'คนศรีสะเกษ' ยังหนุน 'เพื่อไทย' ไม่เปลี่ยน 'เพื่อไทย' ขอ 'งูเห่า' ไปแล้วไปลับ อย่าชวนใครอีก
https://voicetv.co.th/read/7sXEEVpxT
ครอบครัวเพื่อไทยไปศรีสะเกษ ปชช.ตอบรับล้นหลาม 'โฆษกเพื่อไทย' ชี้การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษครบทุกเขตถือเป็นคำมั่นสัญญามอบให้ประชาชน หากใครไปแล้วไปลับ อย่าชวนใครไปอีก
วันที่ 19 มิ.ย. 2565
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า กิจกรรม “
ครอบครัวเพื่อไทย ไปศรีสะเกษ ไล่หนูตีงูเห่า” ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา รวม 3 เวที มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดศรีสะเกษ ครบทุกเขตเป็นจังหวัดแรก ถือเป็นการให้คำมั่นสัญญากับพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษว่าพรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าสร้างบ้านของเราให้แข็งแกร่งขึ้น สู้เป้าหมายแลนด์สไลด์ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย เราจะไม่ทรยศต่อศรัทธาที่ประชาชนมอบให้ ไม่โอนเอนหวั่นไหวไปกับอำนาจและกล้วยหวีใหญ่ที่มีคนมาหยิบยื่นให้แล้ว “
แปรพรรค” ไปโดยไม่สนใจประชาชนที่เลือกเข้ามาเพราะเห็นว่าเป็นผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้จากการเปิดกิจกรรมใน 3 เวที จาก 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุทุมพรพิสัย ราษีไศล และขุนหาญ พรรคเพื่อไทยนำโดยนายแพทย์
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค
ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.ในพื้นที่ ผู้บริหารและสมาชิกพรรค ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียงอย่างอบอุ่น มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างล้นหลามร่วมหมื่นคน ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประชาชนในพื้นที่ยังคงให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เราพร้อมที่จะเดินหน้า ไม่หวั่นไหวต่อการย้ายพรรคของ ส.ส.เพื่อไทย อย่างน้อย 3 คนที่กำลังไปยังพรรคอื่น หากไปแล้วก็คงไปลับ ไม่กลับมาทรยศพี่น้องประชาชนด้วยการชักจูง ส.ส. เพื่อไทยไปอีก ดังนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในระยะเวลาอันใกล้นี้ ฝากความหวังไว้ที่ประชาชนด้วยการเลือก ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย และเลือกพรรคเพื่อไทยให้ชนะขาด เพราะเมื่อเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ชีวิตของพี่น้องประชาชนจะไม่จมทุกข์อย่างทุกวันนี้แน่นอน
“นักการเมืองที่กล่าวหา ให้ร้ายพรรคเพื่อไทยว่าโครงการครอบครัวเพื่อไทยไปศรีสะเกษ “ไล่หนูตีงูเห่า” ไม่สร้างสรรค์ อยากให้ท่านอ่านหนังสือให้จบตอน อย่าอ่านแค่บรรทัดเดียวแล้วมาตีความต่อว่าพรรค กิจกรรมนี้เราต้องการบอกชาวศรีสะเกษทุกคนว่าเรามีแนวคิด แนวนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนอย่างไรในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เราต้องการยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมยืนหยัดไปกับพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษ ด้วยการเลือกเฟ้นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ครบทุกเขต ซึ่งพวกเขามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ เป็นที่รัก เป็นตัวจริงที่พี่น้องในพื้นที่รู้จักดี และเราจะเดินหน้าไปด้วยกัน” ธีรรัตน์กล่าว
‘นักวิชาการ’ ห่วงศก.โตต่ำหลัง กนง.เร่งขึ้นดอกเบี้ย แนะช่างน้ำหนักผลกระทบ
https://www.bangkokbiznews.com/business/1010663
นักวิชาการนิด้าห่วงเศรษฐกิจโตต่ำหลัง กนง.เตรียมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ ประเมินผลกระทบหลายด้านฉุดจีดีพีไทยปีนี้อาจโตแค่ 1 - 1.5% เท่านั้น แนะ กนง.ชั่งน้ำหนักระหว่างปรับขึ้นแล้วช่วยบาทอ่อนลดลง กับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือน ชี้ปรับขึ้นปลายปีเหมาะสมกว่า
