สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังคปกรณ์ แปล ๔.สัจจวิภังค หน้า๑๒๕
วรรณนานิเทศวาร
นิเทศทุกขสัจจ์
[๑๙๐] บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเพื่อจะทรงแสดงจำแนกทุกข์เป็นต้น ที่ทรงยกขึ้นแสดงไว้โดยสังเขป จึงทรงเริ่มนิเทศวารนี้ว่า ทุกขอริยสัจจ์ในอุเทศนั้น เป็นไฉน คือ ชาติทุกข์บ้าง ดังนี้เป็นต้น. ในนิเทศวารนั้นพึงทราบชาติ, พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ, พึงทราบชรา, พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชรา, พึงทราบมรณะ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของมรณะ, พึงทราบโสกะ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของโสกะ, พึงทราบปริเทวะ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของปริเทวะ, พึงทราบทุกข์ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของทุกข์, พึงทราบโทมนัส พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของโทมนัส, พึงทราบอุปายาส พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของอุปายาส, พึงทราบอัปปิยสัมปโยค พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของอัปปิยสัมปโยค, พึงทราบปิยวิปปโยค พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของปิยวิปปโยค, พึงทราบอิจฉา พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของอิจฉา, พึงทราบขันธ์ ๕ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของขันธ์ ๕. นี้มาติกาเพื่อต้องการจะกล่าวทุกขอริยสัจจ์ในนิเทศวารนั้น.
ก็ขึ้นชื่อว่าทุกข์นี้มีประการต่าง ๆ มิใช่น้อย คือทุกข์เพราะทนได้ยาก ทุกข์เพราะแปรปรวนไป ทุกข์แห่งสังขาร ทุกข์ที่ปกปิด ทุกข์ที่ไม่ปกปิด ทุกข์โดยอ้อม ทุกข์โดยตรง. ใน ๗ ประการนั้น ทุกขเวทนาทั้งที่เป็นไปทางกายทั้งที่เป็นไปทางใจ ชื่อว่า ทุกข์เพราะทนได้ยาก เพราะเป็นสิ่งที่ทนได้ยากทั้งโดยสภาพและโดยชื่อ. สุขเวทนาชื่อว่า ทุกข์เพราะแปรปรวนไป เพราะเป็นเหตุอุบัติทุกข์โดยความแปรปรวน. อุเบกขาเวทนา และสังขารเป็นไปในภูมิสามที่เหลือ ชื่อว่า ทุกข์แห่งสังขาร เพราะเป็นสิ่งที่ถูกความเกิดความดับบีบคั้น. อันความบีบคั้นย่อมมีได้แม้แก่มรรคและผลเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านี้จึงพึงทราบว่า ชื่อว่าทุกข์แห่งสังขาร ด้วยอรรถว่านับเนื่องในทุกขสัจจ์. ความป่วยไข้ทางกายและทางใจมีโรคลมเสียดหู โรคปวดฟัน และความเร่าร้อนเกิดแต่ราคะ ความเร่าร้อนเกิดแต่โทสะเป็นต้น ชื่อว่า ทุกข์ที่ปกปิด
หน้า๑๒๖ สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังคปกรณ์ แปล [๔.สัจจวิภังคนิเทศ] (๑) วรรณนาสุตตันตภาชนีย์
เพราะเป็นทุกข์ที่ต้องถามจึงจะรู้ และเพราะความพยายามไม่ปรากฏ. ท่านเรียกว่าทุกข์ที่ไม่ปรากฏก็มี. ความป่วยไข้ที่มีกรรมกรณ์ ๓๒ ประการเป็นต้นเป็นสมุฏฐาน ชื่อว่า ทุกข์ที่ไม่ปกปิด เพราะเป็นทุกข์ที่ไม่ต้องถามก็รู้ และเพราะความพยายามปรากฏ. ท่านเรียกว่า ทุกข์ที่ปรากฏก็มี. ทุกข์แม้ทั้งหมดมีชาติเป็นต้น อันมาแล้วในวิภังค์แห่งทุกขสัจจ์ที่เหลือ เว้นทุกข์เพราะทนได้ยาก ชื่อว่า ทุกข์โดยอ้อม เพราะเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์นั้นๆ. ทุกข์เพราะทนได้ยาก ชื่อว่า ทุกข์โดยตรง.
ในประการเหล่านั้น พึงกล่าวทุกขอริยสัจจ์ให้ดำรงในบททั้ง ๒ นี้ คือ ทุกข์โดยตรง ทุกข์โดยอ้อม. แต่ขึ้นชื่อว่า อริยสัจจ์นี้ย่อมมาในพระบาลีโดยย่อบ้าง โดยพิสดารบ้าง, ในแห่งที่มาแล้วโดยย่อ จะกล่าวแม้โดยย่อ แม้โดยพิสดาร ก็ควร. ส่วนในแห่งที่มาแล้วโดยพิสดาร ควรจะกล่าวโดยพิสดารอย่างเดียว ไม่ควรจะกล่าวโดยย่อ. อริยสัจจ์นี้นั้นมาแล้วในที่นี้โดยพิสดาร เพราะเหตุนั้น จึงควรกล่าวโดยพิสดารอย่างเดียว.
