.
โดย : ชลัน
๑๕
___________________________
วันเวลาผ่านไปสามปี พี่ใหญ่หายเป็นปกติ กลับมาทำงานได้ดังเดิม โชคดีที่ไม่มีสิ่งไหนสึกหรอ แม้ช่วงกลับออกมาพักฟื้นที่บ้านจะต้องทำกายภาพบำบัดเกือบปีก็ตาม ทว่าพี่ใหญ่ก็หายดี นับเป็นความโชคดีของครอบครัวเรา
เรื่องที่พี่ทีรุฒน์พูดกับฉันเมื่อสามปีก่อนที่โรงพยาบาล มันยังไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นเงียบ ๆ ไปแล้วฉันก็ไม่แน่ใจ ทว่าก็ยังเห็นพี่อุ่นไปไหนมาไหนด้วยกัน นั่นแสดงว่ายังไม่เกิดขึ้น ฉันอุ่นใจและสบายใจมาก
ฉันพูดจริง ๆ หากเขาทำอย่างนั้นจริง ฉันก็จะลาออกโดยเร็ว โชคดีที่พี่ทีรุฒน์ไม่ได้ทำอย่างที่พูด ฉันจึงยังคงทำงานอยู่ที่เดิมด้วยความสบายใจ เรายังคุยกันสนิทกันเหมือนเดิม ซ่อนความรู้สึกที่มีต่อกันเอาไว้ข้างในให้ลึกที่สุด
ปีนี้กัญญากับนายภีมเรียนอยู่ชั้นปี 4 เทอมสุดท้าย กำลังฝึกงาน คุณแม่กับพี่ใหญ่บังคับให้หางานทำที่บ้านเหมือนกับฉัน ฉันรู้ว่าที่คุณแม่บังคับเพราะกลัวเรื่องของกัญญากับนายภีมมันจะเกิดขึ้น และควบคุมได้ยาก
กัญญาขอไปทำงานที่กรุงเทพ คุณแม่ไม่อนุญาต ยังไงก็ไม่ยอม ต้องทำงานแถวบ้านเท่านั้น ส่วนเรื่องเดินทางไม่ต้องลำบากเลย คุณแม่จะถอยรถยนต์ให้อย่างฉัน เป็นของขวัญวันเรียนจบ คงอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลมกับนายภีม คุณแม่ลืมไปว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากพวกเขาจะแหกกฎก็ย่อมทำได้
ระยะนี้นายภีมแสดงออกชัดมากขึ้น ในความสัมพันธ์กับกัญญา คุณแม่ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ ส่วนพี่ใหญ่เบาลงบ้างแล้วสำหรับเรื่องของทั้งสอง เพราะในช่วงตอนที่พี่ใหญ่ป่วย ส่วนหนึ่งก็ได้นายภีมคอยดูแล เวลาที่เขามีเวลาว่างก็จะมาเยี่ยมพี่ใหญ่ตลอด หรือไม่นายภีมก็ได้พิสูจน์อะไรบางอย่างให้ให้พี่ใหญ่เห็น อย่างน้อย ๆ ก็ระยะเวลาที่คบกันของทั้งสอง
ความพยายามที่จะเอาชนะใจ และความเด็ดเดี่ยว ทั้งนายภีมและกัญญาไม่เคยเลิกกันหรือทะเลาะกันให้เห็นเลย ดูแลเอาใจใส่เสมอ นี่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้พี่ใหญ่เบาลงก็ได้ แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนจนออกนอกหน้า
"พรุ่งนี้เพื่อนของคุณพ่อจะมาที่บ้านเรานะ พอดีว่าลูกชายเขามาเป็นปลัดที่ตำบลเราน่ะ" คุณแม่พูดขณะทานข้าวมื้อเย็น วันนี้พวกเราอยู่กันครบ ยกเว้นพี่ใหญ่เพียงคนเดียวที่ไม่ว่างกลับมาบ้าน "ทำงานอยู่ที่เดียวกันกับกัญตาแหละ เขาเก่งนา สอบได้ปลัดตั้งแต่อายุน้อย ๆ กัญตาสิ สอบอะไรกับเขาก็ไม่ได้สักที" พูดถึงคนอื่นอยู่ดี ๆ คุณแม่หันเล่นงานฉันซะอย่างนั้น
ฉันกับกัญญายิ้มขำ ไม่ได้งอนที่คุณแม่ว่าเลย "แหมคุณแม่ ถึงตาจะสอบยังไม่ได้ เดี๋ยววันหน้าปีหน้าตาก็สอบได้เองแหละ อีกอย่างตาก็ยังมีงานทำ มีเงินเดือนไม่ได้แบมือขอคุณแม่สักหน่อย"
