งง เมื่อเทียบกันแล้วกับเรื่องการเกิดที่พระองค์ตรัสไว้ ๒ แห่ง ( มีเยอะกว่านี้ครับ ) คืองงว่า ทำไมการเกิดในสูตร แรก ไม่เกี่ยวกับเรื่องธาตุ ๖ เลย แต่ ๒ สูตรต่อมา ( มีเยอะกว่านี้ครับ ) เกี่ยวกับธาตุ ๖ ด้วย แต่ว่า สูตรแรกนั้น ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากเมื่อพิจารณาในหลักของปฏิจจสมุปบาท แล้วจะสรุปยังไงดีครับ
ส่วนตรงนี้ถามอีกประเด็นครับ
ถ้ายึดสูตรแรกที่ยกมา แล้วอะไรที่มาเกิดในครรภ์ครับ ถ้าสูตรที่ ๒ จะเรียกว่าสัตว์ แล้วมันประเภทไหนกันแน่ครับ เพราะถ้ายึดสูตรแรกนั้นก็มีองค์ประกอบแค่ มารดาบิดาและก็เชื้อของทั้ง ๒ ฝ่ายผสมกันแค่นั้นเอง หรือ ตามสูตรแรกที่บอกว่า ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฎนั้น คือสัตว์ครับ ซึ่งมันทำให้มึนไปหมดแล้วครับตอนนี้ ระหว่างเชื้อ กับสัตว์ ขอผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ
คือว่า ตามสูตรนี้ พระไตรปิฎก สยามรัฐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อที่ ๔๕๒
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิด
แห่งทารกก็มี ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และทารกที่จะมาเกิด
ยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามี
ระดู แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความ
ประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดา
ย่อมรักษาทารกนั้นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง เมื่อล่วงไปเก้าเดือน หรือสิบเดือน
มารดาก็คลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก และเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนักนั้นซึ่งเกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก.
เมื่อเทียบกับ สูตรนี้ครับ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ข้อที่ ๗๗
[๗๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้ คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา
ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง เดียว แต่ไม่
รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการ ก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึก ตัวอยู่ในครรภ์
มารดา แต่ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๓ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ใน
ครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๔ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์ ฯ
กับ สูตรนี้ด้วยครับ
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อที่ ๕๐๑
......ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เรา
แสดงไว้ว่า อริยสัจ ๔ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์
ผู้รู้ นี้เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนี้แล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดังนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะถือมั่นธาตุ ๖ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เราบัญญัติ ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่......
งง เมื่อเทียบกันแล้วกับเรื่องการเกิดที่พระองค์ตรัสไว้ ๒ แห่ง
ส่วนตรงนี้ถามอีกประเด็นครับ
ถ้ายึดสูตรแรกที่ยกมา แล้วอะไรที่มาเกิดในครรภ์ครับ ถ้าสูตรที่ ๒ จะเรียกว่าสัตว์ แล้วมันประเภทไหนกันแน่ครับ เพราะถ้ายึดสูตรแรกนั้นก็มีองค์ประกอบแค่ มารดาบิดาและก็เชื้อของทั้ง ๒ ฝ่ายผสมกันแค่นั้นเอง หรือ ตามสูตรแรกที่บอกว่า ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฎนั้น คือสัตว์ครับ ซึ่งมันทำให้มึนไปหมดแล้วครับตอนนี้ ระหว่างเชื้อ กับสัตว์ ขอผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ
คือว่า ตามสูตรนี้ พระไตรปิฎก สยามรัฐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อที่ ๔๕๒
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิด
แห่งทารกก็มี ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และทารกที่จะมาเกิด
ยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามี
ระดู แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความ
ประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดา
ย่อมรักษาทารกนั้นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง เมื่อล่วงไปเก้าเดือน หรือสิบเดือน
มารดาก็คลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก และเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนักนั้นซึ่งเกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก.
เมื่อเทียบกับ สูตรนี้ครับ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ข้อที่ ๗๗
[๗๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้ คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา
ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง เดียว แต่ไม่
รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการ ก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึก ตัวอยู่ในครรภ์
มารดา แต่ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๓ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ใน
ครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๔ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์ ฯ
กับ สูตรนี้ด้วยครับ
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อที่ ๕๐๑
......ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เรา
แสดงไว้ว่า อริยสัจ ๔ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์
ผู้รู้ นี้เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนี้แล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดังนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะถือมั่นธาตุ ๖ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เราบัญญัติ ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่......