นิเทศชาติ
ฉะนั้น ในคำว่า "พึงทราบชาติ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ" เป็นต้น ซึ่งข้าพเจ้าถือเอาคำมีอาทิว่า "ทุกขอริยสัจจ์ในอุเทศนั้นเป็นไฉน? คือ ชาติทุกข์บ้าง" ดังนี้ ในนิเทศวาร กล่าวแล้วนั้น พึงทราบชาติเป็นต้นก่อน. แต่พึงทราบด้วยอำนาจบทภาชนีย์ดังนี้ว่า "ชาติในนิเทศนั้นเป็นไฉน? คือ ความเกิด......ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ ......" ดังนี้.
พึงทราบชาติ
[๑๙๑] วรรณาอรรถในบทภาชนีย์นั้น ดังต่อไปนี้: ศัพท์ว่า ของเหล่าสัตว์นั้นๆนี้เป็นศัพท์แสดงไขอย่างสาธารณ์แก่สัตว์มิใช่น้อย โดยย่อ. เมื่อกล่าวคำอย่างนี้ว่า คือ ความเกิดของเทวทัต ความเกิดของโสมทัต ดังนี้ แม้ทั้งวัน สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมไม่ถึงการกำหนดถือเอาได้เลย. ย่อมไม่สำเร็จการแสดงในสัตว์อื่น ๆ ได้ทั้งหมด. แต่ด้วย ๒ บทนี้ สัตว์บางชนิดย่อมไม่เป็นอันกำหนดถือเอาได้. จะไม่สำเร็จการแสดงในสัตว์อื่น ๆ ไร หามิได้. เพราะเหตุนั้น
(หน้า๑๒๗)
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ของเหล่าสัตว์นั้นๆ". ศัพท์ว่า ใน (หมู่สัตว์) นั้นๆ นี้เป็นศัพท์แสดงไขอย่างสาธารณ์แห่งหมู่สัตว์มิใช่น้อย ด้วยอำนาจคติและกำเนิด. บทว่า สตฺตนิกาเย แปลว่า ในหมู่สัตว์. อธิบายว่า ในกลุ่มสัตว์ ในชุมนุมสัตว์. ศัพท์ว่า ชาติ ในคำว่า ชาติทุกข์ นี้ มีอรรถมิใช่น้อย. จริงอย่างนั้น ศัพท์ว่า ชาติ นี้ มาแล้วในความว่าภพ เช่น ในประโยคนี้ว่า ("ย่อมระลึกได้) ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง" มาแล้วในความว่านิกาย เช่นในประโยคนี้ว่า "ดูกรวิสาขา นิกายสมณะชื่อว่านิครนถ์มีอยู่" มาแล้วในความบัญญัติ เช่นในประโยคนี้ว่า "ติณชาติชื่อติริยาขึ้นจากนาภีแล้วได้ตั้งจดฟ้า" มาแล้วในความเป็นสังขตลักษณะ เช่นในประโยคนี้ว่า "ชาติสงเคราะห์แล้วด้วยขันธ์สอง" มาแล้วในความว่าปฏิสนธิ เช่น ในประโยคนี้ว่า "ชาติของสัตว์นั้นนั่นแล หมายเอาจิตดวงแรกที่เกิด วิญญาณแรกที่ปรากฏในท้องมารดา" มาแล้วในความว่าประสูติ เช่น ในประโยคนี้ว่า "ดูกรอานนท์ พระโพธิสัตว์ประสูติแล้วในบัดเดี๋ยวนั้นแล" มาแล้วในความว่าสกุล ในประโยคนี้ว่า "ไม่มีใคร (คัดค้าน) ติเตียนได้โดยอ้างอิงถึงชาติ", มาแล้วในความว่าอริยศีลเช่นในประโยคนี้ว่า "ดูกรน้องหญิง เพราะเราเกิดแล้วโดยชาติพระอริยะ" แต่ศัพท์ว่าชาตินี้ ในที่นี้ย่อมควรในขันธ์ที่เกิดก่อนทั้งหลาย พร้อมทั้งวิการ ฉะนั้น ในศัพท์ว่า ชาติ นี้จึงมีรูปความเฉพาะตนโดยสภาพดังนี้ว่า ความเกิดของสัตว์ผู้กำลังเกิด. บทอันท่านเพิ่มด้วยอุปสัค คือชื่อว่า สัญชาติ ด้วยอำนาจความเกิดพร้อม. ชื่อว่า โอกกันติ ด้วยอำนาจความหยั่งลง, อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า ชาติ ด้วยอรรถว่าเกิด. ชาตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์มีอายตนะไม่บริบูรณ์. ชื่อว่า สัญชาติ ด้วยอรรถว่าเกิดพร้อม. สัญชาตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์มีอายตนะบริบูรณ์. ชื่อว่า โอกกันติ ด้วยอรรถว่าหยั่งลง. โอกกันตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์เกิดในไข่และสัตว์เกิดในครรภ์. เพราะสัตว์เหล่านั้นย่อมหยั่งลงสู่ฟองไข่และมดลูก. ก็เมื่อหยั่งลงย่อมถือปฏิสนธิดุจเข้าไปอยู่. ชื่อว่า อภินิพพัตติ ด้วยอรรถว่าบังเกิดเฉพาะ. อภินิพพัตตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์เกิดในเถ้าไคลและโอปปาติกสัตว์. เพราะสัตว์เหล่านั้นย่อมเกิดเป็นผู้ปรากฏทันที. นี้กล่าวโดยสมมติก่อน.
