
นิยายร้าวรันทดเรื่องนี้ สร้างมาจากเรื่องจริงทั้งหมด
ทั้งชื่อตัวละคร สถานที่ เหตุการณ์ ล้วน เคยเกิด/ กำลังเกิด /กำลังจะเกิด ขึ้นจริง มีจริง ชื่อจริง
ไม่มีส่วนใดแต่งขึ้น เพื่อความบีนเทิง แม้แต่อักษรเดียว
ดังนั้นไม่ต้องเสียเวลา ใช้วิจารณญาณ ความสมเหตุสมผล หรือเหตุผล ใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะแม้แต่คนเขียน ก็ไม่ต้องการมัน
.......
ห่างไกลออกไปจากเมือง ‘ไม่เล็กไม่ใหญ่’ ถนนสายเปลี่ยวคดเคี้ยวลัดเลาะกลืนหายไปในเมฆหมอกแห่งขุนเขาเลือนราง สถานที่ซึ่งผู้คนธรรมดา ไม่จำเป็นไม่คิดลอยชายเฉียดใกล้
ว่ากันว่า...ปลายสุดของถนน มีบ่อน้ำโบราณร้างอยู่แห่งหนึ่ง
บ่อน้ำร้างกลางสายหมอกในเทือกเขาแดนไกล สร้างภาพให้ความรู้สึกเยียบเย็น วังเวง หดหู่ สิ้นหวัง แทบจะได้ยินเสียง โอคิคุนับจาน แว่วขึ้นมาจากก้นบ่อ
บ่ายวันนี้ มีบางอย่างผิดแผกแตกต่างออกไปจากทุกวัน
ข้างบ่อน้ำโบราณ บุรุษหนุ่มชุดดำยาวผู้หนึ่ง ยืนหมิ่นเหม่ นิ่ง เนิ่นนาน บัดเดี๋ยวชัดเจน บัดเดี๋ยวเลือนราง ตามกระแสเมฆหมอกแปรปรวน
บุรุษหนุ่มชุดดำผู้นี้ยังไม่ทันกระโดดลงไป แต่สีหน้าท่าทางราวตกตายไปแล้ว คล้ายกระแสชีวิตธารจิตใจโบยบินหลั่งไหลออกไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงคราบสังขารว่างเปล่า
บางครั้ง...ความว่างเปล่า ดูเจ็บปวดรวดร้าวมากกว่าสีหน้าขมขื่นสิ้นหวังเสียอีก สีหน้าขมขื่นสิ้นหวังอย่างน้อยยังรู้ว่ามีชีวิตจิตใจรับรู้ แต่สีหน้าแววตาว่างเปล่า ดูน่าสะพรึงล้ำลึก คล้ายไม่หลงเหลือชีวิตเหลือความรู้สึกแม้สักนิด
สายลมกระโชกวูบ ร่างของบุรุษหนุ่มสั่นไหวตามแรงลม ดั่งพลิกฟื้นขุมพลังสุดท้าย ยกเท้าตระเตรียมกระโดดลงไป
ลาก่อน... เสียงแผ่วอ่อนล้าโรยแรง หลับตาเตรียมรับแรงกระแทกครั้งสุดท้าย
“หยุดเท้า...!”
เสียงตวาดเกรี้ยวกราด สนั่นหวั่นไหว ในความรู้สึก บุรุษหนุ่มหน้าหงายกะทันหัน ร่างกระเด็นห่างออกจากปากบ่อไปสามวาเศษ ก้นจ้ำเบ้า สีหน้าท่าทางตกตะลึงค้างคา ระดับความว่างเปล่าถูกทำลายในพริบตา
เป็นผู้ใด หรือ อะไร ลงเท้า
ความรู้สึกของบุรุษหนุ่มคล้ายมี ฝ่าเท้า มากระแทกใบหน้าอย่างแรง มั่นใจว่ามิใช่ ฝ่ามือ เด็ดขาด เพียงแต่ไม่ทันสังเกตว่าเป็นฝ่าเท้าผู้ใด นี่กระมังที่เรียกขานว่า บาทาไร้เงา ไปมาไร้ร่องรอย ยังไม่ทันตั้งตัว โสตประสาทพลันอื้ออึงด้วยเสียงกังวาน
“เป็นบุรุษผีสางโง่งมเช่นไร บังอาจจะมาอัตวินิบาตกรรมที่นี่”
