-ข้อความทุกข้อความในกระทู้ แปลและเรียบเรียงโดยเพื่อนคนไทยของเจ้าของกระทู้-
เท้าความ
ผมชื่อ สุไลมาน หลวงพ่อตั้งชื่อผมให้ใหม่ว่า สุลัยมาลย์ ผมเป็นชาวมาเลเซีย มาเรียนในวิทยาลัยนานาชาติแห่งหนึ่งในประเทศไทย ผมพูดไทยฟังไทยได้แต่ยังอ่านไทยเขียนไทยไม่ค่อยเป็น ผมเกิดมาในครอบครัวชาวมาเลย์มุสลิม ครอบครัวผมส่งผมมาเรียนที่ประเทศไทยเนื่องจากมองว่าคุ้มค่ากว่าการไปเรียนที่ยุโรปหรืออเมริกา และแน่นอนว่ามีอิสระเสรีในบางเรื่องมากกว่าการเรียนในประเทศมาเลเซียซึ่งมีข้อจำกัดเพราะเป็นสังคมศาสนา และในประเทศไทย สิ่งที่ทำให้ผมสนใจศาสนาพุทธคือคำสอนที่ไม่อิงกับพระเจ้าแต่ชีวิตกลับสงบสุขกว่ามุสลิม เพราะคำสอนส่วนใหญ่บอกให้เราพึ่งตนเอง ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ซึ่งมีรูปธรรมกว่าการวิงวอนขอพรจากพระเจ้า
ผมเริ่มศึกษาศาสนาพุทธจริงจังตั้งแต่ 2 ปีก่อนจากคุณอาที่เป็นญาติห่าง ๆ และอยู่ในประเทศไทยซึ่งเขาเป็นอดีตมุสลิมเข้ารีตเป็นพุทธเหมือนกัน และเพิ่งตัดสินใจเข้ารีตเป็นพุทธมามกะและบวชเป็นพระภิกษุหลังจากที่ได้ทำความตกลงและได้รับความยินยอมกับครอบครัวแล้ว สิ่งแรกที่ผมห่มจีวรคือผมนึกถึงวัยเด็กที่ตัวเองจะได้ใส่ผ้าอิห์รอมสีขาวที่เหมือนจีวร แต่เมื่อโตมาผมกลับห่มจีวรแทน สิ่งต่อมาที่เป็นความแปลกใหม่คือวันบิณฑบาตรครั้งแรก ผมได้ฉันเนื้อหมูด้วย ตอนแรกผมไม่ตั้งใจอยากฉันเพราะติดภาพว่าหมูเป็นสัตว์สกปรกไม่ต่างกับสุนัข แต่เมื่อเจ้าอาวาสบอกว่าเป็นพระแล้ว ควรปล่อยวาง อร่อยไม่อร่อยก็ต้องฉัน ผมจึงจำใจลองกินเนื้อหมู ซึ่งผมรู้สึกแปลกใจมากว่ารสชาติมันอร่อยและนุ่มกว่าเนื้อวัวที่ผมเคยกินมาเป็นสิบกว่าปี ถึงกระนั้นผมจึงปฏิบัติตามคำสอนและคำแนะนำของเจ้าอาวาสต่อ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่ผมจะพูดถึงไม่ใช่ชีวิตของการบวช ดังนั้นจะไม่ขอพูดมาก
การสนทนาที่เปิดหูเปิดตา
วันที่ 29 กรกฎาคม หลังจากช่วงฉันเพลแล้ว ตามเวลาปกติ ต้องเป็นช่วงที่ผมจะต้องฝึกตนด้วยการกวาดลาดวัด หรือศึกษาพระธรรม แต่หลวงพ่อซึ่งรู้ว่าผมเคยเป็นมุสลิมก่อน ได้เรียกผมไปสนทนาธรรมเกี่ยวกับศาสนาของผม และแลกเปลี่ยนความรู้กัน
(บทสนทนาธรรมส่วนใหญ่เป็นภาษาไทย แต่ จขกท. จดเขียนเป็นภาษาอังกฤษ อาจจะมีแปลคลาดเคลื่อนในบางข้อความ - ผู้แปลเพื่อน จขกท.)
