JJNY : ‘จาตุรนต์’ ชี้มรดกรปห.57 │‘เอสเอ็มอี’ถามรัฐ แก้ศก.│'กกร.'ขอลด'ภาษีที่ดิน-ค่าโอนบ้าน'อีกปี│ปภ.รายงานยังท่วม30จว.

‘จาตุรนต์’ ชี้มรดกรัฐประหาร 57 ต้นเหตุ สู่มติ กสทช.หนุนควบรวม ย้ำทุนใหญ่หมายกุมทุกอย่าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3633685
 
 
‘จาตุรนต์’ ชี้มรดกรัฐประหาร 57 ต้นเหตุ สู่มติ กสทช.หนุนควบรวม ย้ำทุนใหญ่หมายกุมทุกอย่าง
 
อดีตรองนายกฯ ชี้มติกสทช. หนุนควบรวมกิจการโทรคมนาคม มรดกอิทธิพลระบอบ [เผล่ะจัง] คสช. ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ไม่คำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ ย้ำทุนใหญ่หมายควบคุมทุกอย่าง ซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจยิ่งแย่หนัก
 
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2565 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อท่าทีของที่ประชุม กสทช.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง รับทราบการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือทรู และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค แบบมีเงื่อนไข โดยมีการกำหนดมาตรการเยียวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงต่อต้านคัดค้านขององค์กรประชาสังคม ที่กังวลถึงจุดมุ่งหมายการควบรวมเพื่อมุ่งเพิ่มอำนาจเหนือตลาดมากกว่าผลประโยชน์ของผู้บริโภคว่า
 
การที่กสทช.อนุญาตให้สองบริษัทยักษ์ใหญ่ควบรวมกันได้ครั้งนี้จะเป็นผลเสียต่อผู้บริโภคทุกคนและเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างร้ายแรงด้วย การอนุญาตครั้งนี้เป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับหน้าที่ขององค์กรนี้ซึ่งควรจะคอยดูแลให้เกิดการกระจายและการแข่งขันในกิจการที่เกี่ยวกับคลื่นความถี่ แต่ กสทช.กลับสนับสนุนให้เกิดการผูกขาดเสียเอง
 
เมื่อสองบริษัทควบรวมเข้าด้วยกันก็ย่อมนำไปสู่การผูกขาดทำให้เกิดอำนาจเหนือตลาด สามารถกำหนดราคาและกำไรโดยไม่ต้องแข่งขันเท่าเดิม ผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายอื่นจะเสียเปรียบและรายใหม่จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ จะกลายเป็นการผูกขาดอย่างถาวร เมื่อธุรกิจนี้เกี่ยวของโดยตรงต่อทุกภาคส่วนและประชาชนทุกคน ผู้ที่เดือดร้อนก็คือประชาชนทั้งประเทศนั่นเอง
 
นอกจากนี้เนื่องจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการโทรคมนาคมบางรายเป็นเจ้าของธุรกิจอื่นๆอีกมากมายแบบครบวงจร อย่างที่เรียกกันว่าไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ตั้งแต่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดไปจนถึงค้าปลีกมากที่สุด ปัญหาที่จะตามมาก็คือมีความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้อำนาจผูกขาดทางสื่อเป็นความได้เปรียบในการลดต้นทุนการโฆษณาให้กับกิจการของตนเอง ในขณะที่ผู้ค้ารายอื่นอื่นต้องเสียค่าโฆษณาที่แพงกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ สภาพเช่นนี้จะยิ่งทำให้การผูกขาดในระบบเศรษฐกิจของไทยยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
 
การที่กสทช.สนับสนุนการผูกขาดไม่รักษาผลประโยชน์ของประชาชนในครั้งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับลักษณะและบทบาทขององค์กรที่ผิดเพี้ยนไปจนแตกต่างจากแนวความคิดดั้งเดิมในการจัดตั้งองค์กรมาจัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 40 ที่ได้ระบุว่า คลื่นความถี่ถือเป็น ทรัพยากรสาธารณะ  เป็นสมบัติที่ต้องจัดสรรเพื่อใช้ร่วมกันระหว่างรัฐ เอกชน และกิจการเพื่อสาธารณะประโยชน์ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
 