"ย่ะ... ที่ได้งานก็เพราะย่าแกฝากให้หรอก ถ้าสมัครเอง สอบเองจะได้ทำหรือเปล่าก็ไม่รู้" คุณแม่ค้อนฉัน "พูดถึงถ้าลูกชายคุณนพกับคุณวาดมาเป็นปลัดที่บ้านเรา เราคงจะมีปากมีเสียง มีเส้นมีสายกะเขาบ้างนะ ทำอะไรก็คงง่าย" ฉันเข้าใจที่คุณแม่พูด แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบระบบอุปถัมภ์เลย แม้การทำงานของฉันจะมาจากระบบนั้นก็ตาม
"ตาก็ได้ยินแว่ว ๆ อยู่ว่าจะมีปลัดคนใหม่มาแทนคนเก่าที่ย้ายไป ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ ๆ ตัว ลูกชายเพื่อนของคุณลุง"
"ลูกชายเพื่อนพ่อเขาชื่ออะไรนะ" คุณแม่หันไปถามคุณลุง "เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ โตมาจะเป็นหน้าตาแบบไหนก็ไม่รู้ แม่ลืมหน้าตาเขาไปหมดแล้ว"
"ชื่อพศินน่ะ ลูกชายคนเดียว แต่มีพี่สาว" คุณลุงบอก
"อ่อ..." คุณแม่พยักหน้า ยิ้มตาเป็นประกาย แต่ฉันกลับรู้สึกวาบหวามกังวลกับรอยยิ้มนั้นแปลก ๆ พิกล คล้ายคุณแม่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ทานข้าวมื้อนี้เป็นการทานข้าวมื้อเย็นที่มีหัวข้อสนทนามากมาย แต่หลัก ๆ เห็นจะเป็นเรื่องลูกชายเพื่อนของคุณลุงที่จะมาเป็นปลัดตำบลที่นี่ คุณยายพูดคุยด้วยบ้าง ส่วนฉันกับกัญญานิ่งฟังผู้ใหญ่คุยกันอย่างเดียว
วันนี้เลิกงานกลับมาถึงบ้านฉันเห็นรถที่ไม่คุ้นตามาจอดหน้าบ้าน หรือจะเป็นรถของเพื่อนคุณลุง เมื่อคืนคุณแม่บอกว่าจะมีเพื่อนมาหา รถคันนี้คงจะใช่ ฉันนำรถเข้าไปจอดที่โรงจอดรถบ้านของคุณยาย ประจวบเหมาะกับคุณแม่เดินมาหาฉันพอดี
"ตามาพอดี เอากระเป๋าไปเก็บแล้วมาที่บ้านนะ คุณลุงนพกับคุณป้าวาดมาน่ะ พี่พศินก็มาด้วย" คุณแม่บอกฉันก่อนจะเดินกลับไปที่บ้าน ฉันนำกระเป๋าไปเก็บไว้บนห้อง แล้วเดินมายังบ้านของคุณแม่ เห็นคนที่ไม่คุ้นหน้าสองคน และอีกคนเพิ่งเจอกันวันนี้ที่ทำงาน
อยู่ที่ทำงานฉันทราบว่าชายวัยไล่เลี่ยกับฉันเป็นใคร แต่เขาไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร เขาเป็นรุ่นพี่ฉันสามปี ถัดมาก็เป็นคุณแม่คุณลุงนั่งอยู่
ฉันเดินเข้ามาในห้องรับแขก "ตาสวัสดีคุณลุงสิลูก ลุงนพกับป้าวาด ส่วนนี้ลูกชาย ปลัดพศิน"
"สวัสดีดีค่ะ คุณลุงคุณป้า" ฉันยกมือไหว้ ส่วนอีกคนเรายิ้มหัวเราะให้กัน เพราะรู้จักกันบ้างแล้ว "คุณปลัด"
"ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นลูกสาวคุณอา เรารู้จักกันแล้วครับที่ทำงาน เจอกันทั้งวันแหนะ ก็ไม่ยอมแนะนำตัว" เหมือนเขาจะประชดฉันเบา ๆ แต่ใครจะไปกล้าแนะนำล่ะ ฉันก็ได้แต่ยิ้มเขินเป็นคำตอบ
"ดี ๆ รู้จักกันแล้วก็ดี ลุงฝากดูแลลูกชายด้วยนะ" คุณลุงนพว่า
"คนนี้กัญตาลูกสาวคนโตของฉันค่ะ ส่วนคนเล็กพวกคุณมาไม่ทัน ชื่อกัญญา กลับไปเรียนตั้งแต่เช้า กำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน อีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้ว" คุณแม่อวดกัญญา