ผม: "ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้าใช่ไหมครับ?"
หลวงพ่อ: "ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า แต่ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องพระเจ้า ว่ากันตามตรงคือไม่ได้สนใจเรื่องพระเจ้า มองว่าการปฏิบัติตน ฝึกตนนั้นสำคัญที่สุด"
ผม: "แล้วทำไมคนไทยถึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้าในศาสนาต่าง ๆ เหรอครับ?"
หลวงพ่อ: "ศาสนาพุทธไม่ได้ห้ามนับถือพระเจ้าศาสนาอื่น แต่ผมไม่ได้นับถือพระเจ้า เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์"
ผม: "ทำไมพระสงฆ์จึงนับถือเทพเจ้าไม่ได้ครับ?"
หลวงพ่อ: "เพราะกิจของสงฆ์ ยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า วิธีฝึกจิต ฝึกสติปัญญา ปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์สอน"
ผม: "ทำไมฆราวาสถึงไม่เคร่งตามพระสงฆ์บ้างครับ เพราะศาสนาอิสลาม ทุกคนต้องเคร่งเหมือนกันหมด"
หลวงพ่อ: "ศาสนาพุทธไม่ได้มีกฎบัญญัติเยอะ ไม่ได้มองว่าการห้ามกินหมู หรือการไหว้สักการะพระเจ้าองค์อื่นจะทำให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้เหมือนศาสนาของคุณ สิ่งที่พระพุทธองค์ต้องการจากอุบาสก อุบาสิกามีเพียงแค่ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่คิดทำชั่วสร้างความเดือดร้อน ทำแต่ความดี ก็พอแล้ว"
ผม: "แล้วเหตุใดพระสงฆ์จึงต้องมีศีลเยอะและบัญญัติเยอะครับ?"
หลวงพ่อ: "เพราะพระสงฆ์บวชเพื่อละกิเลส เพื่อตัดกิเลส และไม่ยึดติดกับสิ่งใด กิจของพระสงฆ์จึงมีจุดมุ่งหมายหลักคือการปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นจากกิเลส"
ผม: "แล้วเหตุใดจึงบวชแล้วสึกครับ?"
หลวงพ่อ: "บวชเพื่อศึกษาธรรมะ ฝึกจิต ฝึกสติปัญญา ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากคุณไม่ได้เข้ามาบวชเพื่อกอบโกยสร้างกิเลสให้หนาขึ้น หากพอใจแล้วจะสึกไปก็ได้ ดีกว่าบวชเป็นพระแล้วทำให้ศาสนามัวหมอง"
ผม: "เหตุใดจุดมุ่งหมายสูงสุดของการบวชคือนิพพาน? มีความหมายเดียวกับวันสิ้นสุดโลกหรือไม่ครับ?"
หลวงพ่อ: "การบรรลุนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ ไม่ใช่การขึ้นสวรรค์เพราะถือว่ายังอยู่ในสังสารวัฏอยู่ ถ้าพูดให้เข้าใจในความหมายของผมคือ คุณเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ของโลก ไร้รส ไร้กลิ่น ไร้ความรู้สึกสุขทุกข์"
ผม: "ทำไมศาสนาพุทธไม่มีเรื่องวันสิ้นโลก ไม่มีการพิพากษาคนดีคนชั่วเหมือนศาสนาของผมครับ?"
หลวงพ่อ: "เพราะเป็นคนละศาสนา ต่างความเชื่อ ต่างที่มา ศาสดาของพุทธเป็นอดีตเจ้าชายที่กำเนิดในประเทศเนปาล ศาสดาของคุณเป็นอีกรูปแบบ"
ผม: "เวลามีใครคิดทำลายศาสนาพุทธ จะปกป้องกันอย่างไรครับ?"
