากการตอบรับโดยหน่วยงานราชการ ที่มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศ
 
และเปิดพื้นที่ให้บุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศได้แสดงตัวตน ก็ถือว่าเป็นพลวัตในการเปลี่ยนแปลงและเป็นพลังในการขับเคลื่อนที่เป็นด้านบวก แม้วันนี้จะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าร่างกฎหมายนี้ไม่อาจได้รับการพิจารณาให้ทันในวาระของสภาชุดปัจจุบัน และร่างกฎหมายดังกล่าวจะต้องตกไปแน่ ๆ แต่ตนก็อยากให้ประชาชนทุกคนยังคงมีความหวังขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป ที่ผ่านมากฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านการเดินทางมาเป็นเวลาถึง 972 วัน
 
ผ่านทั้งการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ และแม้จะถูกสกัดกั้นโดยคณะรัฐมนตรีที่ขอนำไปศึกษาเป็นเวลาถึง 60 วันในช่วงเดือนก.พ.65 แต่ก็ผ่านวาระหนึ่งมาได้ ทำให้เห็นว่าสมรสเท่าเทียมไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และเราก็กำลังเข้าใกล้ความจริงขึ้นทุกขณะ จากทั้งการขับเคลื่อนของประชาชนและพรรคการเมืองในสภาเองซึ่งการตกไปของร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในสภาชุดนี้ ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่