"อ๋อ อยากเห็นคนเล็กจัง จะหน้าตาน่ารักเหมือนคนพี่มั้ย" คุณป้าวาดพูด ทำเอาฉันเขินไม่น้อย เพราะไม่บ่อยที่จะมีคนชมฉันต่อหน้าแบบนี้นัก
"กัญญาสวยกว่าตาเยอะค่ะ" ฉันอวยน้องสาว
"ป้าต้องแวะมาที่บ้านนี้บ่อย ๆ แล้วล่ะ เพราะมีลูกสาวสวยถึงสองคน ว่าแต่หนูกัญตามีคนรู้ใจยัง ลูกชายป้าเก่งแต่เรื่องเรียนเรื่องงาน เรื่องผู้หญิงไม่เก่งเอาเสียเลย จีบใครก็ไม่เป็น" พอคุณป้าพูดแบบนี้ทำเอาปลัดพศินถึงกับสำลักเบา ๆ รวมถึงฉันด้วย ที่รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลสำหรับจากนี้และต่อ ๆ ไป ไม่รู้สิฉันรู้สึกแบบนั้น
"คุณแม่ครับ ผมเขินนะ มาพูดต่อหน้าคุณอากับคุณกัญตาแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวทุกคนก็หาว่าผมไม่ชอบผู้หญิงหรอก" คนพูดหน้าแดง
"ตาก็ยังไม่มีแฟนหรอกค่ะ มอง ๆ ไว้เขาก็มีเจ้าของกันหมด เลยต้องโสดอยู่แบบนี้" ฉันพูดไปแบบนั้นแต่ภายในใจหวิว ๆ ชอบกล
"ฉันไม่น่าสอนลูกเลยว่าเรียนจบมีงานทำก่อนค่อยมีแฟน นี่เรียนจบทำงานหลายปีแล้วยังไม่มีใครเอาเลยสักคน" คุณแม่ว่าฉัน เล่าเป็นเรื่องตลกไป "รู้ว่าจะขึ้นคานแบบนี้นะ ปล่อยให้มีแฟนเสียแต่ตอนเรียนก็ดี"
"อย่าไปว่าหลานสิคะ ดีออก เด็กสมัยนี้มีแฟนตั้งแต่เรียน ม.ต้นกัน ฉันเห็นแล้วหนักใจ" คุณแม่กับคุณป้าวาดคุยกันเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ส่วนคุณลุงกับคุณลุงนพก็คุยกันอีกเรื่อง ฉันกับปลัดพศินได้แต่นั่งฟัง มีตอบคำถามบ้างที่ผู้ใหญ่ถาม ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัด ไม่รู้ปลัดรู้สึกแบบฉันบ้างไหม
"กัญญา ลูกสาวคนเล็กของฉันก็เหมือนกัน สอนว่าอย่าเพิ่งมีแฟนในวัยเรียน นางก็ยังไม่มีจนตอนนี้จะเรียนจบแล้ว ฉันนึกกังวลขึ้นมาว่าจะเหมือนพี่สาวหรือเปล่า" พอคุณแม่พูดแบบนี้ ฉันเห็นคนลุงปรายตามองคุณแม่แวบหนึ่ง ก่อนจะเลิกสนใจ ส่วนฉันก็อึ้งที่คุณแม่พูดไปแบบนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า 'กัญญามีนายภีมอยู่ทั้งคน' และคบกันมานานหลายปีแล้วด้วย
ครอบครัวของปลัดพศิน อยู่ทานข้าวมื้อเย็นกับเราถึงสองทุ่มก็ขอตัวลากลับ
"ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ป้าฝากดูพี่เขาด้วยนะ ถ้าทำอะไรเกเรฟ้องป้าได้เลย" ก่อนกลับคุณป้าวาดมิวายกำชับกับฉัน ราวกับว่าปลัดเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ไปได้
"ค่ะ... มีอะไรตาจะรีบฟ้องทันที"
"อะแฮ่ม! อืมม์" ปลัดแกล้งกระแอมออกมา ทำเอาทุกคนหัวเราะกันใหญ่
"งั้นฉันกับครอบครัวขอตัวลานะคะ" คุณป้าเอ่ยลาทุกคน จากนั้นก็ขับรถออกไป พอรถคุณป้าไปลับตาแล้วทุกคนก็เข้าบ้าน ส่วนฉันขอตัวกลับ อยากพักผ่อนเต็มที
ผ่านไปไม่กี่นาทีคุณแม่ก็มาหาฉันที่บ้านคุณยายอีก บอกว่าอยากคุยด้วย "จะนอนแล้วเหรอลูก แม่ขอคุยด้วยได้มั้ย" คุณแม่อนุญาตขอฉัน
