JJNY : พรสันต์ผ่าหลักการสูตรหาร500│บาทอ่อน-เหรียญ 2 ด้าน│“เสรีพิศุทธิ์”มีพยาน-ของกลางโกงลต.│‘พิจารณ์’ ฉะ คนปล่อยข่าว

พรสันต์ ผ่าหลักการสูตรหาร 500 ชี้ผูกปมขัดแย้ง เลือกตั้งระบบเก่าปะทะใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3443737
 
 
พรสันต์ ผ่าหลักการสูตรหาร 500 ชี้ผูกปมขัดแย้ง เลือกตั้งระบบเก่าปะทะใหม่
 
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ  เขียนข้อความเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กต่อกรณีสูตรคำนวณส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ ความว่า
 
ความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองระหว่างพรรคต่างๆ อันเนื่องมาจากสูตรหาร 500 และ 100 ก็เรื่องหนึ่ง แต่ความสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ประเด็นทางรัฐธรรมนูญว่าด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (Constitutionality) ของทั้ง 2 สูตร ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (Constitutional amendment) อยู่ด้วย ที่ผมคิดว่าต้องมีการอธิบายความหลักการที่ถูกต้องให้กระจ่าง
 
1. สูตรหาร 500 และ 100 สูตรไหนขัดรัฐธรรมนูญ?
 
– คำถามนี้ตอบได้ว่า “สูตรหาร 500 นั้นขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน” (Unconstitutional) ทั้งนี้เนื่องจากสูตรหาร 500 นี้ เป็นสูตรที่นำเอาการคิดคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อของ “ระบบการเลือกตั้งเก่า” (ระบบจัดสรรปันส่วนผสม, บัตรใบเดียว) ตาม ม.93 ที่ยึดโยงกับจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตมาใช้ ทั้งๆ ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อใช้ “ระบบการเลือกตั้งใหม่” (ระบบแยกคำนวณคู่ขนาน, บัตร 2 ใบ) เข้ามาแทนที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น การนำเอากระบวนการ หรือวิธีการของระบบการเลือกตั้งที่ถูกยกเลิกเพิกถอนไปผ่านกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาใช้จึงย่อมทำไม่ได้ ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่และหลักการที่รัฐสภาได้ลงมติรับมาในวาระแรกอีกด้วย

อนึ่ง นอกจากจะขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว ผมเห็นว่า การใช้สูตรหาร 500 ยังขัดต่อหลักประชาธิปไตยแบบผู้แทน (Representative democracy) อันเป็นหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายรัฐสภาอีกด้วย เพราะเป็นการขัดขืนฝ่าฝืนต่อมติของรัฐสภาที่ลงมติรับหลักการไปแล้ว ซึ่งมีผลผูกพัน (Binding) ให้สมาชิกรัฐสภาในฐานะ “ผู้แทนปวงชน” ก็กระทำการตาม
 
2. ทำไมจึงเกิดการถกเถียงกันระหว่าง 2 สูตรตามข้อ 1?
 
– จริงๆ ข้อถกเถียงนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น หากแต่เกิดขึ้นมาจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาที่ไม่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ปัญหานี้เป็นผลพวงมาจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแก้ไขระบบเลือกตั้งตามร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอมาเพียง 2 มาตรา รัฐสภาก็ดำเนินการแก้ไขตามนั้น “โดยไม่มีการแก้ไขมาตราอื่นๆ ให้สอดคล้องกับ 2 มาตราที่แก้ไขไป” เสียให้ถูกต้องเรียบร้อย
 
หลายท่านอาจเข้าใจผิดคิดว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะกระทำได้ตามร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอมาเท่านั้น เสนอมา 1 มาตรา ก็แก้ไขได้ 1 มาตรา เสนอมา 2 มาตราก็แก้ไขได้เท่านั้น ซึ่งไม่ถูกต้อง หากแต่ต้องดูเนื้อหาสาระประกอบกันไปด้วยว่า มาตราที่เสนอแก้ไขเพิ่มเติมมานั้นเป็นเรื่องโครงสร้างใหญ่ของระบบการเมือง หรือกฎหมายหรือไม่อย่างไรด้วย เพราะหากเป็นเช่นนั้นนั้นโดยธรรมชาติแล้วย่อมมีบทบัญญัติมาตราต่างๆ มากมายที่เชื่อมโยงร้อยเรียงกันอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งนี้รวมถึงเรื่องการแก้ไข “ระบบเลือกตั้ง” ในครั้งนี้ด้วย
 