นาย
มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้เผชิญกับความเสี่ยงหลายเรื่องทั้งจากปัจจัยความไม่นอนภายนอก และแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาสินค้าที่แพงตามต้นทุนสินค้า และราคาสินค้าที่แพงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนในวงกว้าง
ทั้งนี้จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลายด้านทำให้คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจของไทยอาจจะเติบโตในระดับต่ำอีกปี โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวได้ประมาณ 1 – 1.5% เท่านั้น เนื่องจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจทั้งจากภายในและภายนอกประเทศมีมาก
นาย
มนตรีกล่าวต่อว่าสำหรับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในส่วนของประเทศไทยมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 5% ในช่วงต้นปีมาอยู่ที่ระดับ 7.1% ในเดือน พ.ค.โดยเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะนี้เป็นการปรับขึ้นจากปัจจัยเรื่องต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้าในหมวดน้ำมัน และสินค้าในหมวดหมู่อาหาร ซึ่งเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในเดือนล่าสุดมาจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นประมาณ 2% และมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 5%
ดังนั้นเงินเฟ้อในรอบนี้ไม่ได้เกิดจากการฟื้นตัวหรือความร้อนแรงของเศรษฐกิจแต่เป็นเรื่องของต้นทุน (cost push)มากกว่าจึงไม่สามารถที่จะแก้ไขด้วยการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากในระดับของเงินเฟ้อที่เกิดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับ 2% ถือว่าเป็นเงินเฟ้ออ่อนๆถือว่าเป็นระดับเงินเฟ้อที่ยอมรับได้
นาย
มนตรีกล่าวว่าการตัดสินใจของ กนง.ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ในขณะนี้เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่าย และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายอย่าง เพราะการตัดสินใจเพื่อขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดเงินเฟ้อที่เกิดจาก cost push ไม่ช่วยในเรื่องของการแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้มากนัก
เนื่องจากเมื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน แร่ธาตุ หรืออาหารต่างๆก็ไม่ได้ปรับลดลง ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้เงินบาทที่อ่อนค่าไปมากกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ในขณะนี้แข็งค่ามากขึ้นซึ่งเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้นจะช่วยเศรษฐกิจในเรื่องของการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช้เงินที่ลดลง
เพราะหากค่าเงินบาทอ่อนไปเรื่อยๆการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศจะต้องใช้เงินบาทไปแลกเป็นเงินดอลลาร์มากกว่าปกติและส่งผลต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้
ส่วนหากไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายโดยคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ต่อไปก็จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนเนื่องจากเงินทุนไหลออกไปลงทุนในประเทศที่มีผลตอบแทนมากกว่าโดยเฉพาะในสหรัฐฯที่เพิ่งขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75%
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้วส่งผลให้ค่าเงินบาทที่อ่อนก็จะช่วยในเรื่องของการส่งออก และเรื่องของภาคท่องเที่ยวที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายมากขึ้นจากค่าเงินบาที่อ่อนค่าลง
“การตัดสินใจในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เป็นการตัดสินใจที่ กนง.ต้องพิจารณาถึงหลายปัจจัย และต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะการเร่งรัดขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไปก็ไม่เกิดผลดีเพราะเวลาดอกเบี้ยขึ้นคือปรับขึ้นทั้งกระดาน ประชาชนที่มีปัญหาในเรื่องหนี้ครัวเรือนมากก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้นด้วย
โดยช่วงเวลาที่การขยับดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นคือในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีมากกว่าจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพราะในช่วงไตรมาสสุดท้ายภาคท่องเที่ยวจะฟื้นตัวมากขึ้น ประชาชนมีรายได้ และภาคธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยในขณะนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ดีกว่าและไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ” นาย
มนตรี กล่าว
หลังคาเหล็กจ่อขึ้นราคา AD ดันต้นทุนนำเข้าพุ่ง
https://www.prachachat.net/economy/news-957200
ส.ผู้ผลิตหลังคาเหล็กเมทัลชีสขอพาณิชย์ยืดเอดีเหล็กนำเข้าจากจีนต่อรอบที่ 3 หลังสิ้นสุดมาตรการเว้นเอดี 1 พ.ค. 65 ภาษีพุ่ง 40.77% หวั่นปริมาณการผลิตในประเทศไม่เพียงพอต้องนำเข้า บวกต้นทุนเอดีทุบซ้ำต้อง “ขึ้นราคา” พร้อมกระทุ้ง มอก.อืด 5 ปีไม่เสร็จ-เร่งเครื่อง กขค.พิจารณาผู้ผลิตเหล็กไทยผูกขาด มิ.ย.นี้
รายงานจากกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ได้ออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) กับสินค้าเหล็กม้วนเมทัลชีต (เหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อน หรือ GL, เหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนทาสี PPGL) จากประเทศจีน
ในอัตรา 40.77% ตามที่บริษัทผู้ผลิตในประเทศร้องว่าจีนมีการทุ่มตลาด ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมภายใน ซึ่งการบังคับใช้มาตรการเอดีนี้ เดิมจะเริ่มใช้ในเดือนเมษายน 2564 เป็นเวลา 5 ปี
แต่ทางผู้ผลิตหลักคาเหล็กของไทย ระบุว่าหากใช้มาตรการเอดี จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ เพราะสินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศยังมีปริมาณไม่เพียงพอ ขอให้ต่ออายุมาตรการเว้นเอดีอีกเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้ต่ออายุมาแล้ว 2 ครั้ง สิ้นสุดไปเมื่อเดือนเมษายน 2565 แต่ทางผู้ผลิตขอต่อรอบที่ 3
“กรมการค้าต่างประเทศประชุมร่วมกับทุกฝ่ายไปเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ยังไม่มีข้อสรุป กรมแนะนำผู้ผลิตเหล็ก PPGL กับผู้ผลิตเหล็กหลังคากลับไปหารือกัน เรื่องการรับซื้อ ราคา พร้อมแนะนำให้ผู้นำเข้าไทยเจรจากับผู้ผลิตเหล็กจากจีนให้ยื่นขอทบทวนการใช้มาตรการเอดี คาดว่าจะใช้ระยะเวลาการพิจารณาไม่เกิน 1 ปี หากเห็นว่าไม่มีการทุ่มตลาดจริงก็อาจจะยกเลิกหรือปรับอัตราภาษีใหม่ให้”
ด้านนาย
พันธนวุฒิ ถิ่นคำแบ่ง นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลหารือร่วมกับสภาวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมไทย (สภา SME) และสมาพันธ์ผู้บริโภคหลังคาเหล็ก หารือร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอุตสาหกรรมภายใน อาทิ บจ.เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย), บจ.เคจี สตีล, บจ.เอ็มพาวเวอร์สตีล และ บมจ.กรุงเทพผลิตเหล็ก
ผลสรุปเบื้องต้น สมาคมรับข้อเสนอจากกรม โดยจะให้บริษัทผู้นำเข้าเหล็กประมาณ 100 ราย ซึ่งมีสมาชิกของสมาคม 4 ราย และมีรายใหญ่ 10 ราย ประสานผู้ผลิตเหล็กจีนให้ยื่นขอทบทวนอัตราภาษีเอดีใหม่โดยเร็วที่สุด ซึ่งกรมจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำด้วย