"ได้ค่ะคุณแม่ ว่าแต่จะคุยกับตาเรื่องอะไรเหรอคะ" ฉันถาม ขณะเช็ดผมที่เปียกให้แห้งด้วยผ้าขนหนู
"ตาว่าปลัดพศินเป็นคนยังไง" นั่นไง ฉันนึกแล้วเชียว ว่าคุณแม่ต้องจะจับปลัดเป็นลูกเขย แต่หวยจะออกที่ใครเท่านั้น ระหว่างฉันกับกัญญา
"ก็ดีค่ะ หล่อ เท่ สุภาพดี ประเมินจากที่เพิ่งทำงานร่วมกันวันเดียวนะคะ คุณแม่ถามทำไมเหรอ" ฉันแกล้งถาม
"ถ้าแม่จะให้กัญญาคบกับเขา ตาว่าดีมั้ย แม่ก็ว่าเขาซื่อ ๆ ดีนะ" ฉันว่าแล้ว ถึงหวยไม่ออกที่ฉัน ฉันก็ไม่เห็นด้วย ยิ่งถ้าคุณแม่จะยัดเยียดให้ฉันล่ะก้อ ฉันไม่ยอมแน่ ๆ กัญญาเองก็เหมือนกัน คงไม่ยอม
"คุณแม่... กัญญามีแฟนแล้วนะคะ"
"มีที่ไหน แม่ยังไม่เห็นกัญญามันพาใครมาบ้านสักคน" คุณแม่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ฉันถอนหายใจ ไม่สนุกด้วยกับคุณแม่ "นายภีมไงคะคุณแม่ กัญญากับนายภีมรักกัน แล้วทั้งคู่ก็จะเรียนจบแล้ว อีกหน่อยนายภีมมีงานทำ ก็คงมาสู่ขอกัญญา"
"ไม่มีทาง! แม่บอกแล้วไงว่าแม่ไม่ยอมรับคนบ้านนั้น คนตระกูลย่าแกพ่อแกเด็ดขาด แม่จะให้น้องคบกับปลัด"
"แล้วคุณแม่รู้ได้ไงว่าปลัดเขาจะชอบกัญญา บางทีเขาอาจจะมีแฟนอยู่แล้วก็ได้" ฉันเถียง
"ไม่รู้ล่ะ! เรื่องนั้นค่อยว่ากัน ถ้าปลัดมีเจ้าของแล้ว แม่ก็ปล่อย ถ้าไม่มีแม่จะให้น้องคบกับเขา แม่อยากได้เขามาเป็นลูกเขย ไม่ใช่นายภีม ถึงจะไม่ใช่ปลัด แม่ก็ไม่เอาญาติแกมาเป็นคนในครอบครัวหรอก"
"ไหนคุณแม่บอกเกลียดการคลุมถุงชนไงคะ คุณแม่ก็เคยผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ คุณแม่ไม่ได้โดนเอง แต่คนรักของคุณแม่โดน คุณพ่อไงคะ คุณแม่เสียคุณพ่อไปเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอคะ คุณแม่เกลียด แต่คุณแม่คิดจะทำเสียเอง" ฉันลืมตัว ต่อว่าคุณแม่
คุณแม่น้ำตาคลอ "กัญตา! ฉันเป็นแม่แก แกเป็นลูกฉัน แกต้องฟังฉันไม่ใช่มาสอนฉัน" คุณแม่ลุกพรวดจากเก้าอี้นวม จะเดินออกจากห้องฉันไป
"คุณแม่!" ฉันเรียกคุณแม่ไว้ คุณแม่หยุดเดิน ฉันรีบเข้าไปกอดท่าน "ตาขอโทษ ตาไม่ได้ตั้งใจว่าคุณแม่นะคะ"
"แม่ไม่โกรธแกหรอกกัญตา แม่จะบอกว่าสิ่งที่แม่ทำ แม่หวังดีกับลูก กับกัญญา"
"แปลว่าคุณแม่ยังยืนยันที่จะ..."
"เอาเถอะ แม่ขอดูก่อน ส่วนแกนอนได้แล้วดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงาน" แล้วคุณแม่ก็เดินออกจากห้องฉันไป ฉันลังเลว่าจะบอกเรื่องนี้กับกัญญาดีไหม กับพี่ใหญ่ด้วย ถ้าเกิดพี่ใหญ่ทราบและเห็นด้วยกับคุณแม่ กัญญาก็ยิ่งจะตกที่นั่งลำบาก และคนที่ไม่มีความสุขอีกคนคือนายภีมญาติผู้น้องของฉัน
ฉันนอนไม่หลับพลิกตัวไปพลิกตัวมา จะบอกข่าวนี้กับน้องสาวก่อนดีไหม สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจยังไม่บอก ขอดูท่าทีของคุณแม่ก่อนก็แล้วกัน อีกทั้งฉันภาวนาขอให้ปลัดพศินมีคนรักแล้วอีกด้วย
จบบทที่ ๑๕
เท่าที่ใจจะรักได้ (15)
.