บุรุษหนุ่มสะดุ้งเฮือกทั้งร่าง ดั่งตื่นตะกายจากความฝัน หันมองรอบด้าน พบเพียงพรรณไม้ใหญ่น้อยเรียงรายสะบัดไหวในสายลมเยือกเย็น เมื่อครู่เป็นฝ่าเท้าภูตผี เทวา หรือหมาใดกัน
ลุกขึ้นอย่างแช่มช้า ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มหดหู่สิ้นหวังชนิดหนึ่ง พลันเอ่ยปากรำพึงเบา ๆ ว่า
“ขนาดคิดจะตาย ยังมิอาจตาย มีผีสางฤาเทวดามาขัดขวาง นี่เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต”
“ฟ้าลิขิตหรือไม่ ข้าไม่รู้ ที่รู้คือเจ้ามิอาจตายไร้ประโยชน์ที่นี่”
มีเสียงตอบแทบจะในทันที ในความวิเวกวังเวงไร้ผู้คน ต่อให้คิดอยากตายเพียงไร ยังคงต้องสะท้านสั่นทั้งร่าง เสียงนั้นกล่าวช้า ๆ ต่อไปแบบเน้นทีละคำชวนขนลุก “ไม่ต้องบอก ข้าก็รู้ว่าไฉนเจ้าอยากตาย และไม่ต้องถามว่าข้าเป็นใคร เพราะข้าไม่บอก บางทีข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าเป็นใคร หรือเป็นอะไร แต่สิ่งที่อยากบอกคือ มีสาเหตุหลายประการทำให้คนคิดอยากตาย สาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือ พิษแห่งรักนั่นเอง เจ้าเองก็คงไม่ต่างจากข้อนี้”
จบคำพูดก็มีเสียงหัวร่อสะท้านสะเทือนไปทั่วขุนเขา เสียงที่ไม่อาจจำแนกแยกแยะว่าเป็นบุรุษหรือสตรี กังวานชัดเจนในความรู้สึกอึงอล เสียงหัวร่อฟังคล้ายเย้ยหยัน แต่ฟังไปกลับคล้ายหดหู่ทรมานเจียนตาย ผสมผสานหลากหลายอารมณ์สับสนอลหม่าน หลังจากหัวร่อจนสาแก่ใจ จึงเน้นเสียงทีละคำต่อไปว่า
“ถึงนางจะจากเจ้าไปแต่งงานกับคนอื่น ถึงเจ้ามิอาจตัดใจ ถึงเจ้าจะตกตายไป มีประโยชน์อันใด ทำไมไม่ตายอย่างทรงคุณค่ากับคนที่เจ้ารัก ความรักมิใช่ต้องเข้าครอบครองเสมอไป บางครั้งต้องเสียสละหัวใจตนเอง ยอมเจ็บปวดเพื่อปกป้องคนที่รัก เจ็บแค่ไหนก็ต้องทน นั่นจึงควรค่าแก่คำว่ารัก เจ้าเข้าใจหรือไม่...”
บุรุษหนุ่มฟังแล้วหนาวสั่นสะท้านทั่วร่าง เวลากะทันหันไหนเลยสามารถเข้าใจง่ายดาย คนที่บอกว่าเข้าใจความรัก แสดงว่าไม่เข้าใจความรักแท้จริง เจ้าของเสียงลึกลับเป็นใคร ไฉนล่วงรู้เรื่องส่วนตัวของมันขนาดนี้ คิดเอ่ยวาจาโต้ตอบ แต่ร่างกายยืนแข็งทื่อ กระทั่งคำพูดไม่อาจหลุดหล่น ได้แต่ทนฟังเสียงลึกลับพิสดารเอ่ยปากต่อไปแบบจนปัญญา
“ถ้าเจ้ากระโดดลงไป อาจกลับกลายเป็นวิญญาณบาป คอยโต้เถียงกับโอคิคุเรื่องนับจานมิเว้นวันคืน หรืออาจขัดแย้งกับซาดาโกะที่พยายามปีนขึ้นมาปากบ่อชั่วนาตาปี สุดท้ายมีคุณค่าใดกัน ทางที่ดีเจ้าควรกลับไป”
......
.......