ซึ่งระหว่างการยื่นขอทบทวน AD ทางผู้ผลิตภายในประเทศได้เสนอขายสินค้าราคาพิเศษให้สมาชิกของสมาคม โดยมีเงื่อนไขการสั่งซื้ออย่างน้อยขั้นต่ำ 3,500-5,000 ตันต่อเดือน และสั่งซื้อติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาด้านราคาด้วย
“หลังจากสิ้นสุดมาตรการยกเว้นภาษีเอดีเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ทางผู้นำเข้าหยุดการนำเข้าชั่วคราวจนกว่าจะทบทวนเอดี โดยยังคงใช้สต๊อกเดิม ซึ่งยังไม่รู้จะคงเหลือนานเท่าไร หากต้องใช้เวลาทบทวนนานก็เชื่อว่าผู้นำเข้าจำเป็นต้องนำเข้าในอัตราภาษีเอดี 40.77% ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่ายปลีกเหล็กเพิ่มขึ้น แต่จะเพิ่มขึ้นเท่าไร หรือเมื่อไร ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจน แต่เชื่อว่าเร็ว ๆ นี้จะเห็นราคาขึ้นแน่นอน
โดยในขณะนี้ราคาซื้อขายเหล็กในประเทศ เช่น ม้วนเหล็ก 0.30 มม. สีนอก ราคา 125 บาทต่อเมตร บลูสโคป ขาย 155 บาทต่อเมตร จิงโจ้ ขาย 130 บาทต่อเมตร ม้วนเหล็ก 0.35 มม. สีนอก จำหน่ายอยู่ที่ 135 บาทต่อเมตร บลูสโคป ขาย 175 บาทต่อเมตร จิงโจ้ ขาย 155 บาทต่อเมตร และหากมีการนำเข้าในอัตราภาษี 40.77% ราคาก็จะขยับขึ้น”
ขณะที่ข้อมูลการผลิตเหล็กของ 4 บริษัท มีปริมาณ 60,000 ตัน/เดือน ขณะที่ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศเดือนละ 1.2 แสนตัน สะท้อนว่าปริมาณยังไม่เพียงพออีก 60,000 ตัน
นาย
พันธนวุฒิกล่าวอีกว่า สมาคมยื่นหนังสือเร่งรัดขอให้ออกประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สินค้า GL PPGL ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่สามารถออกประกาศได้ ซึ่งล่าสุด สมอ.ชี้แจงเองว่าอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลจะเร่งออก มอก.ให้เร็วที่สุด
JJNY : 'คนศรีสะเกษ'ยังหนุน'เพื่อไทย'ไม่เปลี่ยน│นักวิชาการห่วงศก.โตต่ำ│หลังคาเหล็กจ่อขึ้นราคา│'สมคิด'เบรก'สุชาติ'หยุดดิ้น
https://voicetv.co.th/read/7sXEEVpxT
ครอบครัวเพื่อไทยไปศรีสะเกษ ปชช.ตอบรับล้นหลาม 'โฆษกเพื่อไทย' ชี้การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษครบทุกเขตถือเป็นคำมั่นสัญญามอบให้ประชาชน หากใครไปแล้วไปลับ อย่าชวนใครไปอีก
วันที่ 19 มิ.ย. 2565 ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า กิจกรรม “ครอบครัวเพื่อไทย ไปศรีสะเกษ ไล่หนูตีงูเห่า” ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา รวม 3 เวที มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดศรีสะเกษ ครบทุกเขตเป็นจังหวัดแรก ถือเป็นการให้คำมั่นสัญญากับพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษว่าพรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าสร้างบ้านของเราให้แข็งแกร่งขึ้น สู้เป้าหมายแลนด์สไลด์ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย เราจะไม่ทรยศต่อศรัทธาที่ประชาชนมอบให้ ไม่โอนเอนหวั่นไหวไปกับอำนาจและกล้วยหวีใหญ่ที่มีคนมาหยิบยื่นให้แล้ว “แปรพรรค” ไปโดยไม่สนใจประชาชนที่เลือกเข้ามาเพราะเห็นว่าเป็นผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้จากการเปิดกิจกรรมใน 3 เวที จาก 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุทุมพรพิสัย ราษีไศล และขุนหาญ พรรคเพื่อไทยนำโดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.ในพื้นที่ ผู้บริหารและสมาชิกพรรค ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียงอย่างอบอุ่น มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างล้นหลามร่วมหมื่นคน ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประชาชนในพื้นที่ยังคงให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เราพร้อมที่จะเดินหน้า ไม่หวั่นไหวต่อการย้ายพรรคของ ส.