โดย : ชลัน
๑๕
___________________________
วันเวลาผ่านไปสามปี พี่ใหญ่หายเป็นปกติ กลับมาทำงานได้ดังเดิม โชคดีที่ไม่มีสิ่งไหนสึกหรอ แม้ช่วงกลับออกมาพักฟื้นที่บ้านจะต้องทำกายภาพบำบัดเกือบปีก็ตาม ทว่าพี่ใหญ่ก็หายดี นับเป็นความโชคดีของครอบครัวเรา
เรื่องที่พี่ทีรุฒน์พูดกับฉันเมื่อสามปีก่อนที่โรงพยาบาล มันยังไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นเงียบ ๆ ไปแล้วฉันก็ไม่แน่ใจ ทว่าก็ยังเห็นพี่อุ่นไปไหนมาไหนด้วยกัน นั่นแสดงว่ายังไม่เกิดขึ้น ฉันอุ่นใจและสบายใจมาก
ฉันพูดจริง ๆ หากเขาทำอย่างนั้นจริง ฉันก็จะลาออกโดยเร็ว โชคดีที่พี่ทีรุฒน์ไม่ได้ทำอย่างที่พูด ฉันจึงยังคงทำงานอยู่ที่เดิมด้วยความสบายใจ เรายังคุยกันสนิทกันเหมือนเดิม ซ่อนความรู้สึกที่มีต่อกันเอาไว้ข้างในให้ลึกที่สุด
ปีนี้กัญญากับนายภีมเรียนอยู่ชั้นปี 4 เทอมสุดท้าย กำลังฝึกงาน คุณแม่กับพี่ใหญ่บังคับให้หางานทำที่บ้านเหมือนกับฉัน ฉันรู้ว่าที่คุณแม่บังคับเพราะกลัวเรื่องของกัญญากับนายภีมมันจะเกิดขึ้น และควบคุมได้ยาก
กัญญาขอไปทำงานที่กรุงเทพ คุณแม่ไม่อนุญาต ยังไงก็ไม่ยอม ต้องทำงานแถวบ้านเท่านั้น ส่วนเรื่องเดินทางไม่ต้องลำบากเลย คุณแม่จะถอยรถยนต์ให้อย่างฉัน เป็นของขวัญวันเรียนจบ คงอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลมกับนายภีม คุณแม่ลืมไปว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากพวกเขาจะแหกกฎก็ย่อมทำได้
ระยะนี้นายภีมแสดงออกชัดมากขึ้น ในความสัมพันธ์กับกัญญา คุณแม่ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ ส่วนพี่ใหญ่เบาลงบ้างแล้วสำหรับเรื่องของทั้งสอง เพราะในช่วงตอนที่พี่ใหญ่ป่วย ส่วนหนึ่งก็ได้นายภีมคอยดูแล เวลาที่เขามีเวลาว่างก็จะมาเยี่ยมพี่ใหญ่ตลอด หรือไม่นายภีมก็ได้พิสูจน์อะไรบางอย่างให้ให้พี่ใหญ่เห็น อย่างน้อย ๆ ก็ระยะเวลาที่คบกันของทั้งสอง
ความพยายามที่จะเอาชนะใจ และความเด็ดเดี่ยว ทั้งนายภีมและกัญญาไม่เคยเลิกกันหรือทะเลาะกันให้เห็นเลย ดูแลเอาใจใส่เสมอ นี่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้พี่ใหญ่เบาลงก็ได้ แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนจนออกนอกหน้า
"พรุ่งนี้เพื่อนของคุณพ่อจะมาที่บ้านเรานะ พอดีว่าลูกชายเขามาเป็นปลัดที่ตำบลเราน่ะ" คุณแม่พูดขณะทานข้าวมื้อเย็น วันนี้พวกเราอยู่กันครบ ยกเว้นพี่ใหญ่เพียงคนเดียวที่ไม่ว่างกลับมาบ้าน "ทำงานอยู่ที่เดียวกันกับกัญตาแหละ เขาเก่งนา สอบได้ปลัดตั้งแต่อายุน้อย ๆ กัญตาสิ สอบอะไรกับเขาก็ไม่ได้สักที" พูดถึงคนอื่นอยู่ดี ๆ คุณแม่หันเล่นงานฉันซะอย่างนั้น
ฉันกับกัญญายิ้มขำ ไม่ได้งอนที่คุณแม่ว่าเลย "แหมคุณแม่ ถึงตาจะสอบยังไม่ได้ เดี๋ยววันหน้าปีหน้าตาก็สอบได้เองแหละ อีกอย่างตาก็ยังมีงานทำ มีเงินเดือนไม่ได้แบมือขอคุณแม่สักหน่อย"