หลวงพ่อ: "ถ้าเอาตามวิถีปุถุชนที่คิดทั่วไป เราก็แค่ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา หาทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดหรือแย่น้อยที่สุด แต่ถ้าวิถีพุทธจริง ๆ วิธีที่ดีที่สุดก็คือปล่อยวาง ยอมรับความจริง เพราะธรรมะคือความจริงของชีวิต คือความจริงของโลกและธรรมชาติ"
ผม: "แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ศาสนาพุทธและธรรมะก็ต้องมีวันถึงจุดจบใช่ไหมครับ?"
หลวงพ่อ: "ถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างมีจุดจบของมันเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะยาวนานแค่ไหน แม้แต่โลกใบนี้ก็ต้องมีวันหนึ่งที่ถึงคราวแตกดับ แต่ก็อาจจะอีกตั้งล้านปี แสนปี กว่าจะถึงวันนั้น ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำใจให้สบายกับปัจจุบัน มีสติกับปัจจุบัน อย่าไปคิดถึงเรื่องในอดีต อย่าไปคิดมากเรื่องในอนาคต"
ผม: "ในมุมมองของหลวงพ่อ ศาสนาอิสลามเป็นอย่างไรครับ?"
หลวงพ่อ: "เป็นศาสนาแห่งรอยยิ้ม ผู้คนมีมิตรไมตรีต่อกัน แต่มีความขัดแย้งกันบ่อย"
ผม: "แล้วในศาสนาพุทธ มีความขัดแย้งกันไหมครับในเรื่องความเชื่อหรือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา"
หลวงพ่อ: "เป็นสัจธรรมของมนุษย์ มีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ผมไม่เคยรู้ว่าถึงขั้นสู้รบกันเหมือนศาสนาคุณไหม ผมรู้แค่ว่า สิ่งใดที่ควรยึดถือ ผมก็ยึดถือตามที่พระพุทธองค์สอน แค่นั้น"
หลวงพ่อ (ถามบ้าง): "ขอถามอีกครั้งว่าทำไมคุณถึงมาเป็นพุทธศาสนิกชนและมาบวชเป็นพระ?"
ผม: "ผมรู้สึกว่าศาสนาพุทธมีอิสระเสรีมากกว่าศาสนาของผมครับ"
หลวงพ่อ: "อิสระเสรีที่สุด แล้วทำไมคุณไม่เป็นคนไร้ศาสนาไปเลย เพราะไม่ต้องกราบไหว้อะไร หรือมีศีลข้อห้ามอะไร"
ผม: "การเป็นคนไร้ศาสนาตอบโจทย์ชีวิตผมไม่ได้ครับ ศาสนาพุทธเองก็ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์อยู่แล้วก็นับถือพุทธเลยดีกว่าครับ"
ผม (กลับมาถาม): "หลวงพ่อครับ ศาสนาผมเชื่อในเรื่องการดลบันดาล การลงโทษโดยพระเจ้า กฎแห่งกรรมถือว่าเหมือนกันมั้ยครับ?"
หลวงพ่อ: "ผมตอบไม่ได้ แต่ถ้ามองว่ากฎแห่งกรรมคือเงาสะท้อน คุณอาจจะพอคิดได้ว่ากฎมันทำงานอย่างไรและแตกต่างอย่างไรกับพระเจ้าของคุณ"
ผม: "ทำไมศาสนาพุทธ กฎเกณฑ์บังคับน้อย แต่ผู้คนยังสามารถขึ้นสวรรค์ได้เพราะแค่ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ครับ?"