ส.เพื่อไทย อย่างน้อย 3 คนที่กำลังไปยังพรรคอื่น หากไปแล้วก็คงไปลับ ไม่กลับมาทรยศพี่น้องประชาชนด้วยการชักจูง ส.ส. เพื่อไทยไปอีก ดังนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในระยะเวลาอันใกล้นี้ ฝากความหวังไว้ที่ประชาชนด้วยการเลือก ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย และเลือกพรรคเพื่อไทยให้ชนะขาด เพราะเมื่อเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ชีวิตของพี่น้องประชาชนจะไม่จมทุกข์อย่างทุกวันนี้แน่นอน
“นักการเมืองที่กล่าวหา ให้ร้ายพรรคเพื่อไทยว่าโครงการครอบครัวเพื่อไทยไปศรีสะเกษ “ไล่หนูตีงูเห่า” ไม่สร้างสรรค์ อยากให้ท่านอ่านหนังสือให้จบตอน อย่าอ่านแค่บรรทัดเดียวแล้วมาตีความต่อว่าพรรค กิจกรรมนี้เราต้องการบอกชาวศรีสะเกษทุกคนว่าเรามีแนวคิด แนวนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนอย่างไรในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เราต้องการยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมยืนหยัดไปกับพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษ ด้วยการเลือกเฟ้นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ครบทุกเขต ซึ่งพวกเขามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ เป็นที่รัก เป็นตัวจริงที่พี่น้องในพื้นที่รู้จักดี และเราจะเดินหน้าไปด้วยกัน” ธีรรัตน์กล่าว
‘นักวิชาการ’ ห่วงศก.โตต่ำหลัง กนง.เร่งขึ้นดอกเบี้ย แนะช่างน้ำหนักผลกระทบ
https://www.bangkokbiznews.com/business/1010663
นักวิชาการนิด้าห่วงเศรษฐกิจโตต่ำหลัง กนง.เตรียมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ ประเมินผลกระทบหลายด้านฉุดจีดีพีไทยปีนี้อาจโตแค่ 1 - 1.5% เท่านั้น แนะ กนง.ชั่งน้ำหนักระหว่างปรับขึ้นแล้วช่วยบาทอ่อนลดลง กับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือน ชี้ปรับขึ้นปลายปีเหมาะสมกว่า
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้เผชิญกับความเสี่ยงหลายเรื่องทั้งจากปัจจัยความไม่นอนภายนอก และแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาสินค้าที่แพงตามต้นทุนสินค้า และราคาสินค้าที่แพงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนในวงกว้าง
ทั้งนี้จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลายด้านทำให้คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจของไทยอาจจะเติบโตในระดับต่ำอีกปี โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวได้ประมาณ 1 – 1.5% เท่านั้น เนื่องจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจทั้งจากภายในและภายนอกประเทศมีมาก
นายมนตรีกล่าวต่อว่าสำหรับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในส่วนของประเทศไทยมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 5% ในช่วงต้นปีมาอยู่ที่ระดับ 7.1% ในเดือน พ.ค.โดยเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะนี้เป็นการปรับขึ้นจากปัจจัยเรื่องต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้าในหมวดน้ำมัน และสินค้าในหมวดหมู่อาหาร ซึ่งเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในเดือนล่าสุดมาจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นประมาณ 2% และมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 5%
ดังนั้นเงินเฟ้อในรอบนี้ไม่ได้เกิดจากการฟื้นตัวหรือความร้อนแรงของเศรษฐกิจแต่เป็นเรื่องของต้นทุน (cost push)มากกว่าจึงไม่สามารถที่จะแก้ไขด้วยการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากในระดับของเงินเฟ้อที่เกิดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับ 2% ถือว่าเป็นเงินเฟ้ออ่อนๆถือว่าเป็นระดับเงินเฟ้อที่ยอมรับได้