"ย่ะ... ที่ได้งานก็เพราะย่าแกฝากให้หรอก ถ้าสมัครเอง สอบเองจะได้ทำหรือเปล่าก็ไม่รู้" คุณแม่ค้อนฉัน "พูดถึงถ้าลูกชายคุณนพกับคุณวาดมาเป็นปลัดที่บ้านเรา เราคงจะมีปากมีเสียง มีเส้นมีสายกะเขาบ้างนะ ทำอะไรก็คงง่าย" ฉันเข้าใจที่คุณแม่พูด แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบระบบอุปถัมภ์เลย แม้การทำงานของฉันจะมาจากระบบนั้นก็ตาม
"ตาก็ได้ยินแว่ว ๆ อยู่ว่าจะมีปลัดคนใหม่มาแทนคนเก่าที่ย้ายไป ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ ๆ ตัว ลูกชายเพื่อนของคุณลุง"
"ลูกชายเพื่อนพ่อเขาชื่ออะไรนะ" คุณแม่หันไปถามคุณลุง "เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ โตมาจะเป็นหน้าตาแบบไหนก็ไม่รู้ แม่ลืมหน้าตาเขาไปหมดแล้ว"
"ชื่อพศินน่ะ ลูกชายคนเดียว แต่มีพี่สาว" คุณลุงบอก
"อ่อ..." คุณแม่พยักหน้า ยิ้มตาเป็นประกาย แต่ฉันกลับรู้สึกวาบหวามกังวลกับรอยยิ้มนั้นแปลก ๆ พิกล คล้ายคุณแม่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ทานข้าวมื้อนี้เป็นการทานข้าวมื้อเย็นที่มีหัวข้อสนทนามากมาย แต่หลัก ๆ เห็นจะเป็นเรื่องลูกชายเพื่อนของคุณลุงที่จะมาเป็นปลัดตำบลที่นี่ คุณยายพูดคุยด้วยบ้าง ส่วนฉันกับกัญญานิ่งฟังผู้ใหญ่คุยกันอย่างเดียว
วันนี้เลิกงานกลับมาถึงบ้านฉันเห็นรถที่ไม่คุ้นตามาจอดหน้าบ้าน หรือจะเป็นรถของเพื่อนคุณลุง เมื่อคืนคุณแม่บอกว่าจะมีเพื่อนมาหา รถคันนี้คงจะใช่ ฉันนำรถเข้าไปจอดที่โรงจอดรถบ้านของคุณยาย ประจวบเหมาะกับคุณแม่เดินมาหาฉันพอดี
"ตามาพอดี เอากระเป๋าไปเก็บแล้วมาที่บ้านนะ คุณลุงนพกับคุณป้าวาดมาน่ะ พี่พศินก็มาด้วย" คุณแม่บอกฉันก่อนจะเดินกลับไปที่บ้าน ฉันนำกระเป๋าไปเก็บไว้บนห้อง แล้วเดินมายังบ้านของคุณแม่ เห็นคนที่ไม่คุ้นหน้าสองคน และอีกคนเพิ่งเจอกันวันนี้ที่ทำงาน
อยู่ที่ทำงานฉันทราบว่าชายวัยไล่เลี่ยกับฉันเป็นใคร แต่เขาไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร เขาเป็นรุ่นพี่ฉันสามปี ถัดมาก็เป็นคุณแม่คุณลุงนั่งอยู่
ฉันเดินเข้ามาในห้องรับแขก "ตาสวัสดีคุณลุงสิลูก ลุงนพกับป้าวาด ส่วนนี้ลูกชาย ปลัดพศิน"
"สวัสดีดีค่ะ คุณลุงคุณป้า" ฉันยกมือไหว้ ส่วนอีกคนเรายิ้มหัวเราะให้กัน เพราะรู้จักกันบ้างแล้ว "คุณปลัด"
"ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นลูกสาวคุณอา เรารู้จักกันแล้วครับที่ทำงาน เจอกันทั้งวันแหนะ ก็ไม่ยอมแนะนำตัว" เหมือนเขาจะประชดฉันเบา ๆ แต่ใครจะไปกล้าแนะนำล่ะ ฉันก็ได้แต่ยิ้มเขินเป็นคำตอบ
"ดี ๆ รู้จักกันแล้วก็ดี ลุงฝากดูแลลูกชายด้วยนะ" คุณลุงนพว่า
"คนนี้กัญตาลูกสาวคนโตของฉันค่ะ ส่วนคนเล็กพวกคุณมาไม่ทัน ชื่อกัญญา กลับไปเรียนตั้งแต่เช้า กำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน อีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้ว" คุณแม่อวดกัญญา