“กลับไป...” เนิ่นนาน บุรุษหนุ่มรวบรวมพลังแค่นเสียงออกมาได้ในที่สุด ความกดดัน โศกเศร้ากลับกลายเป็นพลังกระตุ้นเหนือความคาดหมาย “นางแต่งงานไปแล้วสิบสี่วัน สิบสี่วันที่ทรมาน สิบสี่วันให้หลังข้ายังจำได้ รับความปราชัยพ่ายแพ้แก่เธอ สิบสี่วันผ่านพ้น เหมือนคนเพ้อเจ้อ เบิกตาเผยอ มองเธอ ผ่านไป โอ...ข้ายังจะกล้าอาศัยใบหน้ากลับไปหานาง ยังมีทางออกดีกว่าการเปลี่ยนมิติอีกหรือ”
“เฮอะ...ทางออกของเจ้าเกรงว่าจะไปติดอยู่ระหว่างมิติกัปกัลป์ ความจริงเจ้าย่อมสามารถกลับไป ถ้าตั้งใจสละชีวิตเพื่อความรัก แม้ว่าชาตินี้ไม่อาจร่วมเรียงเคียงหมอน อิงแอบแนบชิด แต่ยังสามารถปกป้องดูแลนางได้ ไม่ใช่ในฐานะคนรัก แต่ในฐานะผู้พิทักษ์ เจ้าทำได้หรือไม่ ทนทานได้หรือไม่ ถือเสียว่า ฝึกจิตใจให้สูงเพื่อหลุดพ้น หรือจะปล่อยให้ชีวิตตกตายไร้ค่าไร้ราคาไร้ความหมาย เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนหาที่เกิดไม่ได้ จะบอกให้รู้ อีกไม่นาน จะเกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวของนาง มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ช่วยเหลือนางได้”
“ทำไมต้องเป็นข้า”
"เพราะเจ้าเป็นเจ้า”
“ข้าเป็นข้าแล้วเป็นอย่างไร”
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะถามใคร”
“นั่นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของข้า”
“บ๊ะ...วอนซะแล้ว เดี๋ยวก็ปล่อยให้ตายเลย พอ ๆ เจ้ายืนคิดเหตุผลไปว่าสมควรเปลี่ยนมิติหรือไม่ คิดได้ค่อยบอกข้า” จบคำพูดวกวน ความสงบเข้ามาครอบงำ กระแสลมคงพัดอีกเนิ่นนาน บุรุษหนุ่มนิ่งคิดจมดิ่งลงในห้วงภวังค์จนซึมเซา... ทำไมถึงต้องเป็นเรา มารองรับความเศร้า ให้เขาคนอื่นรื่นรมย์ เรามิเคยชิดเชยชื่นชม น้อยใจเหลือข่มขมใจเหลือที่... การหวนกลับไปเพื่อพบว่าคนรักอยู่กินกับชายอื่นย่อมเป็นรสชาติปวดร้าวสุดทนทาน แต่จะทนทานเห็นนางเกิดภัยพิบัติได้อย่างไรกัน
หนี...จะหนีไปที่ใด ใครบ้างหลบหนีตัวเองพ้น ต่อให้เตลิดหนีไกลสุดหล้าฟ้าแดง ก็ไม่มีทางหนีตัวเองพ้น
สู้...หันหลังสู้ เจ็บก็เจ็บในที่สุดคงผ่านพ้นไป แต่ถ้าความเจ็บปวดอ้อยอิ่งอยู่กับเราต่อไปล่ะ...
หรือจะยอมเป็นบ้า เพื่อแยกร่างกายและจิตใจออกจากกัน พอนึกถึงคนบ้าหน้าไม่อายพฤติกรรมหลุดโลก ก็ต้องหนาวสะท้าน เช่นนี้ยอมเปลี่ยนมิติ มิดีกว่าหรืออย่างไร
บุรุษหนุ่มชุดดำ หมกมุ่นครุ่นคิดจนซึมเซา
เนิ่นนาน
เนิ่นนานกว่า
เนิ่นนานที่สุด
ในที่สุดความเนิ่นนานยุติลง เนื่องเพราะเนิ่นนานเกินไปแล้ว บุรุษหนุ่มแหงนหน้า ส่งเสียงหัวร่อกังวาน เสียงหัวร่อคล้ายเสียงร่ำไห้ คล้ายตัดใจเชือดใจตัวเอง ให้สะบั้นแหลกลาญชาด้านทั้งเป็น
“ข้าจะกลับไป ใช่แล้ว... ความรักไม่จำเป็นต้องครอบครอง เพียงเห็นนางสุขกายใจ ข้าควรสุขใจไปด้วย นางจะอยู่กับใครไม่สำคัญ เพียงเก็บนางอยู่ในใจข้าตลอดไป ข้าจะไม่หลั่งน้ำตา เพราะแรงรักร้าวอีกต่อไป ชีวิตเลือดเนื้อที่เหลือของข้า จะขอมอบในการปกป้องนาง จนลมหายใจสุดท้าย”
เสียงสายลมคร่ำครวญหวีดหวิวพัดผ่านซอกหัวใจชาด้านเยือกเย็น รับรู้เป็นพยานในการประกาศอหังการ์ สุนัขป่าตัวหนึ่งเดินผ่านมาได้ฟังถึงกับสะดุ้งเฮือกขนลุกขนพอง โก่งคอหอนโหยหวนยาวนาน
......
เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ มีตลาดสดอยู่กลางเมืองตลาดเป็นวัฒนธรรมสังคมที่มิอาจไม่มี ตลาดสดคือความหลากหลายพิสดารเรื่องราว สินค้าผู้คนมากมายหลายหลาก
ท่านที่มิเคยไปตลาดสด อาจไม่ทราบว่า ตลาดสดไม่จำเป็นต้องมีเฉพาะของสดเท่านั้น ท่านที่ไม่เคยไปตลาดแห้ง ก็ไม่ต้องเสียเวลาเสาะแสวงหา เพราะไม่มีใครเคยเห็นป้าย ‘ตลาดแห้ง’ มาก่อน แต่ก็มีบางคน ลงทุนเดินทาง หาตลาดแห้งในตำนาน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต
ตลาดสดของเมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ จึงมีทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง อาหารหมัก อาหารดอง กระทั่งอาหารแปรรูปพิสดาร
บริเวณท้ายของตลาดสด มีเพิงสุนัขแหงนเรียงราย เป็นแนว ร้านอาหารตามสั่งมากมายมีให้เลือกซื้อหา
สิบกว่าวันก่อนหน้านั้น ร้านของ ‘แม่นางส้มตำ’ จัดว่ามีลูกค้าเนืองแน่นทุกวัน เช้าจดเย็น แม่นางส้มตำ มีเรือนกายไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่เตี้ย ไม่สูง ไม่ถึงขั้นงดงามหยดย้อยนางฟ้านางสวรรค์ แต่ประกันว่าพอสบตานาง จะต้องกระชากสายตากลับมาอย่างลำบากยากเย็น สตรีหลายนางมีเสน่ห์ล้ำลึกอย่างที่ควรจะเป็น โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความงามบาดจิตบิดใจนำหน้า บางนางไม่สวยเลิศเลอสูงส่ง แต่โดดเด่นชวนมอง อาจไม่สะดุดตาแต่สะดุดใจ ทำให้วิญญาณหลอมเหลวลงแทบเท้านางก็มี
เปรี้ยวกระแทก คือเมนูเด็ดขาดบาดใจของร้าน แม่นางส้มตำ เมนูชื่อเสียงโด่งดังขจรไกล
คราก้า (ครก) ที่นางเลือกใช้เป็นคราก้าหยกโบราณชั้นดี สาก้า (สาก) ที่นางใช้ก็เป็นหยกวินเทจชั้นยอด เวลากระแทกเปรี้ยวกระแทก เสียงกระทบกันของคราก้าและสาก้าสดใสกังวานหวานละมุน ลูกค้าฟังจนเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอย รสชาติของส้มตำที่ออกมาจากคราก้า ไม่ว่าจะเป็น ตำปู ตำไทย ตำลาว ตำซั่ว ตำมั่ว ตำบัว ตำถั่ว ตำกล้วย ล้วนอร่อยล้นเหลือ กินแล้วแทบล้มประดาตาย ไม่เป็นอันกินอันนอน สิ้นสติสมประดี
เพียงแต่สิบสี่สิบห้าวันผ่านมา ลูกค้าขาประจำของร้านลดลงเกือบครึ่ง
ว่ากันว่า เป็นเพราะแม่นางส้มตำเข้าพิธีวิวาห์
การแต่งงาน ความจริงเป็นเรื่องธรรมดาทุกระดับชนชั้น เป็นความใฝ่ฝันของผู้คน แต่ในความธรรมดามีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา ลูกค้าที่หายไปส่วนใหญ่ล้วนนำขนมจีบมาขายราคาสุดแสนถูกในร้านของนาง ชนิดแทบจะเอาขนมจีบขว้างหน้ากันเล่น พอนางแต่งงาน ลูกค้าเหล่านั้นพากัน กลับหลังหัน เดินแถวไปขายน้ำใบบัวบก ขายแห้ว อีกฟากของตลาดทันที อะไรก็เกิดขึ้นได้แบบไม่มีใครคาดคิด
มาตรว่าลูกค้า หลานค้า จะลดลง ทว่าแม่นางส้มตำไม่มีสีหน้ากังวลใจสักน้อยนิด นางยังคงตั้งใจตำส้มตำ ออกมาอย่างพิถีพิถัน ใส่จิตวิญญาณแห่งความเป็นส้มตำลงไปอย่างเต็มเปี่ยม เสียงคราก้าและสาก้ายังคงประสานกันสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว กังวานสดใสชัดเจนดื่มด่ำเช่นเคย
บางคนบอกว่า นางไม่หวั่นไหวกับยอดขาย เพราะนางแต่งงานกับ ดาบแสนอาย
ดาบแสนอาย คือผู้ใด
มีต่อ
กระบี่ส้มตำ...(1)
นิยายร้าวรันทดเรื่องนี้ สร้างมาจากเรื่องจริงทั้งหมด
ทั้งชื่อตัวละคร สถานที่ เหตุการณ์ ล้วน เคยเกิด/ กำลังเกิด /กำลังจะเกิด ขึ้นจริง มีจริง ชื่อจริง
ไม่มีส่วนใดแต่งขึ้น เพื่อความบีนเทิง แม้แต่อักษรเดียว
ดังนั้นไม่ต้องเสียเวลา ใช้วิจารณญาณ ความสมเหตุสมผล หรือเหตุผล ใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะแม้แต่คนเขียน ก็ไม่ต้องการมัน
.......