นายมนตรีกล่าวว่าการตัดสินใจของ กนง.ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ในขณะนี้เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่าย และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายอย่าง เพราะการตัดสินใจเพื่อขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดเงินเฟ้อที่เกิดจาก cost push ไม่ช่วยในเรื่องของการแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้มากนัก
เนื่องจากเมื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน แร่ธาตุ หรืออาหารต่างๆก็ไม่ได้ปรับลดลง ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้เงินบาทที่อ่อนค่าไปมากกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ในขณะนี้แข็งค่ามากขึ้นซึ่งเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้นจะช่วยเศรษฐกิจในเรื่องของการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช้เงินที่ลดลง
เพราะหากค่าเงินบาทอ่อนไปเรื่อยๆการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศจะต้องใช้เงินบาทไปแลกเป็นเงินดอลลาร์มากกว่าปกติและส่งผลต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้
ส่วนหากไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายโดยคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ต่อไปก็จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนเนื่องจากเงินทุนไหลออกไปลงทุนในประเทศที่มีผลตอบแทนมากกว่าโดยเฉพาะในสหรัฐฯที่เพิ่งขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75%
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้วส่งผลให้ค่าเงินบาทที่อ่อนก็จะช่วยในเรื่องของการส่งออก และเรื่องของภาคท่องเที่ยวที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายมากขึ้นจากค่าเงินบาที่อ่อนค่าลง
“การตัดสินใจในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เป็นการตัดสินใจที่ กนง.ต้องพิจารณาถึงหลายปัจจัย และต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะการเร่งรัดขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไปก็ไม่เกิดผลดีเพราะเวลาดอกเบี้ยขึ้นคือปรับขึ้นทั้งกระดาน ประชาชนที่มีปัญหาในเรื่องหนี้ครัวเรือนมากก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้นด้วย
โดยช่วงเวลาที่การขยับดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นคือในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีมากกว่าจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพราะในช่วงไตรมาสสุดท้ายภาคท่องเที่ยวจะฟื้นตัวมากขึ้น ประชาชนมีรายได้ และภาคธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยในขณะนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ดีกว่าและไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ” นายมนตรี กล่าว
หลังคาเหล็กจ่อขึ้นราคา AD ดันต้นทุนนำเข้าพุ่ง
https://www.prachachat.net/economy/news-957200
ส.ผู้ผลิตหลังคาเหล็กเมทัลชีสขอพาณิชย์ยืดเอดีเหล็กนำเข้าจากจีนต่อรอบที่ 3 หลังสิ้นสุดมาตรการเว้นเอดี 1 พ.ค. 65 ภาษีพุ่ง 40.77% หวั่นปริมาณการผลิตในประเทศไม่เพียงพอต้องนำเข้า บวกต้นทุนเอดีทุบซ้ำต้อง “ขึ้นราคา” พร้อมกระทุ้ง มอก.อืด 5 ปีไม่เสร็จ-เร่งเครื่อง กขค.พิจารณาผู้ผลิตเหล็กไทยผูกขาด มิ.ย.นี้
รายงานจากกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ได้ออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) กับสินค้าเหล็กม้วนเมทัลชีต (เหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อน หรือ GL, เหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนทาสี PPGL) จากประเทศจีน