(หน้า๑๒๘)
บัดนี้จะเป็นการกล่าวโดยปรมัตถ์ต่อไป. ก็ขันธ์เท่านั้นย่อมปรากฏโดยปรมัตถ์ ไม่ใช่สัตว์. และในคำว่า แห่งขันธ์ ในบทนิเทศนั้น พึงทราบการถือเอาขันธ์หนึ่งในเอกโวการภพ ขันธ์สี่ในจตุโวการภพ ขันธ์ห้าในปัญจโวการภพ. ความเกิดขึ้น ชื่อว่า ความปรากฏ. ในคำว่า อายตนะ นี้ พึงทราบการสงเคราะห์ด้วยอำนาจอายตนะที่จะเกิดในภพนั้น ๆ. ความปรากฏในการสืบต่อนั่นแล ชื่อว่า ความได้เฉพาะ. จริงอยู่ อายตนะที่กำลังปรากฏนั้นเอง ย่อมเป็นอันชื่อว่าได้เฉพาะแล้ว. คำว่า นี้เรียกว่าชาติ โดยอรรถว่า นี้เรากล่าวให้ชื่อว่าชาติ. ก็ชาตินี้นั้นมีความเกิดก่อนในภพนั้นๆเป็นลักษณะ มีการอำนวยผลเป็นรส มีการจากภพอดีตมาโผล่ขึ้นในภพนี้เป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีความเป็นธรรมชาติวิจิตรด้วยทุกข์ด้วยอำนาจผลเป็นปัจจุปัฏฐาน.
พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ
บัดนี้ จะกล่าวข้อว่า พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ ต่อไป : ก็ชาตินี้ ตัวเองไม่เป็นทุกข์ แต่ท่านเรียกว่า ทุกข์ เพราะเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งการดับทุกข์. ถามว่า ก็ชาตินี้เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ชนิดไหน? เฉลยว่า ชาตินี้เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ทั้งหมด คือทุกข์ที่เป็นไปในอบาย ซึ่งแม้พระผู้มีพระภาคทรงประกาศไว้ด้วยอำนาจอุปมาในพาลปัณฑิตสูตรเป็นต้น และทุกข์อันต่างโดยชนิดมีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูลเป็นต้นในมนุษยโลก ซึ่งเกิดขึ้นในสุคติ.
ทุกข์มีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูล
ในทุกข์ ๒ อย่างนั้น ทุกข์อันต่างโดยชนิดมีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูลเป็นต้น ดังต่อไปนี้ :- ความจริง สัตว์นี้เมื่อบังเกิดในครรภ์มารดา ไม่ใช่บังเกิดอยู่ในดอกอุบล ดอกปทุมและดอกบุณฑริกเป็นต้น. ที่แท้แล ย่อมบังเกิดในส่วนแห่งครรภ์ที่น่าเกลียดมีประมาณยิ่ง หมกอยู่ด้วยป่าใหญ่คือกลิ่นเหม็นอย่างยิ่งไม่สะอาด อบอวลด้วยกลิ่นทรากศพต่างๆมืดตื้อ คับแคบอย่างยิ่ง หว่างกลางพื้นท้องและกระดูกสันหลัง ภายใต้กระเพาะอาหารใหม่ เบื้องบนกระเพาะอาหารเก่าดุจหนอนเกิดในปลาเน่าขนมกุมมาสบูดและบ่อน้ำครำเป็นต้น. สัตว์นั้นบังเกิดในที่นั้นแล้ว
(หน้า๑๒๙)
ถูกไออุ่นอันเกิดในครรภ์มารดาตลอด ๑๐ เดือนอบดุจข้าวห่อ นึ่งดุจก้อนแป้ง เว้นอาการคู้เข้าเหยียดออกเป็นต้นย่อมเสวยทุกข์มีประมาณยิ่งแล ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูลก่อน.
