https://www.dhammahome.com/cd/topic/51/2 (สามารถเลื่อนไปฟังได้ตั้งแต่นาทีที่ 27.40)
อ. สุจินต์ : เป็นชีวิตจริงๆ นะคะ ซึ่งมีปัจจัยเกิดมาแล้ว และทุกชีวิตกำลังก้าวไปสู่ความแก่และความตาย ซึ่งระหว่างนั้นก็จะพ้นไปจากปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปปายาสะ ไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเองนะคะ
แต่ว่าเมื่อได้เข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรมมะฝ่ายเกิดซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นไปละเอียดขึ้นในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้สามารถที่จะรู้หนทางที่จะทำให้อบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นธรรมมะฝ่ายดับในปฏิจจสมุปบาทได้
สำหรับอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ขณะที่กำลังคิดเป็นไปต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศล อกุศล แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมมะ ขณะนั้นก็ไม่พ้นจากสังสารวัฏ เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเมื่อถึงวาระที่จะจากโลกนี้ไป สังขารนั้นๆ คือ กุศลกรรม และอกุศลกรรมนั้น ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ ซึ่งปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้ก็มีแล้ว เมื่อปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้มี ก็จะได้ทราบว่า ปฏิสนธิวิญญาณของชาตินี้เป็นปัจจัยให้เกิดนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต และก็ไม่ใช่มีแต่จิตและเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นขณะแรก แต่ต้องมีปฏิสนธิกัมมชรูป คือมีรูปซึ่งเกิดพร้อมกรรมเป็นปัจจัย เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตนั้นด้วย
นี่ก็เข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ ใช่มั้ยคะ ไม่ใช่เพียงแต่ท่องเฉยๆ แต่เข้าใจแล้วว่าเมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต เจตสิกก็เกิดร่วมกับปฏิสนธิจิตนั้นโดยกรรมเดียวกันเป็นปัจจัยทำให้วิบากเจตสิกเกิดร่วมกับวิบากจิตซึ่งทำปฏิสนธิจิต และกรรมนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูปเกิดร่วมด้วย
สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ในครรภ์ ก็จะมีกัมมชรูป 3 กลุ่ม คือ (1) กายทสกะ กลุ่มของรูป 10 รูป ซึ่งมีกายปสาทะ รวมอยู่ด้วย (2) หทยทสกะ คือกลุ่มของรูป 10 รูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ซึ่งภายหลังจะเป็นรูปร่างของหัวใจ ซึ่งปฏิสนธิจิตอาศัยข้างใน เป็นที่เกิด แต่ว่าตอนที่เกิดขณะแรก ยังไม่มีรูปร่าง เป็นแต่เพียงกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดซึ่งมองไม่เห็น แต่กลุ่มนั้นกลุ่มเดียวก็เป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิต และ (3) อีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ภาวทสกะ กลุ่มของรูป 10 รูป ซึ่งมีภาวรูป ก็คือ อิตถีภาวรูป (เพศหญิง) หรือ ปุริสภาวรูป (เพศชาย)
นี่ก็ทำให้ทุกคนย้อนไปถึงตอนที่เพิ่งเกิด จะได้รู้ว่า ตอนที่เกิดจริงๆ มีสังขาร คือ กุศลกรรม หรืออกุศลกรรม กรรมเดียวเท่านั้นในบรรดาหลายๆ กรรมที่ทำในชาติหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นอดีตกรรมที่ทำมาแล้ว ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ปฏิสนธิเกิดได้ ชาติหน้าที่จะเกิดต่อไปนะคะ ก็จะเป็นเพราะกรรมหนึ่งกรรมใดที่ได้ทำในชาตินี้ หรือกรรมที่ได้ทำแล้วในชาติก่อนๆ ก็ได้
และในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั้น ก็จะมีเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมเกิดร่วมด้วยและมีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้วิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต จึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป
การที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ซึ่งบางท่านอยากจะเข้าใจมากๆ นะคะโดยที่ว่ายังไม่ได้ศึกษาปรมัตถธรรมเลย แต่ว่าขอให้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะเหตุว่า ต้องเข้าใจปรมัตถธรรมเสียก่อน คือต้องเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป จึงจะสามารถเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ว่าในส่วนของปฏิจจสมุปบาท หรือในส่วนของอริยสัจธรรม