"อ๋อ อยากเห็นคนเล็กจัง จะหน้าตาน่ารักเหมือนคนพี่มั้ย" คุณป้าวาดพูด ทำเอาฉันเขินไม่น้อย เพราะไม่บ่อยที่จะมีคนชมฉันต่อหน้าแบบนี้นัก
"กัญญาสวยกว่าตาเยอะค่ะ" ฉันอวยน้องสาว
"ป้าต้องแวะมาที่บ้านนี้บ่อย ๆ แล้วล่ะ เพราะมีลูกสาวสวยถึงสองคน ว่าแต่หนูกัญตามีคนรู้ใจยัง ลูกชายป้าเก่งแต่เรื่องเรียนเรื่องงาน เรื่องผู้หญิงไม่เก่งเอาเสียเลย จีบใครก็ไม่เป็น" พอคุณป้าพูดแบบนี้ทำเอาปลัดพศินถึงกับสำลักเบา ๆ รวมถึงฉันด้วย ที่รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลสำหรับจากนี้และต่อ ๆ ไป ไม่รู้สิฉันรู้สึกแบบนั้น
"คุณแม่ครับ ผมเขินนะ มาพูดต่อหน้าคุณอากับคุณกัญตาแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวทุกคนก็หาว่าผมไม่ชอบผู้หญิงหรอก" คนพูดหน้าแดง
"ตาก็ยังไม่มีแฟนหรอกค่ะ มอง ๆ ไว้เขาก็มีเจ้าของกันหมด เลยต้องโสดอยู่แบบนี้" ฉันพูดไปแบบนั้นแต่ภายในใจหวิว ๆ ชอบกล
"ฉันไม่น่าสอนลูกเลยว่าเรียนจบมีงานทำก่อนค่อยมีแฟน นี่เรียนจบทำงานหลายปีแล้วยังไม่มีใครเอาเลยสักคน" คุณแม่ว่าฉัน เล่าเป็นเรื่องตลกไป "รู้ว่าจะขึ้นคานแบบนี้นะ ปล่อยให้มีแฟนเสียแต่ตอนเรียนก็ดี"
"อย่าไปว่าหลานสิคะ ดีออก เด็กสมัยนี้มีแฟนตั้งแต่เรียน ม.ต้นกัน ฉันเห็นแล้วหนักใจ" คุณแม่กับคุณป้าวาดคุยกันเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ส่วนคุณลุงกับคุณลุงนพก็คุยกันอีกเรื่อง ฉันกับปลัดพศินได้แต่นั่งฟัง มีตอบคำถามบ้างที่ผู้ใหญ่ถาม ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัด ไม่รู้ปลัดรู้สึกแบบฉันบ้างไหม
"กัญญา ลูกสาวคนเล็กของฉันก็เหมือนกัน สอนว่าอย่าเพิ่งมีแฟนในวัยเรียน นางก็ยังไม่มีจนตอนนี้จะเรียนจบแล้ว ฉันนึกกังวลขึ้นมาว่าจะเหมือนพี่สาวหรือเปล่า" พอคุณแม่พูดแบบนี้ ฉันเห็นคนลุงปรายตามองคุณแม่แวบหนึ่ง ก่อนจะเลิกสนใจ ส่วนฉันก็อึ้งที่คุณแม่พูดไปแบบนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า 'กัญญามีนายภีมอยู่ทั้งคน' และคบกันมานานหลายปีแล้วด้วย
ครอบครัวของปลัดพศิน อยู่ทานข้าวมื้อเย็นกับเราถึงสองทุ่มก็ขอตัวลากลับ
"ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ป้าฝากดูพี่เขาด้วยนะ ถ้าทำอะไรเกเรฟ้องป้าได้เลย" ก่อนกลับคุณป้าวาดมิวายกำชับกับฉัน ราวกับว่าปลัดเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ไปได้
"ค่ะ... มีอะไรตาจะรีบฟ้องทันที"
"อะแฮ่ม! อืมม์" ปลัดแกล้งกระแอมออกมา ทำเอาทุกคนหัวเราะกันใหญ่
"งั้นฉันกับครอบครัวขอตัวลานะคะ" คุณป้าเอ่ยลาทุกคน จากนั้นก็ขับรถออกไป พอรถคุณป้าไปลับตาแล้วทุกคนก็เข้าบ้าน ส่วนฉันขอตัวกลับ อยากพักผ่อนเต็มที
ผ่านไปไม่กี่นาทีคุณแม่ก็มาหาฉันที่บ้านคุณยายอีก บอกว่าอยากคุยด้วย "จะนอนแล้วเหรอลูก แม่ขอคุยด้วยได้มั้ย" คุณแม่อนุญาตขอฉัน