ทุกข์มีการบริหารครรภ์เป็นมูล
อนึ่ง สัตว์นั้นเสวยทุกข์ใด มีประมาณยิ่ง ด้วยความพยายามของมารดา มีการคร่าไปทั่วคร่าไปรอบ ซัดลงและซัดออกเป็นต้น ในการลื่นถลา การเดิน การนั่ง การลุกขึ้น และการพลิกเป็นต้น โดยทันที ดุจลูกแพะน้อยในเงื้อมมือของนักเลงสุรา และดุจลูกงูน้อยในเงื้อมมือของหมองู, และเสวยทุกข์กล้าอันใด เป็นดุจสัตว์ผู้อุปบัติในสีตนรก (นรกเย็น) ในคราวที่มารดาดื่มน้ำเย็น เป็นดุจถูกฝนถ่านเพลิงประพรมรอบ ในคราวที่มารดากลืนข้าวยาคูและภัตร้อนๆเป็นต้น เป็นดุจถึงกรรมกรณ์วิธีแปรงแสบเป็นต้น ในคราวที่มารดากลืนของเค็มและของเปรี้ยวเป็นต้น, ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการบริหารครรภ์เป็นมูล.
ทุกข์มีความวิบัติแห่งครรภ์เป็นมูล
อนึ่ง มารดาของสัตว์นั้นผู้มีครรภ์หลง ย่อมเกิดทุกข์ใด ด้วยเหตุมีการตัดการผ่าเป็นต้นในตำแหน่งที่เกิดทุกข์ซึ่งไม่สมควรที่แม้มิตรอำมาตย์และเพื่อนฝูงเป็นต้นจะดู ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีความวิบัติแห่งครรภ์เป็นมูล.
ทุกข์มีการคลอดเป็นมูล
ทุกข์ใด เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้ถูกลมกัมมชวาตของมารดาที่กำลังคลอดพัดปั่นป่วนแล้วให้เคลื่อนไปโดยลำดับ สู่ทางกำเนิดอันน่ากลัวยิ่งดุจปล่องเหว ผลักออกทางปากโยนีที่คับแคบอย่างยิ่งดุจช้างตัวโตที่ถูกผลักออกทางช่องลูกตาลฉะนั้น และดุจทุกข์ที่เกิดแก่สัตว์นรกผู้ถูกภูเขากระทบบดละเอียดอยู่ฉะนั้น ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการคลอดเป็นมูล.
ทุกข์มีการออกนอกครรภ์มารดาเป็นมูล
อนึ่ง เด็กที่เกิดมีสรีระแบบบางเช่นกับแผลใหม่ มีทุกข์ใด เสมือนกับปลายเข็มแทง
(หน้า๑๓๐)
และถูกคมมีดโกนบาด เกิดขึ้นในคราวที่เขาเอามือจับให้อาบน้ำชำระล้าง และขัดสีด้วยท่อนผ้าเป็นต้น ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการออกนอกครรภ์มารดาเป็นมูล
ทุกข์มีความพยายามของตนเองเป็นมูล
เบื้องหน้าแต่ออกนอกครรภ์มารดานั้นไป ในปวัตติกาล สำหรับสัตว์ผู้ฆ่าตัวด้วยตัวเองก็ดี ผู้ประกอบความเพียรโดยการทำตัวให้ร้อนโดยทั่วและให้ร้อนโดยรอบ ด้วยอำนาจ อเจฬกวัตรเป็นต้นก็ดี ผู้อดอาหารและผู้แขวนตัวด้วยอำนาจความโกรธก็ดี มีทุกข์ใด ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีความพยายามของตนเองเป็นมูล.
ทุกข์มีความพยายามของคนอื่นเป็นมูล
อนึ่ง ทุกข์ใด เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้เสวยกรรมกรณ์มีถูกประหารและถูกจองจำเป็นต้นแต่ผู้อื่น ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีความพยายามของผู้อื่นเป็นมูล.
สรุปความ
ชาตินี้ย่อมเป็นวัตถุที่ตั้งนั่นแลของทุกข์แม้ทั้งหมดนี้ ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ดังนี้ว่า-
หากสัตว์ไม่พึงเกิดในพวกนรกไซร้จะไม่พึงได้ทุกข์มีถูกเผาด้วยไฟในนรกนั้นเป็นต้น ที่ใครๆอดกลั้นไม่ได้ ในที่ไหนอย่างมั่นคง เพราะเหตุนั้น ท่านผู้รู้จึงกล่าวความเกิดในโลกนี้ว่า เป็นทุกข์.
