วัฎฎะอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้คือการ แล่นไปของวิญญาณ เพื่อไปเสวยวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วทั้งหลาย ในภพนั้นๆ
การที่สัตว์เกิดมามีความ ปราณีต หรือ หยาบ ต่างกัน เป็นผล --> จากเหตุของกรรมเก่าที่ทำไว้
หรือ กรรมที่เราทำไว้ในชาตินี้ ก็คือเหตุ --> ให้เราได้ผลที่ หยาบ หรือ ปราณีต ไปเกิดในชาติหน้า
เชื่อไหม? ว่าทิฏฐิ ลักษณะนี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ ..
มิจฉาทิฏฐิ อย่างไร ?
ก็เพราะเชื่อว่าวิญญาณที่ก่อเหตุและรับผลนั้นเอง .. คือตัวเรา(อัตตา)
สิ่งนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิร้ายแรง ขนาดพระองค์ทรงเรียกว่า เป็น "โมฆะบุรุษ" เลยทีเดียว
พระองค์ กล่าวว่า วิญญาณเป็นปฏิจจสมุปปันนะธรรม คือวิญญาณเป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น
เมื่อปัจจัยยังมี ความสืบเนื่องแห่งวิญญาณก็ยังอยู่ ถ้าเว้นจากปัจจัยแล้ว ความเกิดแห่งวิญญาณ ก็จะไม่มี
ปฏิจจสมุปปันนะธรรม คือ ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น ก็อย่างเช่น ขันธ์ 5 เป็นต้น ..
ปฏิจจสมุปปันนะธรรม ถูกอธิบายไว้ใน ปฏิจจสมุปบาท ดังนี้ (อวิชชา --> สังขาร = อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร)
อวิชชา --> สังขาร --> วิญญาณ --> นามรูป --> สฬายตนะ --> ผัสสะ --> เวทนา --> ตัณหา --> อุปาทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรามรณะ
ผัสสะ ที่มากระทบเรามากมายก่ายกองในวันหนึ่งๆ เช่น ตาเห็นรูป ฯลฯ ..
ฉะนั้น ในแต่ละวัน พวกเราทุกคนล้วนท่องไปในภพต่างๆอยู่ตลอดเวลา เพราะวงจรนี้เกิดขึ้นไม่รู้กี่รอบในแต่ละวัน ..
เช่น เมื่อความโลภครอบงำก็เป็นเปรตในร่างคน เป็นต้น ..
แม้ในวันหนึ่งๆ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นจนนับครั้งไม่ได้ในแต่ละวัน
แต่คนที่ไม่มีสติ หรือ ลงมือภาวนาจริงๆ ที่ไหนกันจะเห็นความสืบต่อของเหตุปัจจัยนี้ได้
ก็ยังคงเห็นว่า เรานี้แหละเป็นผู้ทำกรรมและรับกรรม ... ก็ยังคงมีเราอยู่ในนั้น(อัตตา)
มิจฉาทิฏฐิ .. ที่แอบแฝงอยู่ ..
การที่สัตว์เกิดมามีความ ปราณีต หรือ หยาบ ต่างกัน เป็นผล --> จากเหตุของกรรมเก่าที่ทำไว้
หรือ กรรมที่เราทำไว้ในชาตินี้ ก็คือเหตุ --> ให้เราได้ผลที่ หยาบ หรือ ปราณีต ไปเกิดในชาติหน้า
เชื่อไหม? ว่าทิฏฐิ ลักษณะนี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ ..
มิจฉาทิฏฐิ อย่างไร ?
ก็เพราะเชื่อว่าวิญญาณที่ก่อเหตุและรับผลนั้นเอง .. คือตัวเรา(อัตตา)
สิ่งนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิร้ายแรง ขนาดพระองค์ทรงเรียกว่า เป็น "โมฆะบุรุษ" เลยทีเดียว
พระองค์ กล่าวว่า วิญญาณเป็นปฏิจจสมุปปันนะธรรม คือวิญญาณเป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น
เมื่อปัจจัยยังมี ความสืบเนื่องแห่งวิญญาณก็ยังอยู่ ถ้าเว้นจากปัจจัยแล้ว ความเกิดแห่งวิญญาณ ก็จะไม่มี
ปฏิจจสมุปปันนะธรรม คือ ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น ก็อย่างเช่น ขันธ์ 5 เป็นต้น ..
ปฏิจจสมุปปันนะธรรม ถูกอธิบายไว้ใน ปฏิจจสมุปบาท ดังนี้ (อวิชชา --> สังขาร = อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร)
อวิชชา --> สังขาร --> วิญญาณ --> นามรูป --> สฬายตนะ --> ผัสสะ --> เวทนา --> ตัณหา --> อุปาทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรามรณะ
ผัสสะ ที่มากระทบเรามากมายก่ายกองในวันหนึ่งๆ เช่น ตาเห็นรูป ฯลฯ ..
ฉะนั้น ในแต่ละวัน พวกเราทุกคนล้วนท่องไปในภพต่างๆอยู่ตลอดเวลา เพราะวงจรนี้เกิดขึ้นไม่รู้กี่รอบในแต่ละวัน ..
เช่น เมื่อความโลภครอบงำก็เป็นเปรตในร่างคน เป็นต้น ..
แม้ในวันหนึ่งๆ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นจนนับครั้งไม่ได้ในแต่ละวัน
แต่คนที่ไม่มีสติ หรือ ลงมือภาวนาจริงๆ ที่ไหนกันจะเห็นความสืบต่อของเหตุปัจจัยนี้ได้
ก็ยังคงเห็นว่า เรานี้แหละเป็นผู้ทำกรรมและรับกรรม ... ก็ยังคงมีเราอยู่ในนั้น(อัตตา)