ห่างไกลออกไปจากเมือง ‘ไม่เล็กไม่ใหญ่’ ถนนสายเปลี่ยวคดเคี้ยวลัดเลาะกลืนหายไปในเมฆหมอกแห่งขุนเขาเลือนราง สถานที่ซึ่งผู้คนธรรมดา ไม่จำเป็นไม่คิดลอยชายเฉียดใกล้
ว่ากันว่า...ปลายสุดของถนน มีบ่อน้ำโบราณร้างอยู่แห่งหนึ่ง
บ่อน้ำร้างกลางสายหมอกในเทือกเขาแดนไกล สร้างภาพให้ความรู้สึกเยียบเย็น วังเวง หดหู่ สิ้นหวัง แทบจะได้ยินเสียง โอคิคุนับจาน แว่วขึ้นมาจากก้นบ่อ
บ่ายวันนี้ มีบางอย่างผิดแผกแตกต่างออกไปจากทุกวัน
ข้างบ่อน้ำโบราณ บุรุษหนุ่มชุดดำยาวผู้หนึ่ง ยืนหมิ่นเหม่ นิ่ง เนิ่นนาน บัดเดี๋ยวชัดเจน บัดเดี๋ยวเลือนราง ตามกระแสเมฆหมอกแปรปรวน
บุรุษหนุ่มชุดดำผู้นี้ยังไม่ทันกระโดดลงไป แต่สีหน้าท่าทางราวตกตายไปแล้ว คล้ายกระแสชีวิตธารจิตใจโบยบินหลั่งไหลออกไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงคราบสังขารว่างเปล่า
บางครั้ง...ความว่างเปล่า ดูเจ็บปวดรวดร้าวมากกว่าสีหน้าขมขื่นสิ้นหวังเสียอีก สีหน้าขมขื่นสิ้นหวังอย่างน้อยยังรู้ว่ามีชีวิตจิตใจรับรู้ แต่สีหน้าแววตาว่างเปล่า ดูน่าสะพรึงล้ำลึก คล้ายไม่หลงเหลือชีวิตเหลือความรู้สึกแม้สักนิด
สายลมกระโชกวูบ ร่างของบุรุษหนุ่มสั่นไหวตามแรงลม ดั่งพลิกฟื้นขุมพลังสุดท้าย ยกเท้าตระเตรียมกระโดดลงไป
ลาก่อน... เสียงแผ่วอ่อนล้าโรยแรง หลับตาเตรียมรับแรงกระแทกครั้งสุดท้าย
“หยุดเท้า...!”
เสียงตวาดเกรี้ยวกราด สนั่นหวั่นไหว ในความรู้สึก บุรุษหนุ่มหน้าหงายกะทันหัน ร่างกระเด็นห่างออกจากปากบ่อไปสามวาเศษ ก้นจ้ำเบ้า สีหน้าท่าทางตกตะลึงค้างคา ระดับความว่างเปล่าถูกทำลายในพริบตา
เป็นผู้ใด หรือ อะไร ลงเท้า
ความรู้สึกของบุรุษหนุ่มคล้ายมี ฝ่าเท้า มากระแทกใบหน้าอย่างแรง มั่นใจว่ามิใช่ ฝ่ามือ เด็ดขาด เพียงแต่ไม่ทันสังเกตว่าเป็นฝ่าเท้าผู้ใด นี่กระมังที่เรียกขานว่า บาทาไร้เงา ไปมาไร้ร่องรอย ยังไม่ทันตั้งตัว โสตประสาทพลันอื้ออึงด้วยเสียงกังวาน
“เป็นบุรุษผีสางโง่งมเช่นไร บังอาจจะมาอัตวินิบาตกรรมที่นี่”
บุรุษหนุ่มสะดุ้งเฮือกทั้งร่าง ดั่งตื่นตะกายจากความฝัน หันมองรอบด้าน พบเพียงพรรณไม้ใหญ่น้อยเรียงรายสะบัดไหวในสายลมเยือกเย็น เมื่อครู่เป็นฝ่าเท้าภูตผี เทวา หรือหมาใดกัน