หลวงพ่อ: "อย่างที่ผมบอก ศาสนาพุทธไม่มีเรื่องห้ามกินหมู ไม่ได้ห้ามกราบไหว้เทพเจ้าต่างศาสนา เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการประพฤติกาย วาจา ใจ โดยตรง เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องการดำรงชีวิตทั่วไป ไม่เกี่ยวกับการถือศีลเพื่อละเว้นทำชั่ว"
บทสรุปและบทส่งท้าย
ผมกับหลวงพ่อได้สนทนาธรรมกันอีกเยอะนานนับชั่วโมง แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมสนทนาธรรมกันไปอีกด้วยเรื่องอะไรบ้าง จึงสรุปได้ว่าวันนั้นทำให้ผมได้เปิดหูเปิดมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนาพุทธ โดยเฉพาะเรื่องการดำรงชีวิตระหว่างอุบาสก-อุบาสิกา กับ พระภิกษุสงฆ์ ในช่วงท้ายๆ ที่ผมบวช มีบางคนแอบตำหนิผมว่าเป็นคนต่างศาสนาปลอมมาบวชทำลายศาสนาพุทธ ผมปรึกษากับหลวงพ่อ หลวงพ่อตอบมาว่า "ถ้าใจเราบริสุทธิ์ ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะเราไม่ได้ทำแบบนั้นอยู่แล้ว" หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตต่อจนกระทั่งครบกำหนดสึก จึงได้เขียนเรื่องราวมาบอกกล่าวกัน (ความจริงผมตั้งใจจะบวชให้นานกว่านี้ แต่ด้วยธุระบางอย่างจึงต้องสึกก่อน ผมตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสอีกจะบวชให้นานกว่านี้อีกหน่อย)
แม้ผมไม่รู้ว่าทุกวันนี้ คนไทยจะยังยึดถือศาสนาพุทธแค่ไหน แต่ศาสนาพุทธทำให้ผมได้รู้สึกว่า การมีศาสนา ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดจนรู้สึกอึดอัดใจ มองแค่เพียงว่า ทำอะไรแล้วดี และสบายใจ ก็ทำไป การบวชไม่เพียงแต่การเป็นฝึกฝนกาย ใจ วาจา ก็พอแล้วครับ
ปุจฉา - วิสัจชนา ระหว่างผมกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส (เมื่อมุสลิมเข้ารีตบวชพระ)
เท้าความ
ผมชื่อ สุไลมาน หลวงพ่อตั้งชื่อผมให้ใหม่ว่า สุลัยมาลย์ ผมเป็นชาวมาเลเซีย มาเรียนในวิทยาลัยนานาชาติแห่งหนึ่งในประเทศไทย ผมพูดไทยฟังไทยได้แต่ยังอ่านไทยเขียนไทยไม่ค่อยเป็น ผมเกิดมาในครอบครัวชาวมาเลย์มุสลิม ครอบครัวผมส่งผมมาเรียนที่ประเทศไทยเนื่องจากมองว่าคุ้มค่ากว่าการไปเรียนที่ยุโรปหรืออเมริกา และแน่นอนว่ามีอิสระเสรีในบางเรื่องมากกว่าการเรียนในประเทศมาเลเซียซึ่งมีข้อจำกัดเพราะเป็นสังคมศาสนา และในประเทศไทย สิ่งที่ทำให้ผมสนใจศาสนาพุทธคือคำสอนที่ไม่อิงกับพระเจ้าแต่ชีวิตกลับสงบสุขกว่ามุสลิม เพราะคำสอนส่วนใหญ่บอกให้เราพึ่งตนเอง ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ซึ่งมีรูปธรรมกว่าการวิงวอนขอพรจากพระเจ้า