ทุกข์ในพวกสัตว์เดรัจฉาน เกิดแต่การถูกกระหน่ำด้วยแส้ปฏักและท่อนไม้เป็นต้น มีไม่น้อย ประการใดก็ตาม เว้น
(หน้า๑๓๑)
ทุกขสัจ
วรรณนานิเทศวาร
นิเทศทุกขสัจจ์
[๑๙๐] บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเพื่อจะทรงแสดงจำแนกทุกข์เป็นต้น ที่ทรงยกขึ้นแสดงไว้โดยสังเขป จึงทรงเริ่มนิเทศวารนี้ว่า ทุกขอริยสัจจ์ในอุเทศนั้น เป็นไฉน คือ ชาติทุกข์บ้าง ดังนี้เป็นต้น. ในนิเทศวารนั้นพึงทราบชาติ, พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ, พึงทราบชรา, พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชรา, พึงทราบมรณะ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของมรณะ, พึงทราบโสกะ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของโสกะ, พึงทราบปริเทวะ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของปริเทวะ, พึงทราบทุกข์ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของทุกข์, พึงทราบโทมนัส พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของโทมนัส, พึงทราบอุปายาส พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของอุปายาส, พึงทราบอัปปิยสัมปโยค พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของอัปปิยสัมปโยค, พึงทราบปิยวิปปโยค พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของปิยวิปปโยค, พึงทราบอิจฉา พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของอิจฉา, พึงทราบขันธ์ ๕ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของขันธ์ ๕. นี้มาติกาเพื่อต้องการจะกล่าวทุกขอริยสัจจ์ในนิเทศวารนั้น.
ก็ขึ้นชื่อว่าทุกข์นี้มีประการต่าง ๆ มิใช่น้อย คือทุกข์เพราะทนได้ยาก ทุกข์เพราะแปรปรวนไป ทุกข์แห่งสังขาร ทุกข์ที่ปกปิด ทุกข์ที่ไม่ปกปิด ทุกข์โดยอ้อม ทุกข์โดยตรง. ใน ๗ ประการนั้น ทุกขเวทนาทั้งที่เป็นไปทางกายทั้งที่เป็นไปทางใจ ชื่อว่า ทุกข์เพราะทนได้ยาก เพราะเป็นสิ่งที่ทนได้ยากทั้งโดยสภาพและโดยชื่อ. สุขเวทนาชื่อว่า ทุกข์เพราะแปรปรวนไป เพราะเป็นเหตุอุบัติทุกข์โดยความแปรปรวน. อุเบกขาเวทนา และสังขารเป็นไปในภูมิสามที่เหลือ ชื่อว่า ทุกข์แห่งสังขาร เพราะเป็นสิ่งที่ถูกความเกิดความดับบีบคั้น. อันความบีบคั้นย่อมมีได้แม้แก่มรรคและผลเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านี้จึงพึงทราบว่า ชื่อว่าทุกข์แห่งสังขาร ด้วยอรรถว่านับเนื่องในทุกขสัจจ์. ความป่วยไข้ทางกายและทางใจมีโรคลมเสียดหู โรคปวดฟัน และความเร่าร้อนเกิดแต่ราคะ ความเร่าร้อนเกิดแต่โทสะเป็นต้น ชื่อว่า ทุกข์ที่ปกปิด
หน้า๑๒๖ สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังคปกรณ์ แปล [๔.สัจจวิภังคนิเทศ] (๑) วรรณนาสุตตันตภาชนีย์
เพราะเป็นทุกข์ที่ต้องถามจึงจะรู้ และเพราะความพยายามไม่ปรากฏ. ท่านเรียกว่าทุกข์ที่ไม่ปรากฏก็มี. ความป่วยไข้ที่มีกรรมกรณ์ ๓๒ ประการเป็นต้นเป็นสมุฏฐาน ชื่อว่า ทุกข์ที่ไม่ปกปิด เพราะเป็นทุกข์ที่ไม่ต้องถามก็รู้ และเพราะความพยายามปรากฏ. ท่านเรียกว่า ทุกข์ที่ปรากฏก็มี. ทุกข์แม้ทั้งหมดมีชาติเป็นต้น อันมาแล้วในวิภังค์แห่งทุกขสัจจ์ที่เหลือ เว้นทุกข์เพราะทนได้ยาก ชื่อว่า ทุกข์โดยอ้อม เพราะเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์นั้นๆ. ทุกข์เพราะทนได้ยาก ชื่อว่า ทุกข์โดยตรง.
ในประการเหล่านั้น พึงกล่าวทุกขอริยสัจจ์ให้ดำรงในบททั้ง ๒ นี้ คือ ทุกข์โดยตรง ทุกข์โดยอ้อม. แต่ขึ้นชื่อว่า อริยสัจจ์นี้ย่อมมาในพระบาลีโดยย่อบ้าง โดยพิสดารบ้าง, ในแห่งที่มาแล้วโดยย่อ จะกล่าวแม้โดยย่อ แม้โดยพิสดาร ก็ควร. ส่วนในแห่งที่มาแล้วโดยพิสดาร ควรจะกล่าวโดยพิสดารอย่างเดียว ไม่ควรจะกล่าวโดยย่อ. อริยสัจจ์นี้นั้นมาแล้วในที่นี้โดยพิสดาร เพราะเหตุนั้น จึงควรกล่าวโดยพิสดารอย่างเดียว.