ลุกขึ้นอย่างแช่มช้า ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มหดหู่สิ้นหวังชนิดหนึ่ง พลันเอ่ยปากรำพึงเบา ๆ ว่า
“ขนาดคิดจะตาย ยังมิอาจตาย มีผีสางฤาเทวดามาขัดขวาง นี่เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต”
“ฟ้าลิขิตหรือไม่ ข้าไม่รู้ ที่รู้คือเจ้ามิอาจตายไร้ประโยชน์ที่นี่”
มีเสียงตอบแทบจะในทันที ในความวิเวกวังเวงไร้ผู้คน ต่อให้คิดอยากตายเพียงไร ยังคงต้องสะท้านสั่นทั้งร่าง เสียงนั้นกล่าวช้า ๆ ต่อไปแบบเน้นทีละคำชวนขนลุก “ไม่ต้องบอก ข้าก็รู้ว่าไฉนเจ้าอยากตาย และไม่ต้องถามว่าข้าเป็นใคร เพราะข้าไม่บอก บางทีข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าเป็นใคร หรือเป็นอะไร แต่สิ่งที่อยากบอกคือ มีสาเหตุหลายประการทำให้คนคิดอยากตาย สาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือ พิษแห่งรักนั่นเอง เจ้าเองก็คงไม่ต่างจากข้อนี้”
จบคำพูดก็มีเสียงหัวร่อสะท้านสะเทือนไปทั่วขุนเขา เสียงที่ไม่อาจจำแนกแยกแยะว่าเป็นบุรุษหรือสตรี กังวานชัดเจนในความรู้สึกอึงอล เสียงหัวร่อฟังคล้ายเย้ยหยัน แต่ฟังไปกลับคล้ายหดหู่ทรมานเจียนตาย ผสมผสานหลากหลายอารมณ์สับสนอลหม่าน หลังจากหัวร่อจนสาแก่ใจ จึงเน้นเสียงทีละคำต่อไปว่า
“ถึงนางจะจากเจ้าไปแต่งงานกับคนอื่น ถึงเจ้ามิอาจตัดใจ ถึงเจ้าจะตกตายไป มีประโยชน์อันใด ทำไมไม่ตายอย่างทรงคุณค่ากับคนที่เจ้ารัก ความรักมิใช่ต้องเข้าครอบครองเสมอไป บางครั้งต้องเสียสละหัวใจตนเอง ยอมเจ็บปวดเพื่อปกป้องคนที่รัก เจ็บแค่ไหนก็ต้องทน นั่นจึงควรค่าแก่คำว่ารัก เจ้าเข้าใจหรือไม่...”
บุรุษหนุ่มฟังแล้วหนาวสั่นสะท้านทั่วร่าง เวลากะทันหันไหนเลยสามารถเข้าใจง่ายดาย คนที่บอกว่าเข้าใจความรัก แสดงว่าไม่เข้าใจความรักแท้จริง เจ้าของเสียงลึกลับเป็นใคร ไฉนล่วงรู้เรื่องส่วนตัวของมันขนาดนี้ คิดเอ่ยวาจาโต้ตอบ แต่ร่างกายยืนแข็งทื่อ กระทั่งคำพูดไม่อาจหลุดหล่น ได้แต่ทนฟังเสียงลึกลับพิสดารเอ่ยปากต่อไปแบบจนปัญญา
“ถ้าเจ้ากระโดดลงไป อาจกลับกลายเป็นวิญญาณบาป คอยโต้เถียงกับโอคิคุเรื่องนับจานมิเว้นวันคืน หรืออาจขัดแย้งกับซาดาโกะที่พยายามปีนขึ้นมาปากบ่อชั่วนาตาปี สุดท้ายมีคุณค่าใดกัน ทางที่ดีเจ้าควรกลับไป”
......
.......