จากแนวความคิดนี้ทำให้มีการยกเลิกการผูกขาดกิจการโทรศัพท์และมีการส่งเสริมให้มีวิทยุชุมชนอย่างกว้างขวาง แต่ที่ยังทำไม่ได้คือการลดสถานีวิทยุของทหารมาแบ่งให้เอกชนหรือภาคประชาสังคม แต่ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารวิทยุชุมชนก็ถูกจำกัดลงไป
 
ส่วนกสทช.มีที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 50 ทำให้มีกฎหมายจัดตั้งองค์กรขึ้นมา แต่บทบาทก็เพี้ยนไปคือแทนที่จะดูแลการกระจายคลื่นความถี่กลายมาเป็นคุณพ่อรู้ดีกำหนดว่า เนื้อหาอะไรเผยแพร่ได้หรือไม่ได้และกสทช.กลับมาเป็นผู้ผลิตสื่อเสียเองในรูปโครงการต่างๆ
 
แต่ที่ทำให้ลักษณะและบทบาทของ กสทช.เปลี่ยนไปมากที่สุดคือ การรัฐประหารปี 2557 ที่คสช.เข้าครอบงำองค์กรนี้อย่างสมบูรณ์ทั้งในการต่ออายุและการแต่งตั้งกรรมการ การออกคำสั่งที่ลิดรอนเสรีภาพของประชาชนมาให้กสทช.มีหน้าที่เป็นเครื่องมือปิดปากสื่อมวลชนและประชาชน ที่สำคัญ กสทช.ที่ถูกครอบงำโดย คสช.นี้ยังเป็นผู้ให้คุณให้โทษธุรกิจที่มีผลประโยชน์มหาศาล เช่น เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดการประมูลและการช่วยเหลือบริษัทที่ขาดทุนเป็นหมื่นๆล้านได้ตามอำเภอใจ ไม่นับว่า คสช.สามารถเอาเงินของ กสทช.ที่ควรใช้เป็นประโยชน์ในด้านสื่อไปใช้เป็นงบกลางก็ได้ด้วย
 
จนกระทั่ง การลงมติการควบรวมล่าสุดนี้ ได้แสดงถึงการไม่ปกป้องผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสร้างภาวะผูกขาดคู่ในตลาดโทรคมนาคม ตามความเห็นของกรรมการเสียงข้างน้อยท่านหนึ่ง การรวมธุรกิจมีโอกาสนำไปสู่การผูกขาดและกีดกันการแข่งขัน ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 40, 60, 61 และ 75 และขัดต่อแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 ที่ต้องเพิ่มระดับการแข่งขันของการประกอบกิจการโทรคมนาคม ทำให้ตลาดโทรคมนาคมตอนนี้ อยู่ในมือของผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่แห่ง และอาจปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่ เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมขึ้นได้
 
แม้เมื่อไม่มีคสช.แล้ว แต่การสรรหาและรับรอง กสทช.ก็ทำโดยวุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช. กสทช.จึงไม่ใช่องค์กรอิสระแต่เป็นองค์กรที่ถูกครอบงำอย่างต่อเนื่องของระบอบ [เผล่ะจัง] ที่มาจากการรัฐประหารมาหลายปีแล้ว จึงไม่แปลกเลยที่ กสทช.จะสนับสนุนการผูกขาด ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและลืมไปหมดแล้วว่าองค์กรนี้มีขึ้นมาเพื่ออะไรและมีไว้ทำไม
 


‘เอสเอ็มอี’ ถามรัฐ หาทางออก 7 ประเด็นหนักอก แก้ปัญหาศก. หวังพรรคการเมือง มีเอี่ยวช่วย
https://www.matichon.co.th/economy/news_3633342

‘เอสเอ็มอี’ ถามรัฐ หาทางออก 7 ประเด็นหนักอก แก้ปัญหาเศรษฐกิจ หวังพรรคการเมือง มีเอี่ยวช่วย
 