นิเทศชาติ
ฉะนั้น ในคำว่า "พึงทราบชาติ พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ" เป็นต้น ซึ่งข้าพเจ้าถือเอาคำมีอาทิว่า "ทุกขอริยสัจจ์ในอุเทศนั้นเป็นไฉน? คือ ชาติทุกข์บ้าง" ดังนี้ ในนิเทศวาร กล่าวแล้วนั้น พึงทราบชาติเป็นต้นก่อน. แต่พึงทราบด้วยอำนาจบทภาชนีย์ดังนี้ว่า "ชาติในนิเทศนั้นเป็นไฉน? คือ ความเกิด......ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ ......" ดังนี้.
พึงทราบชาติ
[๑๙๑] วรรณาอรรถในบทภาชนีย์นั้น ดังต่อไปนี้: ศัพท์ว่า ของเหล่าสัตว์นั้นๆนี้เป็นศัพท์แสดงไขอย่างสาธารณ์แก่สัตว์มิใช่น้อย โดยย่อ. เมื่อกล่าวคำอย่างนี้ว่า คือ ความเกิดของเทวทัต ความเกิดของโสมทัต ดังนี้ แม้ทั้งวัน สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมไม่ถึงการกำหนดถือเอาได้เลย. ย่อมไม่สำเร็จการแสดงในสัตว์อื่น ๆ ได้ทั้งหมด. แต่ด้วย ๒ บทนี้ สัตว์บางชนิดย่อมไม่เป็นอันกำหนดถือเอาได้. จะไม่สำเร็จการแสดงในสัตว์อื่น ๆ ไร หามิได้. เพราะเหตุนั้น
(หน้า๑๒๗)
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ของเหล่าสัตว์นั้นๆ". ศัพท์ว่า ใน (หมู่สัตว์) นั้นๆ นี้เป็นศัพท์แสดงไขอย่างสาธารณ์แห่งหมู่สัตว์มิใช่น้อย ด้วยอำนาจคติและกำเนิด. บทว่า สตฺตนิกาเย แปลว่า ในหมู่สัตว์. อธิบายว่า ในกลุ่มสัตว์ ในชุมนุมสัตว์. ศัพท์ว่า ชาติ ในคำว่า ชาติทุกข์ นี้ มีอรรถมิใช่น้อย. จริงอย่างนั้น ศัพท์ว่า ชาติ นี้ มาแล้วในความว่าภพ เช่น ในประโยคนี้ว่า ("ย่อมระลึกได้) ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง" มาแล้วในความว่านิกาย เช่นในประโยคนี้ว่า "ดูกรวิสาขา นิกายสมณะชื่อว่านิครนถ์มีอยู่" มาแล้วในความบัญญัติ เช่นในประโยคนี้ว่า "ติณชาติชื่อติริยาขึ้นจากนาภีแล้วได้ตั้งจดฟ้า" มาแล้วในความเป็นสังขตลักษณะ เช่นในประโยคนี้ว่า "ชาติสงเคราะห์แล้วด้วยขันธ์สอง" มาแล้วในความว่าปฏิสนธิ เช่น ในประโยคนี้ว่า "ชาติของสัตว์นั้นนั่นแล หมายเอาจิตดวงแรกที่เกิด วิญญาณแรกที่ปรากฏในท้องมารดา" มาแล้วในความว่าประสูติ เช่น ในประโยคนี้ว่า "ดูกรอานนท์ พระโพธิสัตว์ประสูติแล้วในบัดเดี๋ยวนั้นแล" มาแล้วในความว่าสกุล ในประโยคนี้ว่า "ไม่มีใคร (คัดค้าน) ติเตียนได้โดยอ้างอิงถึงชาติ", มาแล้วในความว่าอริยศีลเช่นในประโยคนี้ว่า "ดูกรน้องหญิง เพราะเราเกิดแล้วโดยชาติพระอริยะ" แต่ศัพท์ว่าชาตินี้ ในที่นี้ย่อมควรในขันธ์ที่เกิดก่อนทั้งหลาย พร้อมทั้งวิการ ฉะนั้น ในศัพท์ว่า ชาติ นี้จึงมีรูปความเฉพาะตนโดยสภาพดังนี้ว่า ความเกิดของสัตว์ผู้กำลังเกิด. บทอันท่านเพิ่มด้วยอุปสัค คือชื่อว่า สัญชาติ ด้วยอำนาจความเกิดพร้อม. ชื่อว่า โอกกันติ ด้วยอำนาจความหยั่งลง, อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า ชาติ ด้วยอรรถว่าเกิด. ชาตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์มีอายตนะไม่บริบูรณ์. ชื่อว่า สัญชาติ ด้วยอรรถว่าเกิดพร้อม. สัญชาตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์มีอายตนะบริบูรณ์. ชื่อว่า โอกกันติ ด้วยอรรถว่าหยั่งลง. โอกกันตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์เกิดในไข่และสัตว์เกิดในครรภ์. เพราะสัตว์เหล่านั้นย่อมหยั่งลงสู่ฟองไข่และมดลูก. ก็เมื่อหยั่งลงย่อมถือปฏิสนธิดุจเข้าไปอยู่. ชื่อว่า อภินิพพัตติ ด้วยอรรถว่าบังเกิดเฉพาะ. อภินิพพัตตินั้นควรแล้วด้วยอำนาจสัตว์เกิดในเถ้าไคลและโอปปาติกสัตว์. เพราะสัตว์เหล่านั้นย่อมเกิดเป็นผู้ปรากฏทันที. นี้กล่าวโดยสมมติก่อน.