ด้วยเหตุนี้นะคะ ขณะที่เกิด ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นาม (เจตสิก) และรูป (กัมมชรูป) ซึ่งเกิดร่วมด้วย จิตเกิดดับสืบๆ กันมาตั้งแต่เกิด รูปก็เกิดดับสืบๆ กันมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่มีใครรู้ว่า การเกิดดับสืบต่อของจิตตั้งแต่ปฏิสนธิ เมื่อไหร่จะเป็นสฬายตนะ เพราะเหตุว่า ถ้าเพียงแต่จิตเกิดดับแล้วไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะดีมั้ยคะ เป็นไปได้มั้ย ในเมื่อจิตเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีการรู้อารมณ์ตั้งแต่ปฏิสนธิ เพียงแต่ว่า ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่อเมื่อภายหลัง นามรูปจึงจะเป็นปัจจัยแก่ สฬายตนะ เมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้น ก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจเป็นที่รู้อารมณ์ทางใจ อายตนะ 6 สฬายตนะ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ก็มีการเกิด แล้วผู้ที่เกิดมาก็มีจิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับสืบต่อ แต่ก็ไม่รู้เลยนะคะว่าเมื่อถึงกาลเวลาใดที่จะเป็นปัจจัย ก็จะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย เพราะเหตุว่านามรูปที่มีนั้นก็เกิดดับสืบต่อจนถึงกาลที่จะเป็นสฬายตนะ
อ.สุจินต์ มีข้อสงสัยอะไรมั้ยคะ ในเรื่องนี้... เชิญค่ะ
ผู้ถาม : ก่อนถึงวาระที่จะตาย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ สังขารตัวนี้คืออะไรครับ วิญญาณ คืออะไรครับ นามรูป คืออะไร ตรงนี้ผมยังสงสัย แต่ตอนสิ้นชีวิตนั้นรู้ สังขารนั้นเป็นอภิสังขาร เป็นเจตนา...
________________________________
(ต่อ)
https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/1 (นาทีที่ 00.01 เป็นต้นไป)
อ.สุจินต์ : ถ้ากล่าวถึงสังขารในปฏิจจสมุปบาทนะคะ หมายความถึง อภิสังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร 1 อปุญญาภิสังขาร 1 และอเนญชาภิสังขาร 1 ได้แก่เจตนาเจตสิกดวงเดียวที่เป็นอภิสังขาร เพราะเหตุว่า เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่งค่ะ เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในกุศล เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในอกุศล จนถึงขั้นที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาถึงขณะนี้นะคะ เพื่อที่เราจะได้ทราบว่า ทุกชีวิตนี้ค่ะ ที่มีการเกิด และก็คงจะต้องมีการเกิดอีก เกิดอีกมากมายไม่รู้จบ ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเป็นอภิสังขาร เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิต คือ วิญญาณ ซึ่งวิญญาณ ได้แก่ปฏิสนธิจิตนะคะ ขณะที่เกิดนั้น ก็จะปราศจากเจตสิกไม่ได้ แต่ว่าเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีวิญญาณไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป ในภูมิที่มีขันธ์ห้าค่ะ คือในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั้นเอง ก็จะมีเจตสิก(นาม) และกัมมชรูป(รูป) เกิด แล้วก็เกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกาลที่เป็นสฬายตนะ หรืออายตนะ ที่จะรู้อารมณ์อื่นนอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิต
ผู้ถาม: ก่อนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตนี้น่ะครับ ตั้งแต่เกิดขึ้นมาเนี่ย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ...
อ.สุจินต์ : วันนี้มีอกุศลจิตมั้ยคะ
ผู้ถาม: สำหรับผม มีเยอะเลยครับ
อ.สุจินต์ : ค่ะ เพราะเหตุว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัย ถ้าเป็นกุศลที่ไม่ใช่เพื่อการที่จะศึกษาธรรมมะให้เข้าใจหนทางที่จะดับ ขณะนั้น ก็ต้องเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็น กามาวจรกุศล เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล แต่ว่าไม่ใช่การศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมมะ ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็เป็น มิจฉาปฏิปทา เพราะเหตุว่า เกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ถาม : ตรงนี้เข้าใจครับ หมายความว่า อวิชชาเกิดขึ้นอยู่เสมือ อวิชชา คือความไม่รู้ เป็นโมหะ
อ.สุจินต์ : ไม่ควรจะใช้คำว่า “เสมอ” นะคะ อันนี้เป็นแต่เพียงการแสดงว่า ขณะใดเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นปัจจัย ขณะที่อกุศลจิตเกิด ต้องเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ถาม : ครับ ถูกต้องครับ ไม่เสมอ เพราะบางครั้งมีกุศล ขอบพระคุณครับ
อ.สุจินต์ : ถึงแม้เป็นกุศล แต่เป็นกุศลที่ไม่เป็นไปในเรื่องของการศึกษาธรรมมะ หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะนะคะ กุศลนั้นจะเป็นไปในทาน ในศีล หรือสมถภาวนาถึงรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะเหตุว่า ไม่ออกจากสังสารวัฏ ยังเป็นไปในฝ่ายเกิด ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายดับ
ปฏิจจสมุปบาท_อ. สุจินต์
อ. สุจินต์ : เป็นชีวิตจริงๆ นะคะ ซึ่งมีปัจจัยเกิดมาแล้ว และทุกชีวิตกำลังก้าวไปสู่ความแก่และความตาย ซึ่งระหว่างนั้นก็จะพ้นไปจากปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปปายาสะ ไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเองนะคะ
แต่ว่าเมื่อได้เข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรมมะฝ่ายเกิดซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นไปละเอียดขึ้นในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้สามารถที่จะรู้หนทางที่จะทำให้อบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นธรรมมะฝ่ายดับในปฏิจจสมุปบาทได้
สำหรับอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ขณะที่กำลังคิดเป็นไปต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศล อกุศล แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมมะ ขณะนั้นก็ไม่พ้นจากสังสารวัฏ เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเมื่อถึงวาระที่จะจากโลกนี้ไป สังขารนั้นๆ คือ กุศลกรรม และอกุศลกรรมนั้น ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ ซึ่งปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้ก็มีแล้ว เมื่อปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้มี ก็จะได้ทราบว่า ปฏิสนธิวิญญาณของชาตินี้เป็นปัจจัยให้เกิดนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต และก็ไม่ใช่มีแต่จิตและเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นขณะแรก แต่ต้องมีปฏิสนธิกัมมชรูป คือมีรูปซึ่งเกิดพร้อมกรรมเป็นปัจจัย เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตนั้นด้วย
นี่ก็เข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ ใช่มั้ยคะ ไม่ใช่เพียงแต่ท่องเฉยๆ แต่เข้าใจแล้วว่าเมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต เจตสิกก็เกิดร่วมกับปฏิสนธิจิตนั้นโดยกรรมเดียวกันเป็นปัจจัยทำให้วิบากเจตสิกเกิดร่วมกับวิบากจิตซึ่งทำปฏิสนธิจิต และกรรมนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูปเกิดร่วมด้วย
สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ในครรภ์ ก็จะมีกัมมชรูป 3 กลุ่ม คือ (1) กายทสกะ กลุ่มของรูป 10 รูป ซึ่งมีกายปสาทะ รวมอยู่ด้วย (2) หทยทสกะ คือกลุ่มของรูป 10 รูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ซึ่งภายหลังจะเป็นรูปร่างของหัวใจ ซึ่งปฏิสนธิจิตอาศัยข้างใน เป็นที่เกิด แต่ว่าตอนที่เกิดขณะแรก ยังไม่มีรูปร่าง เป็นแต่เพียงกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดซึ่งมองไม่เห็น แต่กลุ่มนั้นกลุ่มเดียวก็เป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิต และ (3) อีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ภาวทสกะ กลุ่มของรูป 10 รูป ซึ่งมีภาวรูป ก็คือ อิตถีภาวรูป (เพศหญิง) หรือ ปุริสภาวรูป (เพศชาย)
นี่ก็ทำให้ทุกคนย้อนไปถึงตอนที่เพิ่งเกิด จะได้รู้ว่า ตอนที่เกิดจริงๆ มีสังขาร คือ กุศลกรรม หรืออกุศลกรรม กรรมเดียวเท่านั้นในบรรดาหลายๆ กรรมที่ทำในชาติหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นอดีตกรรมที่ทำมาแล้ว ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ปฏิสนธิเกิดได้ ชาติหน้าที่จะเกิดต่อไปนะคะ ก็จะเป็นเพราะกรรมหนึ่งกรรมใดที่ได้ทำในชาตินี้ หรือกรรมที่ได้ทำแล้วในชาติก่อนๆ ก็ได้
และในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั้น ก็จะมีเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมเกิดร่วมด้วยและมีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้วิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต จึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป
การที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ซึ่งบางท่านอยากจะเข้าใจมากๆ นะคะโดยที่ว่ายังไม่ได้ศึกษาปรมัตถธรรมเลย แต่ว่าขอให้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะเหตุว่า ต้องเข้าใจปรมัตถธรรมเสียก่อน คือต้องเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป จึงจะสามารถเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ว่าในส่วนของปฏิจจสมุปบาท หรือในส่วนของอริยสัจธรรม