สืบเนื่องนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ทุกกระทรวงจัดทำของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้กับประชาชนคนไทยในเทศกาลปีใหม่ 2566 นั้น
 
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มไทย เปิดเผยกับ “มติชน” ว่า เชื่อว่าประชาชนและเอสเอ็มอี ไม่อยากได้ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล เท่ากับต้องการให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ทำจริงจังต่อเนื่องและติดตามผลลัพธ์ว่าแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ 
 
แก้หนี้เสีย ของแพง ต้นทุนพุ่ง แรงงานทักษะต่ำ ลดเหลื่อมล้ำกฎหมาย ให้แต้มต่อดอกเบี้ยรายย่อย ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากสร้างสรรค์ ผันรายได้สู่เศรษฐกิจท้องถิ่น
 
สำหรับ 
 
1. แก้หนี้เสีย รหัส 21 (อดีตเคยเป็นลูกหนี้ชั้นดี ปัจจุบันเป็นหนี้เสียช่วงโควิด) ให้ลด ปรับ กลับมาเป็นปกติภายใน 3-6 เดือน ซึ่งมีกว่า 2 ล้านราย โดยนำกองทุนที่มีอยู่มาปรับใช้ชั่วคราวเพื่อฟื้นฟู อาทิ กองทุน สสว. หรือ บสย. FA Center ให้บริหารแก้ไขหนี้อย่างเป็นระบบบูรณาการบ่มเพาะ ถอดบทเรียน สร้างผู้ประกอบการที่มีธรรมาภิบาลและความสร้างสรรค์ในการขับเคลื่อนธุรกิจกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเร่งพัฒนาอาสาแก้หนี้เอสเอ็มอีและภาคประชาชน มีระบบส่งต่อให้ความช่วยเหลือ รวมหนี้ เจรจาประนอมหนี้ ไกล่เกลี่ย และจัดสรรด้านงบประมาณฟื้นฟูให้เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำอย่างแท้จริง เป็นการหยุดไม่ให้หนี้เสียไหลไปหนี้นอกระบบที่นับวันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทั้งกลุ่มเกษตรกร ค้าขาย อาชีพอิสระ ร้อยละ 41.2 52.4 และ 49.8 ตามลำดับ และมีหนี้ระบบ 90,818.4 33,265.9 18,713.6 บาทตามลำดับ ส่วนกลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจที่พบปัญหาหนี้เสียร้อยละ 29.4 และ 31.9 ตามลำดับ โดยค่าเฉลี่ยหนี้นอกระบบ 117,932 บาทและ 158,181.8 บาทตามลำดับ (ที่มา สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์)
 
2 .ของแพง ค่าครองชีพและต้นทุนพุ่ง มีคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ประชาชนและเอสเอ็มอีต้องการทราบว่าตั้งแต่แต่งตั้งมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 และประชุมครั้งที่ 1/2565 ไปเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 มีแผนโครงการจะแก้เฉพาะหน้าอะไรบ้าง และแก้ปัญหาระยะยาวเรื่องใดบ้าง ? อย่างไร กำหนดบรรลุผลเมื่อไหร่ เพื่อประชาชนจะได้สร้างการรับรู้ และติดตามผลสัมฤทธิ์ของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ต้นทุนทางการเกษตร ต้นทุนเอสเอ็มอี ต้นทุนการครองชีพประชาชน อาทิ ปุ๋ย ยา อาหารสัตว์ น้ำมัน ก๊าซ NGV LPG LNG และไฟฟ้า เป็นต้น
 