(หน้า๑๒๘)
บัดนี้จะเป็นการกล่าวโดยปรมัตถ์ต่อไป. ก็ขันธ์เท่านั้นย่อมปรากฏโดยปรมัตถ์ ไม่ใช่สัตว์. และในคำว่า แห่งขันธ์ ในบทนิเทศนั้น พึงทราบการถือเอาขันธ์หนึ่งในเอกโวการภพ ขันธ์สี่ในจตุโวการภพ ขันธ์ห้าในปัญจโวการภพ. ความเกิดขึ้น ชื่อว่า ความปรากฏ. ในคำว่า อายตนะ นี้ พึงทราบการสงเคราะห์ด้วยอำนาจอายตนะที่จะเกิดในภพนั้น ๆ. ความปรากฏในการสืบต่อนั่นแล ชื่อว่า ความได้เฉพาะ. จริงอยู่ อายตนะที่กำลังปรากฏนั้นเอง ย่อมเป็นอันชื่อว่าได้เฉพาะแล้ว. คำว่า นี้เรียกว่าชาติ โดยอรรถว่า นี้เรากล่าวให้ชื่อว่าชาติ. ก็ชาตินี้นั้นมีความเกิดก่อนในภพนั้นๆเป็นลักษณะ มีการอำนวยผลเป็นรส มีการจากภพอดีตมาโผล่ขึ้นในภพนี้เป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีความเป็นธรรมชาติวิจิตรด้วยทุกข์ด้วยอำนาจผลเป็นปัจจุปัฏฐาน.
พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ
บัดนี้ จะกล่าวข้อว่า พึงทราบอรรถว่าทุกข์ของชาติ ต่อไป : ก็ชาตินี้ ตัวเองไม่เป็นทุกข์ แต่ท่านเรียกว่า ทุกข์ เพราะเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งการดับทุกข์. ถามว่า ก็ชาตินี้เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ชนิดไหน? เฉลยว่า ชาตินี้เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ทั้งหมด คือทุกข์ที่เป็นไปในอบาย ซึ่งแม้พระผู้มีพระภาคทรงประกาศไว้ด้วยอำนาจอุปมาในพาลปัณฑิตสูตรเป็นต้น และทุกข์อันต่างโดยชนิดมีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูลเป็นต้นในมนุษยโลก ซึ่งเกิดขึ้นในสุคติ.
ทุกข์มีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูล
ในทุกข์ ๒ อย่างนั้น ทุกข์อันต่างโดยชนิดมีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูลเป็นต้น ดังต่อไปนี้ :- ความจริง สัตว์นี้เมื่อบังเกิดในครรภ์มารดา ไม่ใช่บังเกิดอยู่ในดอกอุบล ดอกปทุมและดอกบุณฑริกเป็นต้น. ที่แท้แล ย่อมบังเกิดในส่วนแห่งครรภ์ที่น่าเกลียดมีประมาณยิ่ง หมกอยู่ด้วยป่าใหญ่คือกลิ่นเหม็นอย่างยิ่งไม่สะอาด อบอวลด้วยกลิ่นทรากศพต่างๆมืดตื้อ คับแคบอย่างยิ่ง หว่างกลางพื้นท้องและกระดูกสันหลัง ภายใต้กระเพาะอาหารใหม่ เบื้องบนกระเพาะอาหารเก่าดุจหนอนเกิดในปลาเน่าขนมกุมมาสบูดและบ่อน้ำครำเป็นต้น. สัตว์นั้นบังเกิดในที่นั้นแล้ว
(หน้า๑๒๙)
ถูกไออุ่นอันเกิดในครรภ์มารดาตลอด ๑๐ เดือนอบดุจข้าวห่อ นึ่งดุจก้อนแป้ง เว้นอาการคู้เข้าเหยียดออกเป็นต้นย่อมเสวยทุกข์มีประมาณยิ่งแล ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นมูลก่อน.
