พื้นฐานหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (Part 3) - The "to be"

What's not down, folks?!

มาต่อกับตอนที่สามเลย วันนี้ขอพูดถึงเรื่อง "Verb to be" ล้วน ๆ

1) Verb to be มีทั้งที่เป็น base form (be) จะเจอหลัง modal verbs (can, should, will) เช่น I will be home soon. (อีกแปปถึงบ้านละ) หรือ Can you be more specific? (พูดให้ชัดเจนกว่านี้ได้ไหม) และ You should be cautious. (คุณต้องระวังหน่อยนะ) มักใช้พูดถึงอนาคต บอกความสามารถ หรือให้คำแนะนำ

2) และ Verb to be ใน present tenses สองอันคือ present simple และ present continuous (is, am, are) เช่น He is a doctor. (เขาเป็นหมอ) และ They are playing together. (เด็ก ๆ กำลังเล่นด้วยกันอยู่) อันนี้ใช้พูดถึงเรื่องปัจจุบัน

3) ต่อมาคือ verb to be ใน past tenses สองอันคือ past simple และ past continuous (was, were) เช่น My phone was in the car. (เมื่อกี้โทรศัพท์อยู่ในรถ) และ They were good. (พวกเขาเคยเป็นคนดี) มักใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ หรือเกิดขึ้นมานาน หรือแค่เคยเกิดขึ้นก็ได้ (ไม่สนว่านานหรือไม่นาน)

4) และสุดท้าย verb to be ที่เจอใน perfect tenses ทั้ง present perfect และ past perfect (been) เช่น The promises had been broken. (คำสัญญาถูกพังลง) สำหรับข้อนี้คิดง่าย ๆ เลยคือ verb to be ที่ตามหลัง had, have, has จะต้องเป็น been 

5) ทำความรู้จักไปคร่าว ๆ มาถึงเรื่องการใช้งานบ้าง verb to be (be, is, am, are, was, were, been) ใช้กับคำ 5 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ คำนาม (...is a doctor.) คำกริยา -ing (...are playing.) คำบุพบท (...was in the car.) คำคุณศัพท์ (...were good.) และคำกริยา past participle (*กริยาช่องสาม ...been broken.) จำทั้งหมดนี้ได้ครบก็ใช้ verb to be ไม่ผิดละ

6) จุดที่ต้องทำความเข้าคือ หัวข้อแกรมมาร์เรื่อง passive voice ที่จะมีการใช้ verb to be กับ past participle มันซับซ้อนตรงที่ปกติเราจะเจอ past participle (กริยาข่องสาม) ใช้คู่กับ been ซะส่วนใหญ่ แต่ใน passive voice นี้เราสามารถใช้ is, am, are, was, were คู่กับกริยาช่องสามได้เหมือนกัน เช่น They were seen at the pub. (พวกเขาถูกพบเห็นที่ผับ) หรือ The food was eaten by dogs. (อาหารถูกสุนัขกินหมด)

7) และมันซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อเราแต่งประโยค passive voice แบบ perfect เพราะในประโยคเราจะมีทั้ง have/had/has + been + past particple คือมีกริยาถึงสามตัว! (ได้แก่ กริยาช่วยของ perfect tenses (have, had, has) กริยาช่วยของ passive voice (been) และกริยาหลักของประโยค (ซึ่งจะมาในรูป past participle) ตัวอย่างประโยค เช่น The money has been stolen. (เงินได้ถูกขโมยไปแล้ว)

8) อีกประเด็นที่หลายคนสงสัย คือการใช้ be ของคนผิวสี ที่ใช้มันดื้อ ๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เช่นประโยค He be workin' on the weekend. ที่จะแปลว่า เขาทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย จำไว้ว่าการใช้ be + v-ing ของคนผิวสีจะเท่ากับประโยค present simple ของคนทั่วไป (He be workin' on the weeknd = He works over the weekend.) *เราใช้ on หรือ over the weekend สลับกันได้ 

9) Verb to be "is" นี่มีประเด็นการออกเสียงหน่อย เพราะแม้จะสะกดด้วยตัว 's' แต่เวลาอ่านต้องอ่าน "iz" ด้วยเสียงตัว z นะ แต่ว่าเวลาที่ถูกย่อ (contractions) เป็น It's มันจะอ่านเป็นเสียง s เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นตัวย่อ ยิ้ม's และ she's นี่ต้องอ่านเป็นเสียง z (he'z..., she'z...) เสียง S กับ Z ต่างกันยังไง? S จะใช้แค่ลม ในขณะที่ Z ต้องมีเสียงก้องในลำคอด้วย (ต้องเปล่งเสียงหน่อย) 

10) สุดท้าย ในภาษาไทยเรามักแปล verb to be ว่า เป็น, อยู่, คือ และผมขอชำแหละหลักการคร่าว ๆ ให้ดังนี้ แปลว่า "เป็น" เมื่อใช้คู่กับคำนาม เช่น He is a teacher. (เขาเป็นคุณครู) แปลว่า "อยู่" เมื่อใช้กับคำบุพบท เช่น The cat is on the roof. (แมวอยู่บนหลังคา) แปลว่า "คือ" เมื่อใช้กับ this, that เช่น This is my friend. (นี่คือเพื่อนของผมเอง) แปลว่า "กำลัง" เมื่อใช้คู่กับ v-ing เช่น He is singing. (เขากำลังร้องเพลง) 

จบกันไป สำหรับผมตอนนี้ค่อนข้างสนุกนะ สำหรับตัวคนเขียนเอง คนอ่านสนุกไหมนะ? 5555

"ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดในวันนี้ แค่รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
Stay tuned
JGC.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่