"ได้ค่ะคุณแม่ ว่าแต่จะคุยกับตาเรื่องอะไรเหรอคะ" ฉันถาม ขณะเช็ดผมที่เปียกให้แห้งด้วยผ้าขนหนู
"ตาว่าปลัดพศินเป็นคนยังไง" นั่นไง ฉันนึกแล้วเชียว ว่าคุณแม่ต้องจะจับปลัดเป็นลูกเขย แต่หวยจะออกที่ใครเท่านั้น ระหว่างฉันกับกัญญา
"ก็ดีค่ะ หล่อ เท่ สุภาพดี ประเมินจากที่เพิ่งทำงานร่วมกันวันเดียวนะคะ คุณแม่ถามทำไมเหรอ" ฉันแกล้งถาม
"ถ้าแม่จะให้กัญญาคบกับเขา ตาว่าดีมั้ย แม่ก็ว่าเขาซื่อ ๆ ดีนะ" ฉันว่าแล้ว ถึงหวยไม่ออกที่ฉัน ฉันก็ไม่เห็นด้วย ยิ่งถ้าคุณแม่จะยัดเยียดให้ฉันล่ะก้อ ฉันไม่ยอมแน่ ๆ กัญญาเองก็เหมือนกัน คงไม่ยอม
"คุณแม่... กัญญามีแฟนแล้วนะคะ"
"มีที่ไหน แม่ยังไม่เห็นกัญญามันพาใครมาบ้านสักคน" คุณแม่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ฉันถอนหายใจ ไม่สนุกด้วยกับคุณแม่ "นายภีมไงคะคุณแม่ กัญญากับนายภีมรักกัน แล้วทั้งคู่ก็จะเรียนจบแล้ว อีกหน่อยนายภีมมีงานทำ ก็คงมาสู่ขอกัญญา"
"ไม่มีทาง! แม่บอกแล้วไงว่าแม่ไม่ยอมรับคนบ้านนั้น คนตระกูลย่าแกพ่อแกเด็ดขาด แม่จะให้น้องคบกับปลัด"
"แล้วคุณแม่รู้ได้ไงว่าปลัดเขาจะชอบกัญญา บางทีเขาอาจจะมีแฟนอยู่แล้วก็ได้" ฉันเถียง
"ไม่รู้ล่ะ! เรื่องนั้นค่อยว่ากัน ถ้าปลัดมีเจ้าของแล้ว แม่ก็ปล่อย ถ้าไม่มีแม่จะให้น้องคบกับเขา แม่อยากได้เขามาเป็นลูกเขย ไม่ใช่นายภีม ถึงจะไม่ใช่ปลัด แม่ก็ไม่เอาญาติแกมาเป็นคนในครอบครัวหรอก"
"ไหนคุณแม่บอกเกลียดการคลุมถุงชนไงคะ คุณแม่ก็เคยผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ คุณแม่ไม่ได้โดนเอง แต่คนรักของคุณแม่โดน คุณพ่อไงคะ คุณแม่เสียคุณพ่อไปเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอคะ คุณแม่เกลียด แต่คุณแม่คิดจะทำเสียเอง" ฉันลืมตัว ต่อว่าคุณแม่
คุณแม่น้ำตาคลอ "กัญตา! ฉันเป็นแม่แก แกเป็นลูกฉัน แกต้องฟังฉันไม่ใช่มาสอนฉัน" คุณแม่ลุกพรวดจากเก้าอี้นวม จะเดินออกจากห้องฉันไป
"คุณแม่!" ฉันเรียกคุณแม่ไว้ คุณแม่หยุดเดิน ฉันรีบเข้าไปกอดท่าน "ตาขอโทษ ตาไม่ได้ตั้งใจว่าคุณแม่นะคะ"
"แม่ไม่โกรธแกหรอกกัญตา แม่จะบอกว่าสิ่งที่แม่ทำ แม่หวังดีกับลูก กับกัญญา"
"แปลว่าคุณแม่ยังยืนยันที่จะ..."
"เอาเถอะ แม่ขอดูก่อน ส่วนแกนอนได้แล้วดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงาน" แล้วคุณแม่ก็เดินออกจากห้องฉันไป ฉันลังเลว่าจะบอกเรื่องนี้กับกัญญาดีไหม กับพี่ใหญ่ด้วย ถ้าเกิดพี่ใหญ่ทราบและเห็นด้วยกับคุณแม่ กัญญาก็ยิ่งจะตกที่นั่งลำบาก และคนที่ไม่มีความสุขอีกคนคือนายภีมญาติผู้น้องของฉัน
ฉันนอนไม่หลับพลิกตัวไปพลิกตัวมา จะบอกข่าวนี้กับน้องสาวก่อนดีไหม สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจยังไม่บอก ขอดูท่าทีของคุณแม่ก่อนก็แล้วกัน อีกทั้งฉันภาวนาขอให้ปลัดพศินมีคนรักแล้วอีกด้วย
จบบทที่ ๑๕