" สัตว์ "---ตอนที่ 9 :...การก้าวลงสู่ครรภ์....เป็นทารก....จากนั้นความทุกข์ก็แสดงออกมา...

กระทู้สนทนา


======นี้เป็นคำสรรเสริญพระศาสดา..โดยพระสารีบุตร..ครับ========

https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=2130&Z=2536
๕. สัมปสาทนียสูตร (๒๘)
...
...
 ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์ทั้งหลายที่มีชาติอันไม่อาจนับได้ด้วยวิธีคำนวณ
หรือวิธีนับ ก็ยังมีอยู่ แม้ภพซึ่งเป็นที่ๆ เขาเคยอาศัยอยู่ คือรูปภพ อรูปภพ
สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ [ที่ไม่อาจนับได้] ก็ยังมี ย่อมตามระลึก
ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ
ด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่ายบุพเพนิวาสานุสสติญาณ

[๗๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ 
พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้ คือ 

- สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
- ไม่รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา
- ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา
นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ฯ
{ อิธ ปน  ภนฺเต เอกจฺโจ   <-----------ไม่คำว่า " สตฺต, สตฺตา, สตฺโตติ...9ล9
อสมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉึ โอกฺกมติ
อสมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิสฺมึ ฐาติ
อสมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ
อยํ ปฐมา คพฺภาวกฺกนฺติ ฯ }

ยังอีกข้อหนึ่ง....
- สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง เดียว
- แต่ไม่รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา
- ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา
นี้เป็นการ ก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ฯ
{ ปุน จปรํ ภนฺเต อิเธกจฺโจ    <-----------ไม่คำว่า " สตฺต, สตฺตา, สตฺโตติ...9ล9
สมฺปชาโน หิ โข มาตุ กุจฺฉึ โอกฺกมติ
อสมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิสฺมึ ฐาติ
อสมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ
อยํ ทุติยา คพฺภาวกฺกนฺติ ฯ }

ยังอีกข้อหนึ่ง....
- สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
- รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์ มารดา
- แต่ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา
นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๓ ฯ
{ ปุน จปรํ ภนฺเต อิเธกจฺโจ    <-----------ไม่คำว่า " สตฺต, สตฺตา, สตฺโตติ...9ล9
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉึ โอกฺกมติ
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิสฺมึ ฐาติ
อสมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ
อยํ ตติยา คพฺภาวกฺกนฺติ ฯ }

ยังอีกข้อหนึ่ง.....
- สัตว์บางชนิดในโลกนี้รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
- รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา
- รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา
นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๔ ฯ
{ ปุน จปรํ ภนฺเต อิเธกจฺโจ    <-----------ไม่คำว่า " สตฺต, สตฺตา, สตฺโตติ...9ล9
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉึ โอกฺกมติ
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิสฺมึ ฐาติ
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ
อยํ จตุตฺถา คพฺภาวกฺกนฺติ ฯ }
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์ ฯ
เอตทานุตฺตริยํ ภนฺเต คพฺภาวกฺกนฺตีสุ ฯ
https://etipitaka.com/read/thai/11/78/
 
เหตุแห่งการเกิดในครรภ์ 
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิด แห่งทารกก็มี 
 [๔๕๒] ติณฺณํ โข ปน ภิกฺขเว สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติ ฯ 

- ในสัตว์โลกนี้...มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน....แต่มารดายังไม่มีระดู...และทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ
   ความเกิดแห่งทารก....ก็ยังไม่มีก่อน
   อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ มาตา จ น อุตุนี โหติ คนฺธพฺโพ จ น ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ  <-----ไม่มีคำว่า " สัตว์ "
   เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติ ฯ 
- ในสัตว์โลกนี้...มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน.....มารดามีระดู................แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ
    ความเกิดแห่งทารก....ก็ยังไม่มีก่อน
    อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ มาตา จ อุตุนี โหติ คนฺธพฺโพ จ น ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ  <-----ไม่มีคำว่า " สัตว์ "
     เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย...
ยโต จ โข ภิกฺขเว
- เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย....มารดามีระดูด้วย....ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย
   เพราะความ ประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้......ความเกิดแห่งทารกจึงมี
   มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ มาตา จ อุตุนี โหติ คนฺธพฺโพ จ ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ  <-----ไม่มีคำว่า " สัตว์ "
    เอวํ ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดา ย่อมรักษาทารกนั้นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง เมื่อล่วงไปเก้าเดือน
หรือสิบเดือน   มารดาก็คลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความเสี่ยงชีวิตมากและเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนัก
นั้นซึ่งเกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก.