กล่าวคือ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขระบบเลือกตั้งจากระบบจัดสรรปันส่วนผสมมาเป็นการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ มีลักษณะของการเข้าไปปรับเปลี่ยน “โครงสร้างใหญ่” ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาจึงต้องดำเนินการแก้ไขบทบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ให้เสร็จสิ้นกระบวนความไปทั้งบทบัญญัติในการดำเนินการ การคำนวณ ฯลฯ ตามที่ “รัฐสภาเห็นพ้องต้องกันลงมติรับหลักการของระบบการเลือกตั้งแบบใหม่” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
แต่เมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดำเนินการไปโดยไม่สอดคล้องกับหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ผมได้อธิบายไปแล้วข้างต้น จึงเป็นการ “ผูกปมปัญหา” ทำให้เกิดสภาวะ “การปะทะกันระหว่างระบบการเลือกตั้ง 2 ระบบ” กล่าวคือ เป็นการขัดแย้งกันระหว่างระบบการเลือกตั้งแบบเก่า (บัตรใบเดียว) และระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ (บัตรสองใบ) ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากในทางรัฐธรรมนูญว่าบทบัญญัติในเรื่องเดียวกันของรัฐธรรมนูญจะขัดแย้งกันเอง
 
หลังจากนี้ยังคงมีกระบวนการขั้นตอนอีกพอสมควรในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของสูตรหาร 500 ที่รัฐสภาได้ลงมติไปในร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ คงต้องติดตามกันต่อไป โดยผมคาดว่าเรา (ประชาชน) อาจจะต้องเจอกับปัญหาอีกเยอะแยะมากมายสำหรับการเลือกตั้งระดับชาติครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นครับ
 
https://www.facebook.com/pornson.liengboonlertchai/posts/pfbid02Ht9swbPV7z34Avz3nhScv9zG3bQ1i34hVK3am86UWmk35q4Kmnr439XSRWEurNPfl
  

 
บาทอ่อน-เหรียญ 2 ด้าน เอื้อส่งออก พ่นพิษพลังงาน-สินค้าแพง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3444012
  
หลังเกิดเหตุการณ์ วิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ที่ถูกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่นำกลุ่มโดยพ่อมดการเงิน จอร์จ โซรอส โจมตีค่าเงินบาทของไทยจนอ่อนยวบ จาก 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ รูดลงเท่าตัว เป็นกว่า 50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้เพื่อปกป้องค่าเงินบาทจนเกือบหมดตัว ที่สุดประเทศไทยต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ผ่านมา 25 ปี ครบรอบการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ดูเหมือนค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 7 ปี อยู่ที่ระดับ 36.31 บาทต่อดอลลาร์
 
น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า จากสถานการณ์ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนอย่างหนัก ส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วโลกสูงขึ้น อีกทั้งเงินบาทอ่อนลงเข้ามาซ้ำเติมในภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า อย่างไรก็ตามประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าก็ส่งผลดีต่อภาคการส่งออก สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเมื่อรายรับเป็นเงินเหรียญสหรัฐ พอแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินบาทจะได้เงินบาทเพิ่มขึ้น อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวอาจได้อานิสงส์จากเงินบาทอ่อนบ้าง แต่ยังไม่เป็นปัจจัยที่ดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากนัก ขณะที่ประชาชนจะรู้สึกว่าการใช้จ่ายมีราคาสูงขึ้นจากผลกระทบการนำเข้าต้นทุนแพง
 
สำหรับภาคการท่องเที่ยว หากคำนวณนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้วางแผนการใช้เงินประมาณ 2 พันเหรียญสหรัฐต่อทริป และสถานการณ์เงินบาทอ่อนตัวลง จากเดิมแลกเงินได้ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อาจเพิ่มมาเป็น 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากเดิมแลกเป็นเงินบาทได้ 60,000 บาทก็จะเพิ่มเป็น 72,000 บาท ดังนั้น นักท่องเที่ยวจึงมีเงินเข้ามาใช้จ่ายในจำนวนที่มากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น
 
น.ส.ณัฐพรระบุว่า อานิสงส์ดังกล่าวคงช่วยภาคท่องเที่ยวไม่ได้มากนัก เพราะนักท่องเที่ยวจะตั้งจำนวนเงินสำหรับการท่องเที่ยวแต่ละทริปที่เป็นการวางแผนล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เช่นเดียวกับภาคส่งออก ไม่ได้มองว่าจะทำให้ผู้ประกอบการขายของได้มากขึ้น เนื่องจากจะขายของได้ในจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าด้วย ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประชาชนเกิดลดการจับจ่ายใช้สอย ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ หรือกำหนดอะไรได้เช่นกัน ซึ่งต้องปล่อยไปตามทิศทางของตลาดเป็นผู้กำหนด ในทางกลับกัน เงินบาทจะมีผลกับเรื่องการนำเข้า โดยเฉพาะช่วงที่ราคาพลังงานสูง กระทบถึงสินค้าในประเทศแพงขึ้น พอบาทอ่อนส่งผลให้การนำเข้ามีราคาสูงขึ้นซ้ำเติมการใช้จ่ายประชาชนในภาวะเงินเฟ้อสูง ท่ามกลางช่วงเวลาเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว
 
น.ส.ณัฐพรกล่าวอีกว่า ของที่จะนำมาขายในประเทศต้องคำนึงถึงว่าของที่นำเข้าวัตถุดิบนั้นมีมากน้อยขนาดไหน อย่างอาหารในประเทศ ไทยสามารถผลิตเองได้ เพราะไทยยังไม่เจอเงินเฟ้อด้านอาหารมากนัก ดังนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าว่าต้นทุนคือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าหรือไม่ หากสินค้าไม่ต้องนำเข้าก็จะมีเสียค่าขนส่ง ค่านำเข้าสินค้า ค่าแรงงาน และระดับการขึ้นสินค้าก็ปรับขึ้นไม่เท่ากัน ถ้าสินค้าต้องนำเข้าเยอะถึง 80% ก็ต้องมีการส่งผ่านต้นทุนออกไป ที่เห็นเงินเฟ้อสูงถึง 7% เพราะมีการส่งผ่าน เนื่องจากต้นทุนเพิ่มก็ต้องให้ผู้บริโภคช่วยอุดหนุน
 
จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจเป็นผลกระทบชิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่เป็นเรื่องของสินค้าขึ้นราคา อีกทั้งราคาด้านพลังงานสูงส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน จากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอยู่แล้ว เจอผลกระทบซ้ำเติมจากเงินบาทอ่อน ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าสูง กระทบต่อประชาชนโดยตรง ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือราคาพลังงานแพงขึ้น จากเคยนำเข้าที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับเป็น 130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อเจออัตราแลกเปลี่ยนจากที่เคยจ่าย 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็น 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันค้าปลีกในประเทศก็ยิ่งปรับขึ้นอีก น.ส.ณัฐพรกล่าว
 
น.ส.ณัฐพรกล่าวอีกว่า สิ่งที่ประชาชนต้องรับมือ อาจคิดว่าค่าเงินบาทเป็นเรื่องไกลตัว แต่จะมีความรู้สึกถึงปัญหาก็ต่อเมื่อต้องควักเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้น จากราคาสินค้าแพง จะเป็นตัวบ่งชี้ที่ใกล้ตัวที่สุดที่ประชาชนต้องเผชิญ และต้องรู้สึกไปอีกระยะหนึ่งเพราะฉะนั้น สิ่งของที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตจะแพงขึ้น ดังนั้น ประชาชนต้องปรับตัวกับทุกสถานการณ์และวางแผนการใช้เงินในอนาคตให้รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อาทิ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนอาจลากยาวไปถึงต้นปีหน้า หรือยืดเยื้อต่อเนื่อง ประชาชนจึงต้องวางแผนการใช้เงิน โดยบันทึกรายรับ รายจ่าย และพฤติกรรมการใช้เงินให้ดีในอนาคต นอกจากนี้ ต้องพึงตระหนักถึงการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอยู่ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งรอเพียงจังหวะและเวลา ดังนั้น สำหรับผู้ที่กู้เงินแล้วดอกเบี้ยเกิดการลอยตัวต้องวางแผนรับมือให้ดีขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากรายได้ของประชาชนยังไม่ได้ขยับขึ้นตามรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น
 
น.ส.ณัฐพรกล่าวว่า สำหรับภาคธุรกิจต้องเฝ้าระวังและรับมืออย่างรอบคอบเพราะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน เนื่องจากมีการนำเข้าและส่งออก ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องวางแผนการทำประกันเพื่อปกป้องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากค่าเงินที่ยังไหลอยู่ในฝั่งอ่อนค่ามากขึ้น และแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในการประกอบธุรกิจบนความเสี่ยง เพราะทุกบาทที่อ่อนค่าลงไป แล้วไม่ได้ทำประกัน ผู้ประกอบธุรกิจนำเข้าก็ต้องจ่ายเงินในราคาที่สูงขึ้นจากต้นทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
 
อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่อ่อนค่าจะเกิดขึ้นเป็นช่วงระยะมากกว่า และสำหรับช่วงนี้คาดว่าจะอ่อนค่าลงในกรอบ 36.2-36.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าระดับการไหลลงมันลึก และเร็วขนาดไหนมากกว่า หากมองย้อนกลับไป 2 เดือนที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนลงในระยะเวลารวดเร็ว จึงมีความกังวลเรื่องของระยะเวลามากกว่า และผู้ประกอบการต้องรับมือกับอัตราแลกเปลี่ยนอย่างระมัดระวัง
 
สำหรับมุมมองที่ว่าถ้าเงินบาทอ่อนอาจมีผลดี แต่หากพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว อาจไม่ส่งผลบวกต่อภาพเศรษฐกิจมากนัก ซึ่งมองว่าบาทอ่อนในช่วงจังหวะราคาพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาสูง ในทางกลับกันถ้าบาทอ่อนในจังหวะที่ไม่เกิดเงินเฟ้อทั่วโลก อาจเป็นภาพเศรษฐกิจที่ดีก็ได้ น.ส.ณัฐพรสรุปทิ้งท้าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่