ผมเริ่มศึกษาศาสนาพุทธจริงจังตั้งแต่ 2 ปีก่อนจากคุณอาที่เป็นญาติห่าง ๆ และอยู่ในประเทศไทยซึ่งเขาเป็นอดีตมุสลิมเข้ารีตเป็นพุทธเหมือนกัน และเพิ่งตัดสินใจเข้ารีตเป็นพุทธมามกะและบวชเป็นพระภิกษุหลังจากที่ได้ทำความตกลงและได้รับความยินยอมกับครอบครัวแล้ว สิ่งแรกที่ผมห่มจีวรคือผมนึกถึงวัยเด็กที่ตัวเองจะได้ใส่ผ้าอิห์รอมสีขาวที่เหมือนจีวร แต่เมื่อโตมาผมกลับห่มจีวรแทน สิ่งต่อมาที่เป็นความแปลกใหม่คือวันบิณฑบาตรครั้งแรก ผมได้ฉันเนื้อหมูด้วย ตอนแรกผมไม่ตั้งใจอยากฉันเพราะติดภาพว่าหมูเป็นสัตว์สกปรกไม่ต่างกับสุนัข แต่เมื่อเจ้าอาวาสบอกว่าเป็นพระแล้ว ควรปล่อยวาง อร่อยไม่อร่อยก็ต้องฉัน ผมจึงจำใจลองกินเนื้อหมู ซึ่งผมรู้สึกแปลกใจมากว่ารสชาติมันอร่อยและนุ่มกว่าเนื้อวัวที่ผมเคยกินมาเป็นสิบกว่าปี ถึงกระนั้นผมจึงปฏิบัติตามคำสอนและคำแนะนำของเจ้าอาวาสต่อ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่ผมจะพูดถึงไม่ใช่ชีวิตของการบวช ดังนั้นจะไม่ขอพูดมาก
การสนทนาที่เปิดหูเปิดตา
วันที่ 29 กรกฎาคม หลังจากช่วงฉันเพลแล้ว ตามเวลาปกติ ต้องเป็นช่วงที่ผมจะต้องฝึกตนด้วยการกวาดลาดวัด หรือศึกษาพระธรรม แต่หลวงพ่อซึ่งรู้ว่าผมเคยเป็นมุสลิมก่อน ได้เรียกผมไปสนทนาธรรมเกี่ยวกับศาสนาของผม และแลกเปลี่ยนความรู้กัน
(บทสนทนาธรรมส่วนใหญ่เป็นภาษาไทย แต่ จขกท. จดเขียนเป็นภาษาอังกฤษ อาจจะมีแปลคลาดเคลื่อนในบางข้อความ - ผู้แปลเพื่อน จขกท.)
ผม: "ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้าใช่ไหมครับ?"
หลวงพ่อ: "ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า แต่ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องพระเจ้า ว่ากันตามตรงคือไม่ได้สนใจเรื่องพระเจ้า มองว่าการปฏิบัติตน ฝึกตนนั้นสำคัญที่สุด"
ผม: "แล้วทำไมคนไทยถึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้าในศาสนาต่าง ๆ เหรอครับ?"
หลวงพ่อ: "ศาสนาพุทธไม่ได้ห้ามนับถือพระเจ้าศาสนาอื่น แต่ผมไม่ได้นับถือพระเจ้า เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์"
ผม: "ทำไมพระสงฆ์จึงนับถือเทพเจ้าไม่ได้ครับ?"
หลวงพ่อ: "เพราะกิจของสงฆ์ ยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า วิธีฝึกจิต ฝึกสติปัญญา ปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์สอน"
ผม: "ทำไมฆราวาสถึงไม่เคร่งตามพระสงฆ์บ้างครับ เพราะศาสนาอิสลาม ทุกคนต้องเคร่งเหมือนกันหมด"
หลวงพ่อ: "ศาสนาพุทธไม่ได้มีกฎบัญญัติเยอะ ไม่ได้มองว่าการห้ามกินหมู หรือการไหว้สักการะพระเจ้าองค์อื่นจะทำให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้เหมือนศาสนาของคุณ สิ่งที่พระพุทธองค์ต้องการจากอุบาสก อุบาสิกามีเพียงแค่ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่คิดทำชั่วสร้างความเดือดร้อน ทำแต่ความดี ก็พอแล้ว"
ผม: "แล้วเหตุใดพระสงฆ์จึงต้องมีศีลเยอะและบัญญัติเยอะครับ?"