ทุกข์มีการบริหารครรภ์เป็นมูล
อนึ่ง สัตว์นั้นเสวยทุกข์ใด มีประมาณยิ่ง ด้วยความพยายามของมารดา มีการคร่าไปทั่วคร่าไปรอบ ซัดลงและซัดออกเป็นต้น ในการลื่นถลา การเดิน การนั่ง การลุกขึ้น และการพลิกเป็นต้น โดยทันที ดุจลูกแพะน้อยในเงื้อมมือของนักเลงสุรา และดุจลูกงูน้อยในเงื้อมมือของหมองู, และเสวยทุกข์กล้าอันใด เป็นดุจสัตว์ผู้อุปบัติในสีตนรก (นรกเย็น) ในคราวที่มารดาดื่มน้ำเย็น เป็นดุจถูกฝนถ่านเพลิงประพรมรอบ ในคราวที่มารดากลืนข้าวยาคูและภัตร้อนๆเป็นต้น เป็นดุจถึงกรรมกรณ์วิธีแปรงแสบเป็นต้น ในคราวที่มารดากลืนของเค็มและของเปรี้ยวเป็นต้น, ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการบริหารครรภ์เป็นมูล.
ทุกข์มีความวิบัติแห่งครรภ์เป็นมูล
อนึ่ง มารดาของสัตว์นั้นผู้มีครรภ์หลง ย่อมเกิดทุกข์ใด ด้วยเหตุมีการตัดการผ่าเป็นต้นในตำแหน่งที่เกิดทุกข์ซึ่งไม่สมควรที่แม้มิตรอำมาตย์และเพื่อนฝูงเป็นต้นจะดู ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีความวิบัติแห่งครรภ์เป็นมูล.
ทุกข์มีการคลอดเป็นมูล
ทุกข์ใด เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้ถูกลมกัมมชวาตของมารดาที่กำลังคลอดพัดปั่นป่วนแล้วให้เคลื่อนไปโดยลำดับ สู่ทางกำเนิดอันน่ากลัวยิ่งดุจปล่องเหว ผลักออกทางปากโยนีที่คับแคบอย่างยิ่งดุจช้างตัวโตที่ถูกผลักออกทางช่องลูกตาลฉะนั้น และดุจทุกข์ที่เกิดแก่สัตว์นรกผู้ถูกภูเขากระทบบดละเอียดอยู่ฉะนั้น ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการคลอดเป็นมูล.
ทุกข์มีการออกนอกครรภ์มารดาเป็นมูล
อนึ่ง เด็กที่เกิดมีสรีระแบบบางเช่นกับแผลใหม่ มีทุกข์ใด เสมือนกับปลายเข็มแทง
(หน้า๑๓๐)
และถูกคมมีดโกนบาด เกิดขึ้นในคราวที่เขาเอามือจับให้อาบน้ำชำระล้าง และขัดสีด้วยท่อนผ้าเป็นต้น ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีการออกนอกครรภ์มารดาเป็นมูล
ทุกข์มีความพยายามของตนเองเป็นมูล
เบื้องหน้าแต่ออกนอกครรภ์มารดานั้นไป ในปวัตติกาล สำหรับสัตว์ผู้ฆ่าตัวด้วยตัวเองก็ดี ผู้ประกอบความเพียรโดยการทำตัวให้ร้อนโดยทั่วและให้ร้อนโดยรอบ ด้วยอำนาจ อเจฬกวัตรเป็นต้นก็ดี ผู้อดอาหารและผู้แขวนตัวด้วยอำนาจความโกรธก็ดี มีทุกข์ใด ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีความพยายามของตนเองเป็นมูล.
ทุกข์มีความพยายามของคนอื่นเป็นมูล
อนึ่ง ทุกข์ใด เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้เสวยกรรมกรณ์มีถูกประหารและถูกจองจำเป็นต้นแต่ผู้อื่น ทุกข์นี้ ชื่อว่าทุกข์มีความพยายามของผู้อื่นเป็นมูล.
สรุปความ
ชาตินี้ย่อมเป็นวัตถุที่ตั้งนั่นแลของทุกข์แม้ทั้งหมดนี้ ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ดังนี้ว่า-
หากสัตว์ไม่พึงเกิดในพวกนรกไซร้จะไม่พึงได้ทุกข์มีถูกเผาด้วยไฟในนรกนั้นเป็นต้น ที่ใครๆอดกลั้นไม่ได้ ในที่ไหนอย่างมั่นคง เพราะเหตุนั้น ท่านผู้รู้จึงกล่าวความเกิดในโลกนี้ว่า เป็นทุกข์.
ทุกข์ในพวกสัตว์เดรัจฉาน เกิดแต่การถูกกระหน่ำด้วยแส้ปฏักและท่อนไม้เป็นต้น มีไม่น้อย ประการใดก็ตาม เว้น
(หน้า๑๓๑)