ในอัตรา 40.77% ตามที่บริษัทผู้ผลิตในประเทศร้องว่าจีนมีการทุ่มตลาด ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมภายใน ซึ่งการบังคับใช้มาตรการเอดีนี้ เดิมจะเริ่มใช้ในเดือนเมษายน 2564 เป็นเวลา 5 ปี
แต่ทางผู้ผลิตหลักคาเหล็กของไทย ระบุว่าหากใช้มาตรการเอดี จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ เพราะสินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศยังมีปริมาณไม่เพียงพอ ขอให้ต่ออายุมาตรการเว้นเอดีอีกเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้ต่ออายุมาแล้ว 2 ครั้ง สิ้นสุดไปเมื่อเดือนเมษายน 2565 แต่ทางผู้ผลิตขอต่อรอบที่ 3
“กรมการค้าต่างประเทศประชุมร่วมกับทุกฝ่ายไปเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ยังไม่มีข้อสรุป กรมแนะนำผู้ผลิตเหล็ก PPGL กับผู้ผลิตเหล็กหลังคากลับไปหารือกัน เรื่องการรับซื้อ ราคา พร้อมแนะนำให้ผู้นำเข้าไทยเจรจากับผู้ผลิตเหล็กจากจีนให้ยื่นขอทบทวนการใช้มาตรการเอดี คาดว่าจะใช้ระยะเวลาการพิจารณาไม่เกิน 1 ปี หากเห็นว่าไม่มีการทุ่มตลาดจริงก็อาจจะยกเลิกหรือปรับอัตราภาษีใหม่ให้”
ด้านนายพันธนวุฒิ ถิ่นคำแบ่ง นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลหารือร่วมกับสภาวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมไทย (สภา SME) และสมาพันธ์ผู้บริโภคหลังคาเหล็ก หารือร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอุตสาหกรรมภายใน อาทิ บจ.เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย), บจ.เคจี สตีล, บจ.เอ็มพาวเวอร์สตีล และ บมจ.กรุงเทพผลิตเหล็ก
ผลสรุปเบื้องต้น สมาคมรับข้อเสนอจากกรม โดยจะให้บริษัทผู้นำเข้าเหล็กประมาณ 100 ราย ซึ่งมีสมาชิกของสมาคม 4 ราย และมีรายใหญ่ 10 ราย ประสานผู้ผลิตเหล็กจีนให้ยื่นขอทบทวนอัตราภาษีเอดีใหม่โดยเร็วที่สุด ซึ่งกรมจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำด้วย
ซึ่งระหว่างการยื่นขอทบทวน AD ทางผู้ผลิตภายในประเทศได้เสนอขายสินค้าราคาพิเศษให้สมาชิกของสมาคม โดยมีเงื่อนไขการสั่งซื้ออย่างน้อยขั้นต่ำ 3,500-5,000 ตันต่อเดือน และสั่งซื้อติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาด้านราคาด้วย
“หลังจากสิ้นสุดมาตรการยกเว้นภาษีเอดีเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ทางผู้นำเข้าหยุดการนำเข้าชั่วคราวจนกว่าจะทบทวนเอดี โดยยังคงใช้สต๊อกเดิม ซึ่งยังไม่รู้จะคงเหลือนานเท่าไร หากต้องใช้เวลาทบทวนนานก็เชื่อว่าผู้นำเข้าจำเป็นต้องนำเข้าในอัตราภาษีเอดี 40.77% ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่ายปลีกเหล็กเพิ่มขึ้น แต่จะเพิ่มขึ้นเท่าไร หรือเมื่อไร ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจน แต่เชื่อว่าเร็ว ๆ นี้จะเห็นราคาขึ้นแน่นอน
โดยในขณะนี้ราคาซื้อขายเหล็กในประเทศ เช่น ม้วนเหล็ก 0.30 มม. สีนอก ราคา 125 บาทต่อเมตร บลูสโคป ขาย 155 บาทต่อเมตร จิงโจ้ ขาย 130 บาทต่อเมตร ม้วนเหล็ก 0.35 มม. สีนอก จำหน่ายอยู่ที่ 135 บาทต่อเมตร บลูสโคป ขาย 175 บาทต่อเมตร จิงโจ้ ขาย 155 บาทต่อเมตร และหากมีการนำเข้าในอัตราภาษี 40.77% ราคาก็จะขยับขึ้น”
ขณะที่ข้อมูลการผลิตเหล็กของ 4 บริษัท มีปริมาณ 60,000 ตัน/เดือน ขณะที่ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศเดือนละ 1.2 แสนตัน สะท้อนว่าปริมาณยังไม่เพียงพออีก 60,000 ตัน
นายพันธนวุฒิกล่าวอีกว่า สมาคมยื่นหนังสือเร่งรัดขอให้ออกประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สินค้า GL PPGL ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่สามารถออกประกาศได้ ซึ่งล่าสุด สมอ.ชี้แจงเองว่าอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลจะเร่งออก มอก.ให้เร็วที่สุด