หลวงพ่อ: "เพราะพระสงฆ์บวชเพื่อละกิเลส เพื่อตัดกิเลส และไม่ยึดติดกับสิ่งใด กิจของพระสงฆ์จึงมีจุดมุ่งหมายหลักคือการปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นจากกิเลส"
ผม: "แล้วเหตุใดจึงบวชแล้วสึกครับ?"
หลวงพ่อ: "บวชเพื่อศึกษาธรรมะ ฝึกจิต ฝึกสติปัญญา ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากคุณไม่ได้เข้ามาบวชเพื่อกอบโกยสร้างกิเลสให้หนาขึ้น หากพอใจแล้วจะสึกไปก็ได้ ดีกว่าบวชเป็นพระแล้วทำให้ศาสนามัวหมอง"
ผม: "เหตุใดจุดมุ่งหมายสูงสุดของการบวชคือนิพพาน? มีความหมายเดียวกับวันสิ้นสุดโลกหรือไม่ครับ?"
หลวงพ่อ: "การบรรลุนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ ไม่ใช่การขึ้นสวรรค์เพราะถือว่ายังอยู่ในสังสารวัฏอยู่ ถ้าพูดให้เข้าใจในความหมายของผมคือ คุณเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ของโลก ไร้รส ไร้กลิ่น ไร้ความรู้สึกสุขทุกข์"
ผม: "ทำไมศาสนาพุทธไม่มีเรื่องวันสิ้นโลก ไม่มีการพิพากษาคนดีคนชั่วเหมือนศาสนาของผมครับ?"
หลวงพ่อ: "เพราะเป็นคนละศาสนา ต่างความเชื่อ ต่างที่มา ศาสดาของพุทธเป็นอดีตเจ้าชายที่กำเนิดในประเทศเนปาล ศาสดาของคุณเป็นอีกรูปแบบ"
ผม: "เวลามีใครคิดทำลายศาสนาพุทธ จะปกป้องกันอย่างไรครับ?"
หลวงพ่อ: "ถ้าเอาตามวิถีปุถุชนที่คิดทั่วไป เราก็แค่ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา หาทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดหรือแย่น้อยที่สุด แต่ถ้าวิถีพุทธจริง ๆ วิธีที่ดีที่สุดก็คือปล่อยวาง ยอมรับความจริง เพราะธรรมะคือความจริงของชีวิต คือความจริงของโลกและธรรมชาติ"
ผม: "แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ศาสนาพุทธและธรรมะก็ต้องมีวันถึงจุดจบใช่ไหมครับ?"
หลวงพ่อ: "ถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างมีจุดจบของมันเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะยาวนานแค่ไหน แม้แต่โลกใบนี้ก็ต้องมีวันหนึ่งที่ถึงคราวแตกดับ แต่ก็อาจจะอีกตั้งล้านปี แสนปี กว่าจะถึงวันนั้น ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำใจให้สบายกับปัจจุบัน มีสติกับปัจจุบัน อย่าไปคิดถึงเรื่องในอดีต อย่าไปคิดมากเรื่องในอนาคต"
ผม: "ในมุมมองของหลวงพ่อ ศาสนาอิสลามเป็นอย่างไรครับ?"
หลวงพ่อ: "เป็นศาสนาแห่งรอยยิ้ม ผู้คนมีมิตรไมตรีต่อกัน แต่มีความขัดแย้งกันบ่อย"
ผม: "แล้วในศาสนาพุทธ มีความขัดแย้งกันไหมครับในเรื่องความเชื่อหรือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา"
หลวงพ่อ: "เป็นสัจธรรมของมนุษย์ มีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ผมไม่เคยรู้ว่าถึงขั้นสู้รบกันเหมือนศาสนาคุณไหม ผมรู้แค่ว่า สิ่งใดที่ควรยึดถือ ผมก็ยึดถือตามที่พระพุทธองค์สอน แค่นั้น"
หลวงพ่อ (ถามบ้าง): "ขอถามอีกครั้งว่าทำไมคุณถึงมาเป็นพุทธศาสนิกชนและมาบวชเป็นพระ?"