3. แผนพัฒนาแพลตฟอร์ม Up Skills สู่ Future Skills ผู้ประกอบการ SME วิสาหกิจชุมชนและแรงงานไทย โดยประเทศไทยมีแรงงานไทย 37.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 56.65 ของประชากรไทย แต่พื้นฐานทางการศึกษาแรงงานไทยมีในระดับประถมศึกษา จำนวน 8.3 ล้านคน ร้อยละ 22 ของประชากรแรงงานไทย และแรงงานไม่มีการศึกษาหรือต่ำกว่าประถมศึกษาถึง 7.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 19.5 ของประชากรแรงงานไทย (ที่มา สำนักงานสถิติแห่งชาติ) ซึ่งการยกระดับขีดความสามารถ สมรรถนะ ทักษะของทั้งผู้ประกอบการ SME วิสาหกิจชุมชน และแรงงานไทยให้พัฒนาเป็นระบบนิเวศน์แรงงานคุณภาพสูงและรองรับการขยายตัว การแข่งขันด้านเศรษฐกิจในอนาคตทั้งในและต่างประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำการศึกษา และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง
 
4. ลดเหลื่อมล้ำกฎหมาย ศึกษา วิจัย รายงานมากมาย แต่ไม่เกิดความคืบหน้า เจ้าภาพในการแก้ไขปัญหากฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อวิสาหกิจชุมชน Start up เอสเอ็มอี อาทิ TDRI 175/2564 กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจที่จากการศึกษาพบว่าต้องปรับปรุงแก้ไขรวม 1,094 กระบวนงาน และสามารถประหยัดต้นทุนทุ้งภาครัฐและประชาชนได้กว่า 142,790 ล้านบาทต่อปี เหตุใดไม่เร่งแบ่งภารกิจทำ แก้ไข
 
5. แต้มต่อดอกเบี้ยรายย่อย “ใหญ่ดอกถูก ย่อยดอกแพง” ซึ่งต้องใช้กลไกกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทยของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกิดการขยายผล ทบทวนรูปแบบทั้งวัตถุประสงค์ เกณฑ์ ขั้นตอน วงเงินงบประมาณ และกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งอาจนำกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ สถาบันการเงินชุมชนมาร่วมช่วยขับเคลื่อนการเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำให้กับเศรษฐกิจฐานรากอีกทางหนึ่งได้ด้วย

6. เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนสร้างสรรค์ พึ่งพาตน มุ่งเป้าให้วิสาหกิจชุมชน SME ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ เน้นผลิตเอง ใช้เอง และหาตลาดนอกประเทศขยายต่อยอด ทั้งการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษแต่ละภูมิภาคควบคู่กับการส่งเสริมอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science Park) เป็น “เขตเศรษฐกิจนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” ให้เป็น “ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก” ปรับเปลี่ยนช่วยเหลือเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน Start up และ SME ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และส่งเสริมการตลาด Supply chain จับคู่ธุรกิจให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภูมิภาคต่างๆ
 
7. ส่งเสริมการกระจายรายได้ท้องถิ่น เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน Start up และ SME ด้วยนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ SME (SME-GP) โดยกำหนดให้มีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 50% ของงบประมาณแต่ละหน่วยงาน อาทิ ส่งเสริมการจัดแสดงสินค้า ประชุม อบรม สัมมนา ที่พัก ท่องเที่ยวประจำปี กับผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต SME หรือท้องถิ่น การส่งเสริมเวทีการแสดงสินค้า จำหน่ายสินค้าผู้ประกอบการ SME ที่มีความพร้อมในตลาดต่างประเทศ และมีแพลตฟอร์มบ่มเพาะรายคลัสเตอร์เพื่อพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน นวัตกรรมยกระดับอย่างเป็นระบบเพื่อก้าวสู่ตลาดสากล เป็นต้น
 
“ภาคประชาชน และเอสเอ็มอีต้องการให้ประเทศมีรัฐบาลที่ขับเคลื่อนสร้างความปรองดอง รู้รักสามัคคีด้วยความจริงใจ ทุ่มเทเวลาไปพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ปากท้องพี่น้องประชาชน เศรษฐกิจฐานรากให้แข่งขันในเวทีการค้าโลกจะเกิดมูลค่าเพิ่มยั่งยืนต่อประเทศมากกว่า ทั้ง 7 เรื่องนี้ อยากรัฐเร่งรัด และส่งสัญญาณถึงพรรคการเมือง ที่จะนำไปประกอบนโยบายช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจ ที่เข้าถึงปัญหาได้จริง” นายแสงชัย กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่