[๔๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย น้ำนมของมารดานับเป็นโลหิตในอริยวินัย
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย กุมารนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมเล่นด้วยเครื่องเล่น
สำหรับกุมาร คือ ไถเล็ก ตีไม้หึ่ง หกขะเมน จังหัน ตวงทราย รถเล็ก ธนูเล็ก
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กุมารนั่นนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย พรั่งพร้อม บำเรออยู่ด้วย
กามคุณ ๕คือ รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัดและความรักเสียงที่รู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นที่รู้แจ้งด้วย ฆานะ ... รสที่รู้แจ้งด้วยลิ้น ... โผฏฐัพพะที่รู้แจ้ง
ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดและความรัก
กุมารนั้น เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมกำหนัดในรูปที่น่ารัก ย่อมขัดเคืองในรูปที่น่าชัง ย่อมเป็นผู้มีสติในกายไม่ตั้งมั่น
และมีจิตเป็นอกุศลอยู่ ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับหมดแห่งเหล่า อกุศลธรรมอันลามก
ตามความเป็นจริง เขาเป็นผู้ถึงพร้อมซึ่งความยินดียินร้ายอย่างนี้ เสวยเวทนา อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี
เป็นทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจ เวทนานั้นอยู่ เมื่อกุมารนั้นเพลิดเพลิน บ่นถึง
ติดใจเวทนานั้นอยู่ความเพลิดเพลินก็เกิดขึ้น ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทาน
เป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพ เป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาส
ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้
กุมารนั้น ได้ยินเสียงด้วย โสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
....รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วย ใจแล้ว ย่อมกำหนัดในธรรมารมณ์ที่น่ารัก ย่อมขัดเคืองในธรรมารมณ์ที่น่าชัง ย่อมเป็นผู้มีสติใน
กายไม่ตั้งมั่นและมีจิตเป็นอกุศลอยู่ ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับหมด แห่งเหล่าอกุศลธรรม
อันลามกตามความเป็นจริง เขาเป็นผู้ถึงพร้อมซึ่งความยินดียินร้ายอย่างนี้ เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี
เป็นทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจ เวทนานั้นอยู่ เมื่อกุมารนั้นเพลิดเพลิน บ่นถึง
ติดใจเวทนานั้นอยู่ความเพลิด เพลินก็เกิดขึ้น ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ อย่างนี้.

 
ที่ยกพระสูตรไทยนี้....ไปตรวจสอบบาลีแล้วพบว่าไม่มีการใช่
คำว่า " สัตว์-ผู้ยึดติด "... แต่พระสูตรไทยกลับแปลใส่เข้ามาทั้ง 2 พระสูตรเลย
ก็ไม่เป็นไร...ก็ว่าไปตามอรรถของบาลี...เป็นหลัก

สรุปดังนี้
1. พระสารีบุตรท่านสรรเสริญพระผู้มีพระภาคว่า...พระองค์สอน...บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    ที่ทำให้รู้ว่า
    "   สัตว์ทั้งหลายที่มีชาติอันไม่อาจนับได้ด้วยวิธีคำนวณหรือวิธีนับ...
         แม้ภพซึ่งเป็นที่ๆ เขาเคยอาศัยอยู่..."
    ☝
    ☝-- อ่านแล้วเข้าใจำหม?   สัตว์สิ่งเดิมนั่นหละ...ได้การเกิด-ได้การตาย...โดยไม่อาจจะนับได้
           คือ...สัตว์ไม่ได้ตาย...ไม่ได้เกิด  แต่ " ได้การเกิด-ได้การตาย "

2. พระสูตรแรกเกิดจากที่พระสารีบุตรท่านสรรเสริญพระผู้มีพระภาคว่าได้สอนเหล่าวาวกในเรื่องนั้นนี้
    และอันนี้...พระศาสดาท่านกล่าวเรืองการเกิดในครรภ์... ผมจะลองดูว่าบาลีให้ความหมายว่าอย่างไร
ปุน จปรํ ภนฺเต อิเธกจฺโจ ---------------- ยังมีอีก..อย่างอื่นอีก, พระองค์ผู้เจริญ...และบางส่วน(บางคน)
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉึ โอกฺกมติ --------- รู้สึกตัว..ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิสฺมึ ฐาติ ----------- รู้สึกตัว..ตัวอยู่ในครรภ์มารดา
สมฺปชาโน มาตุ กุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ ----- รู้สึกตัว..ออกจากในครรภ์มารดา 
อยํ จตุตฺถา คพฺภาวกฺกนฺติ --------------- อย่างนี้แล.. เป็นอันดับที่ 4..ในการก้าวลงสู่ครรภ์

3. พระสูตรที่ 2... ทารกจะเกิดมีได้ก็ต่อเมื่อครบองค์ 3 
มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ -------มารดาบิดา...การอยู่ร่วมกัน..ได้มีแล้ว
มาตา จ อุตุนี โหติ ----------------------มารดา..มีระดู
คนฺธพฺโพ จ ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ ---------ครรภ์นั้นแล..มีการบำรุงแล้ว <--พระสูตรไทยกลับไปแปลว่า " ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย " 
เอวํ ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติ ฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่