ด้วยเหตุนี้นะคะ ขณะที่เกิด ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นาม (เจตสิก) และรูป (กัมมชรูป) ซึ่งเกิดร่วมด้วย จิตเกิดดับสืบๆ กันมาตั้งแต่เกิด รูปก็เกิดดับสืบๆ กันมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่มีใครรู้ว่า การเกิดดับสืบต่อของจิตตั้งแต่ปฏิสนธิ เมื่อไหร่จะเป็นสฬายตนะ เพราะเหตุว่า ถ้าเพียงแต่จิตเกิดดับแล้วไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะดีมั้ยคะ เป็นไปได้มั้ย ในเมื่อจิตเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีการรู้อารมณ์ตั้งแต่ปฏิสนธิ เพียงแต่ว่า ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่อเมื่อภายหลัง นามรูปจึงจะเป็นปัจจัยแก่ สฬายตนะ เมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้น ก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจเป็นที่รู้อารมณ์ทางใจ อายตนะ 6 สฬายตนะ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ก็มีการเกิด แล้วผู้ที่เกิดมาก็มีจิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับสืบต่อ แต่ก็ไม่รู้เลยนะคะว่าเมื่อถึงกาลเวลาใดที่จะเป็นปัจจัย ก็จะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย เพราะเหตุว่านามรูปที่มีนั้นก็เกิดดับสืบต่อจนถึงกาลที่จะเป็นสฬายตนะ
อ.สุจินต์ มีข้อสงสัยอะไรมั้ยคะ ในเรื่องนี้... เชิญค่ะ
ผู้ถาม : ก่อนถึงวาระที่จะตาย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ สังขารตัวนี้คืออะไรครับ วิญญาณ คืออะไรครับ นามรูป คืออะไร ตรงนี้ผมยังสงสัย แต่ตอนสิ้นชีวิตนั้นรู้ สังขารนั้นเป็นอภิสังขาร เป็นเจตนา...
________________________________
(ต่อ) https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/1 (นาทีที่ 00.01 เป็นต้นไป)
อ.สุจินต์ : ถ้ากล่าวถึงสังขารในปฏิจจสมุปบาทนะคะ หมายความถึง อภิสังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร 1 อปุญญาภิสังขาร 1 และอเนญชาภิสังขาร 1 ได้แก่เจตนาเจตสิกดวงเดียวที่เป็นอภิสังขาร เพราะเหตุว่า เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่งค่ะ เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในกุศล เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในอกุศล จนถึงขั้นที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาถึงขณะนี้นะคะ เพื่อที่เราจะได้ทราบว่า ทุกชีวิตนี้ค่ะ ที่มีการเกิด และก็คงจะต้องมีการเกิดอีก เกิดอีกมากมายไม่รู้จบ ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเป็นอภิสังขาร เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิต คือ วิญญาณ ซึ่งวิญญาณ ได้แก่ปฏิสนธิจิตนะคะ ขณะที่เกิดนั้น ก็จะปราศจากเจตสิกไม่ได้ แต่ว่าเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีวิญญาณไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป ในภูมิที่มีขันธ์ห้าค่ะ คือในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั้นเอง ก็จะมีเจตสิก(นาม) และกัมมชรูป(รูป) เกิด แล้วก็เกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกาลที่เป็นสฬายตนะ หรืออายตนะ ที่จะรู้อารมณ์อื่นนอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิต
ผู้ถาม: ก่อนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตนี้น่ะครับ ตั้งแต่เกิดขึ้นมาเนี่ย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ...
อ.สุจินต์ : วันนี้มีอกุศลจิตมั้ยคะ
ผู้ถาม: สำหรับผม มีเยอะเลยครับ
อ.สุจินต์ : ค่ะ เพราะเหตุว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัย ถ้าเป็นกุศลที่ไม่ใช่เพื่อการที่จะศึกษาธรรมมะให้เข้าใจหนทางที่จะดับ ขณะนั้น ก็ต้องเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็น กามาวจรกุศล เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล แต่ว่าไม่ใช่การศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมมะ ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็เป็น มิจฉาปฏิปทา เพราะเหตุว่า เกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ถาม : ตรงนี้เข้าใจครับ หมายความว่า อวิชชาเกิดขึ้นอยู่เสมือ อวิชชา คือความไม่รู้ เป็นโมหะ
อ.สุจินต์ : ไม่ควรจะใช้คำว่า “เสมอ” นะคะ อันนี้เป็นแต่เพียงการแสดงว่า ขณะใดเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นปัจจัย ขณะที่อกุศลจิตเกิด ต้องเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ถาม : ครับ ถูกต้องครับ ไม่เสมอ เพราะบางครั้งมีกุศล ขอบพระคุณครับ
อ.สุจินต์ : ถึงแม้เป็นกุศล แต่เป็นกุศลที่ไม่เป็นไปในเรื่องของการศึกษาธรรมมะ หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะนะคะ กุศลนั้นจะเป็นไปในทาน ในศีล หรือสมถภาวนาถึงรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะเหตุว่า ไม่ออกจากสังสารวัฏ ยังเป็นไปในฝ่ายเกิด ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายดับ