หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
สักกายทิฏฐิ 20
กระทู้สนทนา
ศาสนาพุทธ
พระไตรปิฎก
ศาสนา
พระธรรม
ปุณณมสูตร
ว่าด้วยเหตุเกิดสักกายทิฏฐิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[๑๘๘] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฏฐิมีได้อย่างใดหนอ?
พ. ดูกรภิกษุ ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ยังมิได้สดับ เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม เป็นผู้ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรมไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีรูป ย่อมเห็นรูปในตน ย่อมเห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีเวทนา ย่อมเห็นเวทนาในตน ย่อมเห็นตนในเวทนา ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีสัญญา ย่อมเห็นสัญญาในตน ย่อมเห็นตนในสัญญา ย่อมเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีสังขาร ย่อมเห็นสังขารในตน ย่อมเห็นตนในสังขาร ย่อมเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ย่อมเห็นวิญญาณในตน ย่อมเห็นตนในวิญญาณ. ดูกรภิกษุ สักกายทิฏฐิมีได้ด้วยอาการเช่นนี้แล.
อรรถกถาปุณณมสูตร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทว่า รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ ความว่า ภิกษุบางรูปในศาสนานี้พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตนว่า รูปอันใด เราก็อันนั้น เราอันใด รูปก็อันนั้น พิจารณาเห็นรูปและอัตตาว่าเป็นอย่างเดียวกัน. ภิกษุบางรูปในศาสนานี้พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ฯลฯ พิจารณาเห็นรูปและตนว่าเป็นอย่างเดียวกัน รวมความว่า ย่อมเห็นรูปด้วยทิฏฐิว่า ตนเหมือนประทีปน้ำมันที่กำลังตามอยู่ คนย่อมเห็นเปลวไฟและสีเป็นอย่างเดียวกันว่าเปลวไฟอันใด สีก็อันนั้น สีอันใด เปลวไฟก็อันนั้น.
บทว่า รูปวนฺตํ วา อตฺตานํ ความว่า ยึดสิ่งที่ไม่มีรูปว่าเป็นตน ย่อมพิจารณาเห็นสิ่งที่ไม่มี รูปนั้นว่ามีรูป เหมือนเห็นต้นไม้ที่มีเงา.
บทว่า อตฺตนิ วา รูปํ ความว่า ยึดสิ่งที่ไม่มีรูปนั่นแหละว่าเป็นตน พิจารณาเห็นรูปในตน เหมือนกลิ่นในดอกไม้.
บทว่า รูปสฺมึ วา อตฺตานํ ความว่า ยึดสิ่งที่ไม่มีรูปนั่นแลว่าตน พิจารณาเห็นตนนั้นในรูป เหมือนแก้วมณีในขวด.
บทว่า ปริยุฏฺฐฏฺฐายี ความว่า ตั้งอยู่โดยอาการที่ถูกกิเลสกลุ้มรุม คือโดยอาการที่ถูกครอบงำ. อธิบายว่า กลืนรูปด้วยตัณหาและทิฏฐิให้เสร็จไปอย่างนี้ว่าเรา ว่าของเรา ชื่อว่าย่อมยึด.
บทว่า ตสฺส ตํ รูปํ ได้แก่ รูปของเขานั้น คือที่ยึดไว้อย่างนั้น แม้ในขันธ์มีเวทนาขันธ์เป็นต้น ก็นัยนี้แหละ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ ความว่า ท่านกล่าวรูปล้วนๆ นั่นแลว่าตน.
อีกอย่างหนึ่งท่านกล่าวสิ่งที่ไม่มีรูปในฐานะ ๗ เหล่านี้ว่า พิจารณาเห็นตนมีรูป หรือรูปในตน หรือตนในรูป ๑ เวทนา โดยเป็นตน ๑ ฯลฯ สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเป็นตน กล่าวตนที่ระคนปนกับรูปและอรูปในฐานะ ๑๒ โดยขันธ์ ๓ ในบรรดาขันธ์ ๔ อย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นตนมีเวทนา หรือเวทนาในตน หรือตนในเวทนา ในบรรดาขันธ์เหล่านั้น ท่านกล่าวอุจเฉททิฏฐิ ในฐานะว่า พิจารณาเห็นรูปโดยเป็นตน พิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเป็นตน. ในทิฏฐิที่เหลือ สัสสตทิฏฐิย่อมเป็นอย่างนี้
สรุปความว่า ในปัญจขันธ์เหล่านี้ ภวทิฏฐิ ๑๕ (วิภวทิฏฐิ ๕) ย่อมเป็นอย่างนี้ ทิฏฐิเหล่านั้นทั้งหมดพึงทราบว่า ย่อมห้ามมรรค ไม่ห้ามสวรรค์ อันโสดาปัตติมรรคพึงฆ่า.
อรรถกถาจูฬเวทัลลสูตร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในคำเหล่านั้น คำว่า "ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน" ท่านกล่าวถึงรูปล้วนๆ เท่านั้นว่าเป็นตน. ท่านกล่าวถึงอรูปว่าเป็นตนในที่เจ็ดแห่งเหล่านี้ คือ ย่อมพิจารณาเห็นตนมีรูป, หรือรูปมีในตน, หรือตนมีในรูป, เวทนาโดยความเป็นตน, สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน ท่านกล่าวถึงรูปและอรูปที่ปนกันว่าเป็นตน. ในที่สิบสองแห่งด้วยอำนาจแห่งขันธ์ทั้งสามในจำนวนสี่ขันธ์อย่างนี้ คือ ตนมีเวทนา เวทนามีในตน ตนมีในเวทนาดังนี้.
--------------------
จากพระสูตรนำมาเรียงเป็นหัวข้อได้ดังนี้
สักกายะทิฏฐิ 20
1..เห็นรูปเป็นตน
2..เห็นตนมีรูป
3..เห็นรูปในตน
4..เห็นตนในรูป
5..เห็นเวทนาเป็นตน
6..เห็นตนมีเวทนา
7..เห็นเวทนาในตน
8..เห็นตนในเวทนา
9..เห็นสัญญาเป็นตน
10..เห็นตนมีสัญญา
11..เห็นสัญญาในตน
12..เห็นตนในสัญญา
13..เห็นสังขารเป็นตน
14..เห็นตนมีสังขาร
15..เห็นสังขารในตน
16..เห็นตนในสังขาร
17..เห็นวิญญาณเป็นตน
18..เห็นตนมีวิญญาณ
19..เห็นวิญญาณในตน
20..เห็นตนในวิญญาณ
...........
อรรถกถา
1..บทว่า รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ ความว่า ท่านกล่าว
รูปล้วนๆ นั่นแลว่าตน
.
...
ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 1 ,5, 9, 13, 17 ย่อมเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนๆ
2..ท่านกล่าวถึง
อรูปว่าเป็นตนในที่เจ็ดแห่ง
เหล่านี้ คือ ย่อมพิจารณาเห็นตนมีรูป, หรือรูปมีในตน, หรือตนมีในรูป, เวทนาโดยความเป็นตน, สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน
ดังนั้น ...ตน ในสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 2 ,3, 4, ย่อมเป็นอรูป หรือนามขันธ์ทั้ง 4.
...ข้อที่5 คือ เวทนา ข้อที่9 คือสัญญา ข้อที่13 คือ สังขาร ข้อที่17 คือ วิญญาณ เป็นอรูป หรือนามขันธ์อยู่แล้ว
3..กล่าว
ตนที่ระคนปนกับรูปและอรูปในฐานะ ๑๒ โดยขันธ์ ๓ ในบรรดาขันธ์ ๔
..
ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 6 ,7, 8 ย่อมเป็นรูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ
..
ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้ที่ 10 ,11, 12 ย่อมเป็นรูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ
..
ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 14,15,16 ย่อมเป็นรูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ
..
ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 18,19,20 ย่อมเป็นรูป+ เวทนา สัญญา สังขาร
....
จะได้รายละเอียดดังข้างล่างนี้
สักกายะทิฐิ 20
1..เห็นรูปเป็นตน (รูปล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
2..เห็นตน (อรูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) มีรูป
3..เห็นรูปในตน (อรูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
4..เห็นตน (อรูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ในรูป
5..เห็นเวทนาเป็นตน (เวทนาล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
6..เห็นตน (รูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ) มีเวทนา
7..เห็นเวทนาในตน (รูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ)
8..เห็นตน (รูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ)ในเวทนา
9..เห็นสัญญาเป็นตน (สัญญาล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
10..เห็นตน (รูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ) มีสัญญา
11..เห็นสัญญาในตน (รูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ)
12..เห็นตน (รูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ) ในสัญญา
13..เห็นสังขารเป็นตน (สังขารล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
14..เห็นตน (รูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ) มีสังขาร
15..เห็นสังขารในตน (รูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ)
16..เห็นตน (รูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ) ในสังขาร
17..เห็นวิญญาณเป็นตน (วิญญาณล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
18..เห็นตน ( รูป+ เวทนา สัญญา สังขาร มีวิญญาณ)
19..เห็นวิญญาณในตน ( รูป+ เวทนา สัญญา สังขาร มีวิญญาณ)
20..เห็นตน ( รูป+ เวทนา สัญญา สังขาร มีวิญญาณ) ในวิญญาณ
--------------------
อรรถกถา ท่านกล่าวอุจเฉททิฏฐิ ในฐานะว่า พิจารณาเห็นรูปโดยเป็นตน พิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเป็นตน (ข้อที่1,5,9,13,17)
.. ในทิฏฐิที่เหลือ สัสสตทิฏฐิย่อมเป็นอย่างนี้
------------------------------------
ค้นหาเพิ่มเติมได้ที่
ปุณณมสูตร
https://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=17&item=182&items=11
จูฬเวทัลลสูตร
https://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=9420&Z=9601&pagebreak=0
อรรถกถาปุณณมสูตร
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=1
อรรถกถาจูฬเวทัลลสูตร
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=505
แก้ไขข้อความเมื่อ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
สายหลวงปู่มั่นสอนเหมือนกันหมด คือ ใช้คำบริกรรม “พุทโธ ๆ ๆ”
สายหลวงปู่มั่นสอนเหมือนกันหมด คือ ใช้คำบริกรรม “พุทโธ ๆ ๆ” เพื่อรวบรวมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน จิตค่อย ๆ สงบเป็นสมาธิขั้นต้น (ปฐมฌาน) ยังอาศัย “พุทโธ” เป็นอารมณ์ เมื่อจิตรวมแน่วแน่ &
สมาชิกหมายเลข 2748147
โคตรภูญาณ การเปลี่ยนผ่านของจิตจากโลกียะสู่โลกุตตระ
โคตรภูญาณ การเปลี่ยนผ่านของจิตจากโลกียะสู่โลกุตตระ ในพระสูตรใช้ถ้อยคำซ้ำๆ เพื่อเน้นความหมาย ดังนี้ ครอบงำ (ปหาน/วิชย): เช่น ครอบงำความเศร้าโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ และสังขารนิมิตภายนอก แล่นไป (
สมาชิกหมายเลข 2748147
สัสสตทิฏฐิสูตรแตกต่างจากน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (นิพพาน) อย่างไร???
สัสสตทิฏฐิสูตรแตกต่างจากน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (นิพพาน) อย่างไร??? ว่าด้วยความเห็นว่าโลกเที่ยง พระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นอะไร? เพราะยึดมั่นอะไร? จึงเ
สมาชิกหมายเลข 2748147
บรรลุธรรมด้วยอากาสานัญจายตนฌาน
“ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด” ดูกรอานนท์ → พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระอานนท์ เพื่ออธิบายธรรม ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน → ภิกษุเข้าสม
สมาชิกหมายเลข 2748147
วิถีแห่งอรหันต์
“ฌาน” โดยตัวมันเองยังไม่ใช่ที่สุดของการหลุดพ้น แต่ถ้าใช้ฌานร่วมกับปัญญาในการพิจารณา “รูป-นาม” ตามความเป็นจริง ก็สามารถนำไปสู่ นิพพานและความสิ้นอาสวะ ได้ ดังพระพุทธเจ้า ทรงตรัสไ
สมาชิกหมายเลข 2748147
“วิญญาณขันธ์” ไม่ใช่ “จิตบริสุทธิ์” หรือ “จิตที่แท้จริง”
“วิญญาณขันธ์” ไม่ใช่ “จิตบริสุทธิ์” หรือ “จิตที่แท้จริง” ขันธ์ 5 คือ กลุ่มแห่งสิ่งปรุงแต่งที่รวมกันเป็น “ตัวตน” ชั่วคราว มี 5 ประการ ได้แก่ 1. รูปขัน
สมาชิกหมายเลข 2748147
สักกายฑิฏฐิ20
ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ความเห็นผิดที่ยึดถือในขันธ์ ๕ แต่ละขันธ์ ๆ อย่างละ ๔ จึงรวมกันเป็น สักกายทิฏฐิ ๒๐ เช่น เห็นรูปเป็นตน เห็นตนมีรูป เห็นรูป
สมาชิกหมายเลข 4012218
บทสรุป เนโสหมสฺมิ(นั่นไม่ใช่เป็นเรา) แล้วเราคือ?
เนโสหมสฺมิ(นั่นไม่ใช่เป็นเรา) มสฺมิ เป็นคำที่ผสมแล้วซึ่งมาจากคำว่า อสฺมิ บทว่า อสฺมิ ได้แก่ การถือว่าเรามีอยู่ (อัสมิมานะ). ดังนั้นคำว่า อสฺมิ จึงแปลว่า (เรา) บทวิเคราะห์ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑
สมาชิกหมายเลข 4128431
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ศาสนาพุทธ
พระไตรปิฎก
ศาสนา
พระธรรม
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
สักกายทิฏฐิ 20
--------------------
จากพระสูตรนำมาเรียงเป็นหัวข้อได้ดังนี้
สักกายะทิฏฐิ 20
1..เห็นรูปเป็นตน
2..เห็นตนมีรูป
3..เห็นรูปในตน
4..เห็นตนในรูป
5..เห็นเวทนาเป็นตน
6..เห็นตนมีเวทนา
7..เห็นเวทนาในตน
8..เห็นตนในเวทนา
9..เห็นสัญญาเป็นตน
10..เห็นตนมีสัญญา
11..เห็นสัญญาในตน
12..เห็นตนในสัญญา
13..เห็นสังขารเป็นตน
14..เห็นตนมีสังขาร
15..เห็นสังขารในตน
16..เห็นตนในสังขาร
17..เห็นวิญญาณเป็นตน
18..เห็นตนมีวิญญาณ
19..เห็นวิญญาณในตน
20..เห็นตนในวิญญาณ
...........
อรรถกถา
1..บทว่า รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ ความว่า ท่านกล่าวรูปล้วนๆ นั่นแลว่าตน.
...ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 1 ,5, 9, 13, 17 ย่อมเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนๆ
2..ท่านกล่าวถึงอรูปว่าเป็นตนในที่เจ็ดแห่งเหล่านี้ คือ ย่อมพิจารณาเห็นตนมีรูป, หรือรูปมีในตน, หรือตนมีในรูป, เวทนาโดยความเป็นตน, สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน
ดังนั้น ...ตน ในสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 2 ,3, 4, ย่อมเป็นอรูป หรือนามขันธ์ทั้ง 4.
...ข้อที่5 คือ เวทนา ข้อที่9 คือสัญญา ข้อที่13 คือ สังขาร ข้อที่17 คือ วิญญาณ เป็นอรูป หรือนามขันธ์อยู่แล้ว
3..กล่าวตนที่ระคนปนกับรูปและอรูปในฐานะ ๑๒ โดยขันธ์ ๓ ในบรรดาขันธ์ ๔
..ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 6 ,7, 8 ย่อมเป็นรูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ
..ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้ที่ 10 ,11, 12 ย่อมเป็นรูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ
..ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 14,15,16 ย่อมเป็นรูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ
..ดังนั้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 18,19,20 ย่อมเป็นรูป+ เวทนา สัญญา สังขาร
....จะได้รายละเอียดดังข้างล่างนี้
สักกายะทิฐิ 20
1..เห็นรูปเป็นตน (รูปล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
2..เห็นตน (อรูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) มีรูป
3..เห็นรูปในตน (อรูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
4..เห็นตน (อรูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ในรูป
5..เห็นเวทนาเป็นตน (เวทนาล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
6..เห็นตน (รูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ) มีเวทนา
7..เห็นเวทนาในตน (รูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ)
8..เห็นตน (รูป + สัญญา สังขาร วิญญาณ)ในเวทนา
9..เห็นสัญญาเป็นตน (สัญญาล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
10..เห็นตน (รูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ) มีสัญญา
11..เห็นสัญญาในตน (รูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ)
12..เห็นตน (รูป+ เวทนา สังขาร วิญญาณ) ในสัญญา
13..เห็นสังขารเป็นตน (สังขารล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
14..เห็นตน (รูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ) มีสังขาร
15..เห็นสังขารในตน (รูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ)
16..เห็นตน (รูป+ เวทนา สัญญา วิญญาณ) ในสังขาร
17..เห็นวิญญาณเป็นตน (วิญญาณล้วนๆ นั่นแลว่าตน)
18..เห็นตน ( รูป+ เวทนา สัญญา สังขาร มีวิญญาณ)
19..เห็นวิญญาณในตน ( รูป+ เวทนา สัญญา สังขาร มีวิญญาณ)
20..เห็นตน ( รูป+ เวทนา สัญญา สังขาร มีวิญญาณ) ในวิญญาณ
--------------------
อรรถกถา ท่านกล่าวอุจเฉททิฏฐิ ในฐานะว่า พิจารณาเห็นรูปโดยเป็นตน พิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเป็นตน (ข้อที่1,5,9,13,17)
.. ในทิฏฐิที่เหลือ สัสสตทิฏฐิย่อมเป็นอย่างนี้
------------------------------------
ค้นหาเพิ่มเติมได้ที่
ปุณณมสูตร
https://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=17&item=182&items=11
จูฬเวทัลลสูตร
https://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=9420&Z=9601&pagebreak=0
อรรถกถาปุณณมสูตร
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=1
อรรถกถาจูฬเวทัลลสูตร
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=505