ผม: "ผมรู้สึกว่าศาสนาพุทธมีอิสระเสรีมากกว่าศาสนาของผมครับ"
หลวงพ่อ: "อิสระเสรีที่สุด แล้วทำไมคุณไม่เป็นคนไร้ศาสนาไปเลย เพราะไม่ต้องกราบไหว้อะไร หรือมีศีลข้อห้ามอะไร"
ผม: "การเป็นคนไร้ศาสนาตอบโจทย์ชีวิตผมไม่ได้ครับ ศาสนาพุทธเองก็ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์อยู่แล้วก็นับถือพุทธเลยดีกว่าครับ"
ผม (กลับมาถาม): "หลวงพ่อครับ ศาสนาผมเชื่อในเรื่องการดลบันดาล การลงโทษโดยพระเจ้า กฎแห่งกรรมถือว่าเหมือนกันมั้ยครับ?"
หลวงพ่อ: "ผมตอบไม่ได้ แต่ถ้ามองว่ากฎแห่งกรรมคือเงาสะท้อน คุณอาจจะพอคิดได้ว่ากฎมันทำงานอย่างไรและแตกต่างอย่างไรกับพระเจ้าของคุณ"
ผม: "ทำไมศาสนาพุทธ กฎเกณฑ์บังคับน้อย แต่ผู้คนยังสามารถขึ้นสวรรค์ได้เพราะแค่ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ครับ?"
หลวงพ่อ: "อย่างที่ผมบอก ศาสนาพุทธไม่มีเรื่องห้ามกินหมู ไม่ได้ห้ามกราบไหว้เทพเจ้าต่างศาสนา เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการประพฤติกาย วาจา ใจ โดยตรง เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องการดำรงชีวิตทั่วไป ไม่เกี่ยวกับการถือศีลเพื่อละเว้นทำชั่ว"
บทสรุปและบทส่งท้าย
ผมกับหลวงพ่อได้สนทนาธรรมกันอีกเยอะนานนับชั่วโมง แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมสนทนาธรรมกันไปอีกด้วยเรื่องอะไรบ้าง จึงสรุปได้ว่าวันนั้นทำให้ผมได้เปิดหูเปิดมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนาพุทธ โดยเฉพาะเรื่องการดำรงชีวิตระหว่างอุบาสก-อุบาสิกา กับ พระภิกษุสงฆ์ ในช่วงท้ายๆ ที่ผมบวช มีบางคนแอบตำหนิผมว่าเป็นคนต่างศาสนาปลอมมาบวชทำลายศาสนาพุทธ ผมปรึกษากับหลวงพ่อ หลวงพ่อตอบมาว่า "ถ้าใจเราบริสุทธิ์ ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะเราไม่ได้ทำแบบนั้นอยู่แล้ว" หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตต่อจนกระทั่งครบกำหนดสึก จึงได้เขียนเรื่องราวมาบอกกล่าวกัน (ความจริงผมตั้งใจจะบวชให้นานกว่านี้ แต่ด้วยธุระบางอย่างจึงต้องสึกก่อน ผมตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสอีกจะบวชให้นานกว่านี้อีกหน่อย)
แม้ผมไม่รู้ว่าทุกวันนี้ คนไทยจะยังยึดถือศาสนาพุทธแค่ไหน แต่ศาสนาพุทธทำให้ผมได้รู้สึกว่า การมีศาสนา ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดจนรู้สึกอึดอัดใจ มองแค่เพียงว่า ทำอะไรแล้วดี และสบายใจ ก็ทำไป การบวชไม่เพียงแต่การเป็นฝึกฝนกาย ใจ วาจา ก็พอแล้วครับ