“กลับไป...” เนิ่นนาน บุรุษหนุ่มรวบรวมพลังแค่นเสียงออกมาได้ในที่สุด ความกดดัน โศกเศร้ากลับกลายเป็นพลังกระตุ้นเหนือความคาดหมาย “นางแต่งงานไปแล้วสิบสี่วัน สิบสี่วันที่ทรมาน สิบสี่วันให้หลังข้ายังจำได้ รับความปราชัยพ่ายแพ้แก่เธอ สิบสี่วันผ่านพ้น เหมือนคนเพ้อเจ้อ เบิกตาเผยอ มองเธอ ผ่านไป โอ...ข้ายังจะกล้าอาศัยใบหน้ากลับไปหานาง ยังมีทางออกดีกว่าการเปลี่ยนมิติอีกหรือ”
“เฮอะ...ทางออกของเจ้าเกรงว่าจะไปติดอยู่ระหว่างมิติกัปกัลป์ ความจริงเจ้าย่อมสามารถกลับไป ถ้าตั้งใจสละชีวิตเพื่อความรัก แม้ว่าชาตินี้ไม่อาจร่วมเรียงเคียงหมอน อิงแอบแนบชิด แต่ยังสามารถปกป้องดูแลนางได้ ไม่ใช่ในฐานะคนรัก แต่ในฐานะผู้พิทักษ์ เจ้าทำได้หรือไม่ ทนทานได้หรือไม่ ถือเสียว่า ฝึกจิตใจให้สูงเพื่อหลุดพ้น หรือจะปล่อยให้ชีวิตตกตายไร้ค่าไร้ราคาไร้ความหมาย เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนหาที่เกิดไม่ได้ จะบอกให้รู้ อีกไม่นาน จะเกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวของนาง มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ช่วยเหลือนางได้”
“ทำไมต้องเป็นข้า”
"เพราะเจ้าเป็นเจ้า”
“ข้าเป็นข้าแล้วเป็นอย่างไร”
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะถามใคร”
“นั่นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของข้า”
“บ๊ะ...วอนซะแล้ว เดี๋ยวก็ปล่อยให้ตายเลย พอ ๆ เจ้ายืนคิดเหตุผลไปว่าสมควรเปลี่ยนมิติหรือไม่ คิดได้ค่อยบอกข้า” จบคำพูดวกวน ความสงบเข้ามาครอบงำ กระแสลมคงพัดอีกเนิ่นนาน บุรุษหนุ่มนิ่งคิดจมดิ่งลงในห้วงภวังค์จนซึมเซา... ทำไมถึงต้องเป็นเรา มารองรับความเศร้า ให้เขาคนอื่นรื่นรมย์ เรามิเคยชิดเชยชื่นชม น้อยใจเหลือข่มขมใจเหลือที่... การหวนกลับไปเพื่อพบว่าคนรักอยู่กินกับชายอื่นย่อมเป็นรสชาติปวดร้าวสุดทนทาน แต่จะทนทานเห็นนางเกิดภัยพิบัติได้อย่างไรกัน
หนี...จะหนีไปที่ใด ใครบ้างหลบหนีตัวเองพ้น ต่อให้เตลิดหนีไกลสุดหล้าฟ้าแดง ก็ไม่มีทางหนีตัวเองพ้น
สู้...หันหลังสู้ เจ็บก็เจ็บในที่สุดคงผ่านพ้นไป แต่ถ้าความเจ็บปวดอ้อยอิ่งอยู่กับเราต่อไปล่ะ...
หรือจะยอมเป็นบ้า เพื่อแยกร่างกายและจิตใจออกจากกัน พอนึกถึงคนบ้าหน้าไม่อายพฤติกรรมหลุดโลก ก็ต้องหนาวสะท้าน เช่นนี้ยอมเปลี่ยนมิติ มิดีกว่าหรืออย่างไร
บุรุษหนุ่มชุดดำ หมกมุ่นครุ่นคิดจนซึมเซา
เนิ่นนาน
เนิ่นนานกว่า
เนิ่นนานที่สุด
ในที่สุดความเนิ่นนานยุติลง เนื่องเพราะเนิ่นนานเกินไปแล้ว บุรุษหนุ่มแหงนหน้า ส่งเสียงหัวร่อกังวาน เสียงหัวร่อคล้ายเสียงร่ำไห้ คล้ายตัดใจเชือดใจตัวเอง ให้สะบั้นแหลกลาญชาด้านทั้งเป็น
“ข้าจะกลับไป ใช่แล้ว... ความรักไม่จำเป็นต้องครอบครอง เพียงเห็นนางสุขกายใจ ข้าควรสุขใจไปด้วย นางจะอยู่กับใครไม่สำคัญ เพียงเก็บนางอยู่ในใจข้าตลอดไป ข้าจะไม่หลั่งน้ำตา เพราะแรงรักร้าวอีกต่อไป ชีวิตเลือดเนื้อที่เหลือของข้า จะขอมอบในการปกป้องนาง จนลมหายใจสุดท้าย”
เสียงสายลมคร่ำครวญหวีดหวิวพัดผ่านซอกหัวใจชาด้านเยือกเย็น รับรู้เป็นพยานในการประกาศอหังการ์ สุนัขป่าตัวหนึ่งเดินผ่านมาได้ฟังถึงกับสะดุ้งเฮือกขนลุกขนพอง โก่งคอหอนโหยหวนยาวนาน
......
เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ มีตลาดสดอยู่กลางเมืองตลาดเป็นวัฒนธรรมสังคมที่มิอาจไม่มี ตลาดสดคือความหลากหลายพิสดารเรื่องราว สินค้าผู้คนมากมายหลายหลาก
ท่านที่มิเคยไปตลาดสด อาจไม่ทราบว่า ตลาดสดไม่จำเป็นต้องมีเฉพาะของสดเท่านั้น ท่านที่ไม่เคยไปตลาดแห้ง ก็ไม่ต้องเสียเวลาเสาะแสวงหา เพราะไม่มีใครเคยเห็นป้าย ‘ตลาดแห้ง’ มาก่อน แต่ก็มีบางคน ลงทุนเดินทาง หาตลาดแห้งในตำนาน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต
ตลาดสดของเมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ จึงมีทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง อาหารหมัก อาหารดอง กระทั่งอาหารแปรรูปพิสดาร
บริเวณท้ายของตลาดสด มีเพิงสุนัขแหงนเรียงราย เป็นแนว ร้านอาหารตามสั่งมากมายมีให้เลือกซื้อหา
สิบกว่าวันก่อนหน้านั้น ร้านของ ‘แม่นางส้มตำ’ จัดว่ามีลูกค้าเนืองแน่นทุกวัน เช้าจดเย็น แม่นางส้มตำ มีเรือนกายไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่เตี้ย ไม่สูง ไม่ถึงขั้นงดงามหยดย้อยนางฟ้านางสวรรค์ แต่ประกันว่าพอสบตานาง จะต้องกระชากสายตากลับมาอย่างลำบากยากเย็น สตรีหลายนางมีเสน่ห์ล้ำลึกอย่างที่ควรจะเป็น โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความงามบาดจิตบิดใจนำหน้า บางนางไม่สวยเลิศเลอสูงส่ง แต่โดดเด่นชวนมอง อาจไม่สะดุดตาแต่สะดุดใจ ทำให้วิญญาณหลอมเหลวลงแทบเท้านางก็มี
เปรี้ยวกระแทก คือเมนูเด็ดขาดบาดใจของร้าน แม่นางส้มตำ เมนูชื่อเสียงโด่งดังขจรไกล
คราก้า (ครก) ที่นางเลือกใช้เป็นคราก้าหยกโบราณชั้นดี สาก้า (สาก) ที่นางใช้ก็เป็นหยกวินเทจชั้นยอด เวลากระแทกเปรี้ยวกระแทก เสียงกระทบกันของคราก้าและสาก้าสดใสกังวานหวานละมุน ลูกค้าฟังจนเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอย รสชาติของส้มตำที่ออกมาจากคราก้า ไม่ว่าจะเป็น ตำปู ตำไทย ตำลาว ตำซั่ว ตำมั่ว ตำบัว ตำถั่ว ตำกล้วย ล้วนอร่อยล้นเหลือ กินแล้วแทบล้มประดาตาย ไม่เป็นอันกินอันนอน สิ้นสติสมประดี
เพียงแต่สิบสี่สิบห้าวันผ่านมา ลูกค้าขาประจำของร้านลดลงเกือบครึ่ง
ว่ากันว่า เป็นเพราะแม่นางส้มตำเข้าพิธีวิวาห์
การแต่งงาน ความจริงเป็นเรื่องธรรมดาทุกระดับชนชั้น เป็นความใฝ่ฝันของผู้คน แต่ในความธรรมดามีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา ลูกค้าที่หายไปส่วนใหญ่ล้วนนำขนมจีบมาขายราคาสุดแสนถูกในร้านของนาง ชนิดแทบจะเอาขนมจีบขว้างหน้ากันเล่น พอนางแต่งงาน ลูกค้าเหล่านั้นพากัน กลับหลังหัน เดินแถวไปขายน้ำใบบัวบก ขายแห้ว อีกฟากของตลาดทันที อะไรก็เกิดขึ้นได้แบบไม่มีใครคาดคิด
มาตรว่าลูกค้า หลานค้า จะลดลง ทว่าแม่นางส้มตำไม่มีสีหน้ากังวลใจสักน้อยนิด นางยังคงตั้งใจตำส้มตำ ออกมาอย่างพิถีพิถัน ใส่จิตวิญญาณแห่งความเป็นส้มตำลงไปอย่างเต็มเปี่ยม เสียงคราก้าและสาก้ายังคงประสานกันสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว กังวานสดใสชัดเจนดื่มด่ำเช่นเคย
บางคนบอกว่า นางไม่หวั่นไหวกับยอดขาย เพราะนางแต่งงานกับ ดาบแสนอาย
ดาบแสนอาย คือผู้ใด
มีต่อ